การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี 2554 ในบุคลากรทางการแพทย์ จังหวัดนครราชสีมา
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2013.36คำสำคัญ:
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี 2554, การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน, บุคลากรทางการแพทย์, นครราชสีมาบทคัดย่อ
กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้เริ่มดำเนินโครงการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลครั้งแรกในปี 2547 โดยในระยะแรกของโครงการ กลุ่มเป้าหมายในการให้วัคซีนนั้นจะถูกจำกัดเฉพาะในบุคลากรทางการแพทย์ จนกระทั่งในปี 2551 ได้เริ่มมีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังประชากรกลุ่มเสี่ยงต่างๆ โดยในขณะที่มีการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทุกๆปีแต่ก็ยังพบรายงานการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประชากรกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง โดยวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ เพื่อศึกษาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รูปแบบการศึกษาเป็นแบบภาคตัดขวาง (Cross sectional study) โดยทำการเจาะเลือดอาสาสมัครก่อนและ หลังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อตรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ คำนวณค่าเฉลี่ยของภูมิคุ้มกัน (Geometric mean antibody titer) ร้อยละของอาสาสมัครที่มีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza seroconversion) และร้อยละของอาสาสมัครที่มีระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นในระดับที่ป้องกันการติดเชื้อ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza protective level) ผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครเข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 98 ราย พบว่าค่าเฉลี่ยของภูมิคุ้มกัน (Geometric mean antibody titer) ภายหลังจากได้รับวัคซีนมีค่าสูงสุดสายพันธุ์ A/Perth/16/2009/H3N2 ตามด้วยสายพันธุ์ B/Brisbane/60/2008 และสายพันธุ์ A/California/7/2009/H1N1 เท่ากับ 52.3, 38.2 และ 35.4 ตามลำดับ เชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ A/Perth/16/2009 (H3N2) มีร้อยละของอาสาสมัครที่มีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Influenza seroconversion) ต่อวัคซีนมากที่สุด ตามด้วยสายพันธุ์ A/California/7/2009 (H1N1) และสายพันธุ์ B/Brisbane/60/2008 เท่ากับร้อยละ 37.3, 35.7 และ 15.3 ตามลำดับ หลังจากได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี 2554 ไปแล้วนั้น พบว่าเชื้อสายพันธุ์ A/Perth/16/2009 (H3N2) มีร้อยละของอาสาสมัครที่มีภูมิคุ้มกันในระดับที่สามารถป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza protective level) มากที่สุดตามด้วยสายพันธุ์ B/Brisbane/60/2008 และสายพันธุ์ A/California/7/2009 (H1N1) เท่ากับร้อยละ 70.4, 66.3 และ 57.1 ตามลำดับ สรุป ค่าเฉลี่ยของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลังจากได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลปี 2554 มีค่าสูงสุดในสายพันธุ์ A/Perth/16/2009 (H3N2) โดยวัคซีนสามารถเพิ่มอาสาสมัครที่มีภูมิคุ้มกันเกินร้อยละ 50 ในเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ และควรดำเนินโครงการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ต่อไป
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. เอมอร ราษฏจำเริญสุข. การบริหารจัดการวัคซีนและระบบลูกโซ่ความเย็น, ใน: พรศักดิ์ อยู่เจริญ, บรรณาธิการ. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสำหรับเจ้าหน้าสาธารณสุข 2547. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2547 หน้า 96-99.
3. สำนักระบาดวิทยา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการดำเนินงานโครงการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ); 2554.
4. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Serum cross-reactive antibody response to a novel influenza A (H1N1) virus after vaccination with seasonal influenza vaccine. MMWR Morb Mortal Wkly Rep 2009; 58(19):521-524
5. Palache AM, Beyer WE, Sprenger MJ et al. Antibody response after influenza immunization with various vaccine doses: a double-blind, placebo-controlled, multi-centre, dose-response study in elderly nursing-home residents and young volunteers. Vaccine 1993; 11(1):3-9.
6. Update on influenza A (H1N1) 2009 monovalent vaccines. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2009;1101-58:1100
7. World Health Organization. http://www.carec.org/influenzaa-H1N1-pandemic-declaration.html.2009.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


