ไข้เลือดออกในผู้ใหญ่ของโรงพยาบาลปทุมธานี
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2014.33คำสำคัญ:
ไข้เดงกี, ไข้เลือดออกเดงกีบทคัดย่อ
บทนำ: โรคไข้เลือดออกหรือโรคติดเชื้อเดงกีเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค มีการแพร่ระบาดของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในระดับประเทศและในจังหวัดปทุมธานี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยไข้เดงกีและไข้เลือดออกเดงกี โดยประชากรที่ใช้ศึกษา เป็นผู้ป่วยไข้เลือดออกที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 เป็นการศึกษาย้อนหลังและเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้ป่วย จำนวน 283 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษา: พบว่าผู้ป่วยไข้เดงกีและไข้เลือดออกเดงกี มีจำนวน 125 และ 158 ราย ตามลำดับ มีอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิง เท่ากับ 1.3:1 และ 1.1:1 ตามลำดับ มีอายุเฉลี่ย 26.6+3.8 และ 32.6±4.6 ปี ตามลำดับ กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 15-19 ปี และมีอาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษามากที่สุด ผู้ป่วยไข้เดงกีส่วนใหญ่มาพบแพทย์ในวันที่ 3 และผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีส่วนใหญ่มาพบแพทย์ในวันที่ 5 นับจากเริ่มป่วย อาการที่พบมากที่สุด 4 ลำดับแรกในผู้ป่วยไข้เดงกี คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ และไอ ส่วนผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี คือ มีไข้ คลื่นไส้/อาเจียน ปวดท้อง และปวดเมื่อยตามร่างกาย บางรายมีจุดเลือดออก ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีที่มีปริมาณเกล็ดเลือดต่ำกว่าหรือเท่ากับ 100,000 เซลล์/ลบ.มม. และจำนวนเม็ดเลือดขาวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 5,000 เซลล์/ลบ.มม. มีจำนวนมากที่สุด ณ 1 วันก่อนไข้ลด ผู้ป่วยไข้เดงกีและไข้เลือดออกเดงกี เพศชายมีการรั่วของพลาสมา (พิจารณาจากการเพิ่มขึ้นของค่า hematocrit) สูงกว่าเพศหญิง และมีค่าสูงสุด ณ 1 วันก่อนไข้ลด และผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีจำนวนมากที่สุด มีความรุนแรงของโรคในระดับที่ 2
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร, อุษา ทิสยากร. DENGUE ม.ป.ป. [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 10 ม.ค. 2557]. แหล่งข้อมูล: http://www.med.cmu.ac.th /HOME/file? 550 9Dengue.pdf
3. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. ไข้เลือดออกเดงกี่. ม.ป.ป. [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 10 ม.ค. 2557]. แหล่งข้อมูล: http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_1_001c.asp?info_id=902
4. Pongtanakul B, Narkbunna N, Veeakul G, Sanpakit K, Viprakasit V, Tanphaichitr V et al. Dengue hemorrhagic fever in patients with Thalassemia. J Med Assoc Thai. 2005;88:80-5.
5. สุจิตรา นิมมานิตย์, ศิริเพ็ญ กัลป์ยาณรุจ, อรุณ วิทยะศุภร. แนวทางการวินิจฉัยและการรักษาไข้เลือดออกเดงกี. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข; 2542.
6. Endy TP, Chunsuttiwat S, Nisalak A. Epidemiology of inapparent and symptomatic acute dengue virus infection: a prospective study of primary school children in KamphaengPhet, Thailand. Am J Epidemiol 2002;156:40-51.
7. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. สถานการณ์ไข้เลือดออก ไข้เลือดออกช็อก และไข้เดงกี ประเทศไทย พ.ศ. 2555 [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 10 ม.ค. 2557]. แหล่งข้อมูล: http://www.boe.moph.go.th/files/re-port/20130208_29383592.pdf
8. สำนักงานจังหวัดปทุมธานี. บรรยายสรุปจังหวัดปทุมธานี. ปทุมธานี: กลุ่มงานสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดปทุมธานี; 2555.
9. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี. วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพ ปี พ.ศ. 2556 [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 10 ม.ค. 2557]. แหล่งข้อมูล: 203.157.108.6/.../main/.../OKวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพ%20ปี%2056.doc
10. วิไลลักษณ์ หฤหรรษพงศ์, วิชุตา นามเกษ. การพยากรณ์โรคไข้เลือดออกในพื้นที่สาธารณสุขเขต 1 ปี 2555. กรุงเทพมหานคร: กลุ่มระบาดวิทยาและข่าวกรอง. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1; 2555.
11. กลุ่มงานเวชกรรม โรงพยาบาลปทุมธานี. รง.506/507 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2556. ปทุมธานี: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด; 2556.
12. World Health Organization. Dengue hemorrhagic fever: diagnosis, treatment, prevention and control. 2nd ed. Geneva: World Health Organization; 1997.
13. สุจิตรา นิมมานนิตย์. ไข้เลือดออก. กรุงเทพมหานคร: บริษัทยูนิตี้พับลิเคชั่น; 2534.
14. Tantawichien T. Dengue fever and dengue hemorrhagic fever in adolescents and adults. Paediatrics and International Child Health 2012; 32:22-7.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


