สภาพแวดล้อมในการทำงานและปัญหาสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน แผนกเครื่องปั้นดินเผาในศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2014.28คำสำคัญ:
สภาพแวดล้อมในการทำงาน, ปัญหาสุขภาพ, ศูนย์ศิลปาชีพบทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมในการทำงานและปัญหาสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานแผนกเครื่องปั้นดินเผาในศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงานแผนกเครื่องปั้นดินเผา จำนวน 102 คน และทำการสำรวจด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย พร้อมทั้งตรวจวัดสิ่งแวดล้อมการทำงานในอาคารปฏิบัติงาน 2 อาคาร ได้แก่ ระดับเสียง ความเข้มแสงสว่าง และระดับฝุ่นละออง ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม พ.ศ. 2556 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และค่าต่ำสุด-สูงสุด ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปฏิบัติงานแผนกเครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 61.76 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 44.12 จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 57.84 ส่วนใหญ่มีระยะเวลาการทำงาน 6-10 ปี ร้อยละ 27.50 มีการประกอบอาชีพเสริม ร้อยละ 65.69 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาชีพทำนา ร้อยละ 91.04 ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจะมีการนั่งทำงาน โดยเก้าอี้ที่ใช้นั่งมีพนักพิงที่แข็งแรง มีความสูงที่พอเหมาะ แต่พบว่ามีการทำงานท่าเดิมซ้ำๆ มากกว่า 2 ชั่วโมง ร้อยละ 84.31 การทำงานไม่ต้องงอตัว โก้งโค้ง หรือคุกเข่า ร้อยละ 92.16 อุบัติเหตุที่ได้รับจากการปฏิบัติงานส่วนใหญ่คือ การหกล้มจากสิ่งกีดขวางบริเวณจุดทำงาน และอุบัติเหตุจากของมีคม ร้อยละ 7.84 การเจ็บป่วยไม่สบายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ผู้ปฏิบัติงานมีอาการปวดตามหลังและปวดเอว ร้อยละ 19.61 รองลงมาคืออาการปวดกล้ามเนื้อแขน ร้อยละ 18.63 และมีความเครียดอยู่ในระดับปกติ ร้อยละ 79.40 ผลการตรวจวัดด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ได้แก่ (1) ระดับเสียงในบริเวณที่ทำงาน ทุกพื้นที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (2) ระดับความเข้มแสงสว่างในบริเวณที่ทำงาน พบว่า ฝ่ายที่ได้รับความเข้มแสงสว่างต่ำกว่ามาตรฐาน คือ ฝ่ายเตรียมดิน ฝ่ายขึ้นรูปด้วยเครื่อง ฝ่ายขึ้นรูปด้วยมือ ฝ่ายปั้นเซรามิก ฝ่ายชุบเคลือบ ฝ่ายสกรีน ฝ่ายตัดเส้นขอบ ฝ่ายตกแต่งเซรามิก 1 และ (3) ระดับฝุ่นละออง (ค่าเฉลี่ย 8 ชั่วโมง) พบว่า อาคารปฏิบัติงานที่ 1 มีค่ามัธยฐานเท่ากับ 0.38 mg/m3 (ค่าต่ำสุด-สูงสุด = 0.22-0.53 mg/m3) และอาคารปฏิบัติงานที่ 2 มีค่ามัธยฐานเท่ากับ 0.34 mg/m3 (ค่าต่ำสุด-สูงสุด = 0.15-0.40 mg/m3) และปริมาณฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) พบว่า อาคารปฏิบัติงานที่ 1 มีค่ามัธยฐานเท่ากับ 0.24 mg/m3 (ค่าต่ำสุด-สูงสุด = 0.11-0.30 mg/m3) และอาคารปฏิบัติงานที่ 2 มีค่ามัธยฐานเท่ากับ 0.16 mg/m3 (ค่าต่ำสุด-สูงสุด = 0.11-0.20 mg/m3) ซึ่งไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของปริมาณฝุ่นในสถานที่ทำงาน ดังนั้น ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การทำงาน และใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากการทำงานให้น้อยลง
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. สรุปผลการสำรวจแรงงานนอกระบบ [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2555]. แหล่งข้อมูล: http://thailocal.nso.go.th/suggest/enews/ index.php?option=com_content &view=article&id=18:-2554&catid=l:2011-01-10-07-52-40
3. ศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 6 พ.ย. 2555]. แหล่งข้อมูล: http:// www.khutnakham.net
4. กระทรวงมหาดไทย. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 6 พ.ย. 2555]. แหล่งข้อมูล: http://www.dpck5. com/DPC5/law_05.html
5. ธัญญารัฒน์ หอมสมบัติ. ภาวะปวดหลังและรยางค์ส่วนบนในแรงงานนอกระบบ กลุ่มไม้กวาดร่วมสุข ตำบลพังทุย อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2553.
6. สุดาพร วงษ์พล.การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพจากกิจกรรมการทำงานสวนยางพาราของเกษตรกรสวนยางพารา อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2554.
7. จรรยา บัวศร. แนวทางการส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานนอกระบบ [สารนิพนธ์หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรม-ศาสตร์; 2553.
8. นุสรา สาชำนาญ. สภาพแวดล้อมในการทำงานและสภาวะสุขภาพคนงานที่ทำพรมเช็ดเท้าและไม้ถูพื้น ตำบลโนนทัน อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต]. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2552.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


