การประเมินผลโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน ในการป้องกันควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง จังหวัดกำแพงเพชร
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2013.22คำสำคัญ:
การประเมินผล, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูงบทคัดย่อ
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลการดำเนินการ และปัญหาอุปสรรค ในการดำเนินการโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวงทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน ในการป้องกันควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง จังหวัดกำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ได้แก่เจ้าหน้าที่งานโรคไม่ติดต่อ จำนวน 101 คน และประชาชนที่รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงจำนวน 480 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2555 ผลการศึกษาพบว่าเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการโครงการฯ ร้อยละ 95.0 เห็นว่าโครงการมีความเหมาะสมและประชาชนที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ร้อยละ 94.0 มีความต้องการตรวจค้นหาการป่วยหรือความเสี่ยงของโรค ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า ร้อยละ65.3 เห็นว่าได้รับงบประมาณสนับสนุนไม่เพียงพอ ร้อยละ 55.4 มีวัสดุอุปกรณ์พร้อม / เพียงพอ และร้อยละ 50.5 สถานที่ในการดำเนินการไม่พร้อม แต่สามารถดำเนินการได้ส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.3 มีจำนวนบุคลากรดำเนินการโครงการไม่เพียงพอ ด้านกระบวนการพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 85.1 หมู่บ้าน/ชุมชนมีการใช้แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ในการวางแผนงาน/โครงการ ด้านผลการดำเนินการพบว่า มีหมู่บ้าน/ชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ลดโรค ลดเสี่ยงถึงร้อยละ 95.0 สถานบริการสุขภาพทุกแห่งมีฐานข้อมูลโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้รับการคัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ร้อยละ 92.5 ทั้งนี้ ร้อยละ 59.8 มีความพึงพอใจในระดับสูง ร้อยละ 69.1 มีความตระหนักในการจัดการ และดูแลสุขภาพตนเองในระดับปานกลาง มีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อลดเสี่ยง ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในระดับสูง ร้อยละ 40.7 ปัญหาอุปสรรคคือ เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ งบประมาณไม่เพียงพอ ความร่วมมือของประชาชนน้อย รวมทั้งความไม่เข้าใจในการตรวจ รอตรวจนาน และเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก เป็นต้น
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. จิตติมา จรูญสิทธิ์ และสุรีพร ธนศิลป์. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเบาหวาน. วารสารพยาบาลศาสตร์. 2547; 16: 41-51.
3. Rubin, R. R. Stress and Depression in diabetes. In V. A. Fonseca (Ed.), Clinical Diabetes: Translating Research into Practice. Philadelphia: Elsevier Saunders. 2006.
4. Brut, V.L., Whelton,P., Rocella,E.J., Brown, C., Cutler,J.A., Higgins, M., Horan, M.J., & Labarthe,D. Prevalence of Hypertension in the US Adult Population : Results from the Third National Health and Nutrition Examination Survey, 1998 - 1991. Hypertension. 1995; 25: 305-313.
5. สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ. รู้จัก "ความดันโลหิตสูง" หัวขบวนสู่โรคร้าย. เข้าถึงได้จาก http://www. thai health_or_th. (วันที่ค้นข้อมูล : 25 มีนาคม 2555) 2552.
6. อัญชลี ศิริพิทยาคุณกิจ. สถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย. เข้าถึงได้จาก http://epid.Moph.go.th /weekly/w_2548/Weekly48_homepge/wk 48_47 /wk48_47_3.html. (วันที่ค้นข้อมูล : 25 มีนาคม 2555) 2551.
7. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร. รายงานสถานการณ์การป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง จังหวัดกำแพงเพชร. 2554.
8. Stufflebeam, D.L., et al. Educational Evaluation and Decision - Making. Illinois : Peacock Publishers., Inc. 1971.
9. Yamanae, Taro. Statistics : An Introductory Analysis. London :John Weather Hill,Inc. 1967.
10. อยุทธินี สิงหวินท์. นวัตกรรมใหม่ในการรักษาแผลในผู้ป่วยเบาหวาน. เข้าถึงได้จาก http:// www.phyathai.com /phyathai/service_center_heart_p2_ stemcell01.php. (วันที่ค้นข้อมูล : 25 มีนาคม 2555) 2551.
11. กระทรวงสาธารณสุข. เป้าหมายการตรวจคัดกรองโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน. 2554.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


