สิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงาน ของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน สิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงาน ของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2016.4คำสำคัญ:
สิ่งคุกคามต่อสุขภาพ, อุบัติเหตุจราจร, คนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินบทคัดย่อ
การปฏิบัติหน้าที่ของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินในประเทศไทย พบมีความเสี่ยงต่อการรับสัมผัสสิ่งคุกคามต่อสุขภาพ ตลอดจนความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความเสี่ยงจากการทำงานของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ข้อมูลสุขภาพทั่วไป การรับสัมผัสสิ่งคุกคามต่อสุขภาพจากการทำงาน และการเกิดอุบัติเหตุจราจรในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงานของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน ทำการสำรวจในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 31 มีนาคม 2559 โดยการสัมภาษณ์แบบต่อหน้าในคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินจำนวนทั้งสิ้น 199 คน ซึ่งทำงานให้กับโรงพยาบาล 1 แห่ง และมูลนิธิกู้ภัย 3 แห่ง ในเขตจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดเป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 36.7 ปี สถานภาพสมรส และจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรืออาชีวศึกษา มีผู้ที่สูบบุหรี่ร้อยละ 27.6 ดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 33.2 และออกกำลังกายเป็นประจำร้อยละ 56.8 กลุ่มตัวอย่างต้องสัมผัสกับสิ่งคุกคามต่อสุขภาพในระหว่างการปฏิบัติงานหลายปัจจัย เช่น สัมผัสเลือดจากผู้ป่วย (ร้อยละ 49.3) และยกของหนัก (ร้อยละ 46.2) มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 42 คน รายงานการเกิดอุบัติเหตุจราจรที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาการทำงาน จำนวน 56 ครั้ง สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดอุบัติเหตุจราจรคือ การชนยานพาหนะคันอื่น (ร้อยละ 67.8 ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด) ในระหว่างช่วงเวลา 20.01-24.00 น. (ร้อยละ 33.9) ด้วยความเร็วในการขับขี่ 81-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ร้อยละ 42.9) และทำให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อยต่อคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน (ร้อยละ 80.4) ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ ควรให้ความรู้ด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงจากการทำงาน วิธีการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่ถูกต้องเหมาะสมและจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ อาจทำให้คนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินมีพฤติกรรมสุขภาพและสุขภาพที่ดีขึ้น
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ. รายงานอุบัติเหตุรถพยาบาลในประเทศไทย. นนทบุรี: บอร์น ทู บี พับลิชชิ่ง; 2558.
3. พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 44 ก. (ลงวันที่ 6 มีนาคม 2551).
4. สำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข. หลักการการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 2551. นนทบุรี: สำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข; 2551.
5. อนุชา เศรษฐเสถียร, ธีระ ศิริสมุด, พรทิพย์ วชิรดิลก, สุชาติ ได้รูป, ศิริชัย นิ่มมา. สถานการณ์และสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลในประเทศไทย. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข 2558;9:279-93.
6. พรทิพย์ วชิรดิลก, ธีระ ศิริสมุด. สุขภาพจิตของพนักงานขับรถพยาบาลในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 15 พ.ค. 2559]. แหล่งข้อมูล: http://www.niems.go.th/th/Up¬load/File/255803301743492991_abKh¬Po5xQexaVJNS.pdf
7. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก ปี2557. กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค; 2557.
8. สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. การสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากร พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร: สำนักสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ; 2555.
9. สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. การสำรวจพฤติกรรมการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายของประชากรและสุขภาพจิต พ.ศ. 2554. กรุงเทพมหานคร: สำนักสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ; 2555.
10. Maguire BJ, O’Meara PF, Brightwell RF, O’Neill BJ, Fitzgerald GJ. Occupational injury risk among Australian paramedics: an analysis of national data. Med J Aust 2014;200:477-80.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


