การเข้าถึงถุงยางอนามัยผ่านเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ ในประเทศไทย: พัฒนาการและการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนและประชาชน
คำสำคัญ:
การเข้าถึงถุงยางอนามัย, เครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ, การมีส่วนร่วมของชุมชนบทคัดย่อ
ปัจจุบันแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์แบบฉาบฉวยโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนเพิ่มสูงขึ้น เป็นเหตุให้มีรายงานการป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีด้วยการเข้าถึงถุงยางอนามัยในประชากรกลุ่มนี้เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากมีราคาแพง และความอายที่จะซื้อกรมควบคุมโรคจึงได้จัดทำโครงการ 2 โครงการ โดยกิจกรรมส่วนหนึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาการเข้าถึงถุงยางอนามัยผ่านเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ (เครื่องฯ) ในระดับชาติ กิจกรรมการพัฒนานี้เริ่มต้นในปี 2547 การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล และสังเคราะห์องค์ความรู้จากการพัฒนา และเพื่อบันทึกผลที่เกิดขึ้น และจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในระยะต่อไปข้อมูลถูกรวบรวมจากรายงานของจังหวัด การนิเทศงาน การประชุมกับผู้เกี่ยวข้อง การสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ การสำรวจในเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด ผู้ผลิต/นำเข้าเครื่องฯ และการทบทวนรายงานการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ขั้นตอนการดำเนินงานแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ การเตรียมการ การดำเนินงาน และการขยายผล โดยมีผลการดำเนินงานแบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้ (1) ด้านการขยายตัวของจำนวนเครื่องฯ พบว่า ก่อนปี 2547 มีเครื่องฯ อยู่จำนวนไม่มากนัก แต่หลังเริ่มต้นโครงการจนถึงปี 2550 มีเครื่องฯ ติดตั้งรวม 7,967 เครื่อง โดยเป็นเครื่อง ฯ ที่เป็นผลทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการพัฒนา ราคาถุงยางอนามัยที่จำหน่ายผ่านเครื่องฯ คือ 5-10 บาท/2-3 ชิ้น (2) ด้านพัฒนาการรูปแบบเครื่อง ฯ พบว่า ในระยะแรก เครื่องฯ เป็นเครื่องฯ ที่นำเข้า ทำด้วยพลาสติก ใช้กลไกซึ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ต่อมามีเครื่องฯ หลายรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเครื่องฯ ที่ทำด้วยเหล็ก ผลิตในประเทศ บรรจุกล่องถุงยางอนามัยได้มากขึ้น (96 กล่อง/เครื่อง) บรรจุได้หลายขนาด มีกลไกการทำงานให้เลือกทั้งแบบที่ใช้ไฟฟ้า และไม่ใช้ไฟฟ้า (3) ด้านการพัฒนาระบบงานและรูปแบบการบริหารจัดการ พบว่า รูปแบบการบริหารจัดการเครื่องฯ มี 4 รูปแบบ คือ 1) บริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 2) โดยชุมชน 3) โดยองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ และ 4) ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและชุมชน (4) ด้านการติดตามประเมินผล จากการประเมินผลในปี 2548 และ 2549 พบว่า ในเขตอำเภอเมือง ค่ามัธยฐานจำนวนถุงยางอนามัยที่จำหน่ายผ่านเครื่องฯ เท่ากับ 46.5 และ 31.0 ชิ้น/เครื่อง-เดือน และในเขตชนบทเท่ากับ 40.0 และ 32.5 ชิ้น/เครื่อง-เดือน สถานที่ติดตั้งเครื่องฯ ที่เหมาะสมคือ โรงแรม หอพัก โรงพยาบาล สถานีอนามัย ห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ จากการสำรวจผู้ใช้บริการ พบว่า มีความพึงพอใจในการใช้บริการจากเครื่องฯ ร้อยละ 89.8 ปัญหาอุปสรรคที่พบ คือสถานที่ติดตั้งเครื่องฯไม่เหมาะสม เครื่องฯ ถูกขโมย การบริการหลังการขายไม่น่าพอใจ และปัญหาการบริหารจัดการเครื่องฯ การศึกษานี้แสดงถึงความสำเร็จในการเข้าถึงถุงยางอนามัยผ่านเครื่องฯ ทำให้มีการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น และแนวโน้มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มลดลง ในระยะต่อไปควรสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้การบริหารจัดการเครื่องฯ ยั่งยืน และควรมีการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. การปฏิบัติงานควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2548. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, มิถุนายน 2549.
3. กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. การปฏิบัติงานควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2549. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, พฤษภาคม 2550
4. กลุ่มงานป้องกันทางพฤติกรรมและชุมชน สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. รายงานโครงการวิจัยความคิดเห็นเรื่องเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ. นนทบุรี: สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, มิถุนายน 2546. ISBN 974-297-236-2.
5. สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โครงการเร่งรัดส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย. กรุงเทพฯ: โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ, ธันวาคม 2547. ISBN 974-297-369-5.
6. ผจงศิลป์ เพิงมาก, รัชนี สุขบุญสังข์, ถั้น พงษ์ศรี, สุพักตร์ วาณิชเสนี. พฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์การใช้ถุงยางอนามัย การรับรู้ความเสี่ยง และการป้องกันการติดเชื้อเอ็ชไอวี/เอดส์ ของเยาวชนผู้เสพยาบ้าที่เข้ารับการบำบัดรักษา ณ หน่วยบำบัดยาเสพติดแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคใต้ ของประเทศไทย. วารสารโรคเอดส์ 2548; 17: 20-31.
7. นิตยา ระวังพาล, ศิริพร วงศ์ชัย, สุรสิงห์ วิศรุตรัตน. ถุงยางอนามัยกับวัยเยาวชน: มิติการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยพร้อม (Abstract ID: DP0059). นำเสนอในการสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 10 วันที่ 13-15 กรกฎาคม 2548 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และมหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนสุนันทา กรุงเทพมหานคร.
8. Rojanapithayakorn W, Hanenberg R. The 100% Condom Program in Thailand. AIDS 1996, 10(1): 1-7.
9. อนุพงศ์ ชิตวรากร. Sexually Transmitted Diseases. กรุงเทพมหานคร: บริษัทโฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด, 2543. ISBN 974-7898-60-8
10. กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. ปริมาณและมูลค่าการจัดซื้อถุงยางอนามัย. กรุงเทพฯ: สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2548.
11. สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. สรุปมติการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ครั้งที่ 2/2545 วันที่ 5 มิถุนายน 2545. นนทบุรี: สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, 2545.
12. กระทรวงมหาดไทย. หนังสือที่ มท. 02147/ว2773 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2545 เรื่องขอความสนับสนุนในการติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ. กรุงเทพฯ: กระทรวงมหาดไทย, 2545.
13. นุชนารถ แก้วดำเกิง, ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์, วินิดา ชวนางกูร, ชูศักดิ์ สุคนธมาน, เครือทิพย์ จันทรธานีวัฒน์, นงเยาว์ จันทร์ทองคำ และคณะ. การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัย โดยเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญ. วารสารโรคเอดส์ 2550; 19(2): 73-84.
14. นุชนารถ แก้วดำเกิง, ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์, สมบัติ แทนประเสริฐสุข, วินิดา ชวนางกูร, ชูศักดิ์ สุคนธมาน, นงเยาว์ จันทร์ทองคำ. การศึกษาความรู้ในการป้องกันโรคเอดส์ พฤติกรรมทางเพศ และความพึงพอใจต่อเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัย. วารสารโรคเอดส์ 2550; 19(4): 193-205.
15. Chamratrithirong A, Kittisuksathit S, Podhisita C, Isarabhakdi P, Sabaiying M. National Sexual Behavior Survey of Thailand 2006. Nakhon Pathom: Institute for Population and Social Research, Mahidol University, 2007. ISBN: 978-
974-11-0876-3.
16. CDCynergy. Key Social Marketing Concepts. http://www.orau.gov/cdcynergy/demo/content/activeinformation/ SOC_key_sm_concepts.htm. เข้าดูเมื่อ 17 มกราคม 2551.
17. กระทรวงมหาดไทย. หนังสือที่ มท 0211.3/ว3908 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 เรื่อง ขอความร่วมมือส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์. กรุงเทพฯ: กระทรวงมหาดไทย, 2549.
18. ชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์, เครือทิพย์ จันทรธานีวัฒน์, นุชนารถ แก้วดำเกิง, สมบัติ แทนประเสริฐสุข. การสำรวจความคิดเห็นต่อคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยแบบหยอดเหรียญที่เหมาะสมกับการบริการในชุมชนของประเทศไทย. วารสารโรคเอดส์ 2548; 17(4): 218-230.
19. สุชิน เหลืองอุทัยรัตน์. การศึกษาการดำเนินงานกล่องจำหน่ายถุงยางอนามัยในจังหวัดเลย ปี พ.ศ.2547. วารสารโรคเอดส์ 2548; 17(3): 147-154.
20. สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล และกองควบคุมโรคเอดส์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร. การเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีในประชากร 6 กลุ่มเป้าหมายพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2550. นครปฐม: สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล, 2550. ISBN: 978-974-11-0866-4.
21. มัติกา ศรีพวงทอง. ความรู้ทัศนคติของผู้ใช้บริการถุงยาง อนามัยแบบหยอดเหรียญในเขตเมือง จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2546. ใน: ผลการวิเคราะห์สถานการณ์โรคเอดส์ประเทศไทย 2546 เล่ม 1. นนทบุรี: สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค, 2546. ISBN: 974-291-212-5.
22. Ministry of Foreign Affairs of Thailand and UNDP Thailand. Comprehensive Response to HIV/AIDS Prevention and Care: Thailand-Africa Partnership (Nairobi, Kenya 22-24 June 2005). Bangkok: Keen Publishing (Thailand) Co., Ltd., 2006. ISBN: 974-94231-3-5.
23. Ministry of Foreign Affairs of Thailand and UNDP Thailand. Comprehensive Response to HIV/AIDS Prevention and Care: Thailand-Africa Partnership (Gaborone, Botswana 16-18 November 2005). Bangkok: Keen Publishing (Thailand) Co., Ltd., 2006. ISBN: 974-94231-2-7.
24. The Nation. Kingdom to help fight HIV/AIDS in Africa (ตีพิมพ์ วันที่ 4 กรกฎาคม 2548). http://www.nationmulti media.com/search/page.arcview.php?clid=3&id=117896. เข้าดูเมื่อ 28 มกราคม 2551.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


