อัตราการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทวารหนักของชายที่ใช้ทวารหนัก รับการสอดใส่อวัยวะเพศชาย
คำสำคัญ:
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทวารหนัก, ชายรักร่วมเพศบทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการศึกษาพรรณนาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบอัตราการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทวารหนักของชายที่ใช้ทวารหนักรับการสอดใส่อวัยวะเพศชายและความสัมพันธ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทวารหนักกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อวัยวะเพศในชายที่มารับบริการที่คลินิกสุขภาพชาย กลุ่มงานวิจัยทางคลินิก กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2547-วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 ได้รับอาสาสมัครชาย 77 ราย ซักประวัติ ตรวจร่างกาย เก็บวัตถุส่งตรวจจากท่อปัสสาวะ สารคัดหลั่งหรือเยื่อบุทวารหนัก นำไปย้อมสีกรัม เพาะเชื้อหนองใน ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อคลามัยเดียโดยวิธี ELISA (enzyme linked immunosorbent assay) ตรวจหาการติดเชื้อ ซิฟิลิส แผลริมอ่อน และเริมในรายที่มีแผล นำผลมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติร้อยละ มีผู้ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทวารหนัก 13 ราย (ร้อยละ 16.88) โดยจำแนกเป็นโรคหนองในเทียมจากเชื้อคลามัยเดีย 7 ราย (ร้อยละ 9.1) โรคหนองใน 1 ราย (ร้อยละ 1.3) โรคหูดหงอนไก่ 5 ราย (ร้อยละ 6.4) ผู้ป่วยโรคหนองในเทียมและผู้ป่วยโรคหนองในทั้งหมดไม่มีอาการผิดปกติที่ทวารหนัก และไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้จากการตรวจเบื้องต้นด้วยวิธีย้อมสีกรัม จากการเปรียบเทียบโรคที่ตรวจพบที่ทวารหนักและที่อวัยวะเพศพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นหนองในและโรคหนองในเทียม(จากเชื้อคลามัยเดีย) ที่ทางทวารหนักกว่าครึ่ง (6 ราย คิดเป็นร้อยละ 75) ต้องได้รับการตรวจทวารหนักและใช้การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการจึงจะวินิจฉัยโรคได้และได้รับการรักษา โดยสรุป โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทวารหนักของชายที่ใช้ทวารหนักรับการสอดใส่อวัยวะเพศชายพบได้ไม่น้อย ผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่ส่วนใหญ่มีอาการจึงมาพบแพทย์ ผู้ป่วยโรคหนองในเทียมและผู้ป่วยโรคหนองในมักไม่มีอาการผิดปกติที่ทวารหนัก การวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทวารหนัก จึงจำเป็นต้องอาศัยการซักประวัติการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การตรวจทวารหนักเพื่อหารอยโรค และการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยประเภทนี้ถูกต้อง
Downloads
เอกสารอ้างอิง
261
2) Sexually Transmitted infections: Briefing kit for teachers, World Health Organization. Regional office for the western pacific. 2001
3) Cohen MS. Sexually Transmitted Diseases enhance HIV transmittion: no longer a hypothesis. Lancet. 1998; 351(Suppl 3): 5-7
4) Voeller B. AIDS and heterosexual intercourse. Arch of Sex Beh 1991; 20(3): 233-76
5) กลุ่มงานวิจัยทางคลินิก กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. รายงานผลการดำเนินงานประจำเดือน ตุลาคม 2545 - กันยายน 2547 ไม่ปรากฏแหล่งพิมพ์.
6) อรุณี ไพบูลย์สิน และ กอบกุล คงใจอารย์. วารสารสมาคมแพทย์ทางกามโรคแห่งประเทศไทย. 2538; 2 (1): 9-15
7) Manavi K, McMillan A, Young H.The prevalence of rectal chlamydial infection amongst mem who have sex with men attending the genitourinary medicine clinic in Edinburgh.Int J STD AIDS. 2004; 15(3): 162-4
8) McMillan A, Sommerville RG, McKie PM. Chlamydial infection in homosexual men. Frequency of isolation of Chlamydia trachomatis from the urethra, ano-rectum, and pharynx. Br J Vener Dis 1981; 57: 47-9
9) กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. กรมควบคุมโรค. การปฏิบัติงานควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2548
10) Chen MY, Ryder N, Donovan B. Completeness and timeliness of treatment for chlamydia within a sexual health service. Clinic Inf Dis. 2005; 41(1): 67-74
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


