การประเมินความสัมพันธ์ของภาวะสุขภาพกับปริมาณสารทำละลายอินทรีย์ในเลือดของ พนักงานโรงงานประดิษฐ์หัตถกรรมพื้นบ้านในจังหวัดเชียงใหม่
คำสำคัญ:
สารทำละลายอินทรีย์, ภาวะสุขภาพ, พนักงานโรงงานหัตถกรรมพื้นบ้านบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหาปริมาณสารทำละลายอินทรีย์ 5 ชนิด ในเลือดพนักงานโรงงานหัตถกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และประเมินความสัมพันธ์ระหว่างภาวะสุขภาพกับปริมาณสารทำละลายอินทรีย์ในเลือด กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มพนักงานที่สัมผัสสารทำละลายอินทรีย์ขณะปฏิบัติงาน 150 รายและกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีไม่สัมผัสสาร 150 ราย เก็บเลือดหลังเลิกงาน 5 วัน วัดปริมาณสารทำละลายอินทรีย์ในเลือดโดยเทคนิค Headspace - Gas chromatography - Flame ionization detector (HS-GC-FID) และวิเคราะห์ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count) การทำงานของตับ (Liver Function Test) และการทำงานของไต (Kidney Function Test) ผลการวิจัยพบว่า มีสารทำละลายอินทรีย์ 1 ชนิด คือ ไตรคลอโรเอทธิลีน มีระดับค่าเฉลี่ยในเลือดของพนักงานกลุ่มที่สัมผัสสารขณะปฏิบัติงานมีระดับสูงกว่าค่าปกติและสูงกว่ากลุ่มทื่ไม่ได้สัมผัสสาร(p <0.05) และพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณไตรคลอโรเอทธิลีนกับ Blood urea nitrogen (r = 0.67; p=0.038) ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณสารทำละลายอินทรีย์ทั้ง 5 ชนิดกับระยะเวลาที่สัมผัสตามช่วงเวลาที่ปฏิบัติงาน สรุปได้ว่าการสัมผัสกับสารทำละลายอินทรีย์ขณะปฏิบัติงานพบไตรคลอโรเอทธิลีนตกค้างในเลือดพนักงานและสัมพันธ์กับการทำงานของไต บ่งบอกได้ถึงอันตรายจากการสัมผัสไตรคลอโรเอทธิลีนขณะปฏิบัติงานการจัดระเบียบภายในโรงงาน กระบวนการทำงาน และการเฝ้าระวังพนักงานที่สัมผัสไตรคลอโรเอทธิลีนเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ขาดการควบคุมดูแล ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. ธนสร ตันศฤงฆาร, อนุสรณ์ รังสิโยธิน, บุญเทียม เทพพิทักษ์ศักดิ์, ณัฐวัฒน์ สุขทั่วญาติ. การเฝ้าคุมทางชีวภาพของพนักงานกลุ่มเสี่ยงที่รับสัมผัสสารอินทรีย์ระเหยง่ายในสถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิง.วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 หน้า 15-21. 2548
3. ศูนย์พัฒนาวิชาการในเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก จ.ระยอง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จ.ชลบุรี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือโรคจากสารตัวทำละลายอินทรีย์. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. นนทุบรี 2549.
4. วารุณี มะโณสงค์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ. http://linjah.exteen.com/20080829/headspace
5. Iffland R., Berghaus G. Experiences with Volatile Alcoholism Indicators (Method, Acetone, Isopropanol) in DWI Car Drivers. http://www.Drugiibraly.org/schaffer/Misc/driving/s3p4. 31 August 2004.
6. Wang G. et al. Blood acetone concentration in "normal people" and in exposed workers. International Archives of Occupational and Environmental Health. 2004; 258-9.
7. ประสงค์ คุณานุวัฒน์ชัยเดช และไมตรี สุทธิจิตต์. สารอินทรีย์ไอระเหยและสุขภาพ. พิษวิทยาสาร, ปีที่ 11 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2544 และปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2545, เชียงใหม่, 2545
8. วิไล ชินเวชกิจวานิชย์และคณะ. ความชุกของการได้รับโทลูอีนเข้าสู่ร่างกายของคนงานโรงงานผลิตสี:รายงานผลการวิจัย. http://thailis-db.car.chula. ac.th/CU_DC/October 2005/research/Vilai.pdf
9. Jain N.C. Direct Blood - Injection Method for Gas Chromatographic Determination of Alcohol and Other Volatile Compounds. Clinical chemistry 1971; 17:82-5.
10. Sunanta Wangharn and Jane Juntarasupasen. Analysis of some volatile organic compounds in soil sample using chromatography. Department
of Chemistry, Faculty of Science. Chiang Mai University, Chiang Mai 50200. Thailand
11. วนิดา คูอมรพัฒนะ http://www.eg.mahidol. ac.th/dept/egche/PDF/ANA/ANA10% 20Gas%20Chromatography.pdf
12. Agency for toxic substances and disease registry, www.atsdr.cdc.gov/toxprofiles/phs21.html 1/07/2010
13. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ. เอกสารการสอนชุดวิชาพิษวิทยาและอาชีวเวชศาสตร์ 54106 . สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี 2552
14. ฉันทนา ผดุงทศ. คอลัมน์อาชีวเวชศาสตร์ปริทัศน์.วารสารคลินิก เล่ม 260; 08/2549
15. วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์. ฐานข้อมูลการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษเคมี (ThaiTox).mht.www.thaitox.com 7/6/2012
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


