รูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วม ของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2017.30คำสำคัญ:
การพัฒนา, รูปแบบ, การเฝ้าระวัง, การจัดการ, โรคระบาด, การมีส่วนร่วม, ศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหินบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการณ์ของโรคระบาดในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน (2) พัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วมของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน และ (3) ประเมินผลรูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วมของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน การวิจัยมี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพการณ์ของโรคระบาดในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วม ดำเนินการวิจัยกับกลุ่มแกนนำผู้หนีภัยการสู้รบ, บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ และตัวแทนประชาชนชาวไทย จำนวน 25 คน คัดเลือกด้วยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 3 ประเมินผลรูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วม ดำเนินการวิจัยในกลุ่มประชากรผู้หนีภัยการสู้รบ พ.ศ. 2555 จำนวน 8,109 คน พ.ศ. 2556 จำนวน 7,735 คน และ พ.ศ. 2557 จำนวน 7,383 คน ระยะเวลาการวิจัย พ.ศ. 2554-2557 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยกระบวนการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วย อัตราป่วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า (1) ศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหินมีอัตราการป่วยด้วยโรคติดต่อ 7,052.83 ต่อประชากรหมื่นคน ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคปอดบวม โรคอุจจาระร่วง โรคไข้เลือดออกและไข้มาลาเรีย มีปัญหาที่สำคัญคือ ปัญหาการระบาดของโรคติดต่อ ปัญหาของระบบการเฝ้าระวังโรคระบาด และปัญหาของระบบการจัดการกับโรคระบาด (2) รูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วมของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี มี 5 องค์ประกอบ คือ (2.1) ศูนย์ประสานงานสาธารณสุขชายแดน (2.2) ศูนย์ข้อมูลสาธารณสุขชายแดน (2.3) การสนับสนุนด้านวิชาการ (2.4) แกนนำบุคคลสำคัญ และ (2.5) คณะทำงานเฉพาะกิจเคลื่อนที่เร็วบ้านถ้ำหิน (3) ภายหลังการใช้รูปแบบการเฝ้าระวังและการจัดการโรคระบาดตั้งแต่ พ.ศ. 2555-2557 ผู้หนีภัยการสู้รบมีอัตราการป่วยด้วยโรคติดต่อลดลงคือ 4,097.92, 4,190.45 และ 4,005.15 ต่อประชากรหมื่นคน จากผลการวิจัยควรสร้างแนวปฏิบัติกลางในการดำเนินการเฝ้าระวัง และการจัดการกับโรคระบาดอย่างมีส่วนร่วมสำหรับศูนย์พักพิงชั่วคราวในประเทศไทย เพื่อให้แต่ละแห่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. ทิพย์วิมล ยอดวงษ์. องค์กรพัฒนาเอกชนพื้นที่พักพิงชั่วคราว กรณีศึกษาผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่สุริน อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน [วิทยานิพนธ์ปริญญาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต]. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา; 2552.
3. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. การปฏิรูประบบสุขภาพแนวใหม่. นนทบุรี: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข; 2549.
4. สุภางค์ จันทวานิช. การวิจัยเชิงคุณภาพ. กรุงเทพมหานคร: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2547.
5. นิภาพรรณ สฤษดิ์อภิรักษ์, วันชัย อาจเขียน, วราลักษณ์ ตังคณะกุล, อำนวย ทิพศรีราช, สุภาวิณี แสงเรือน. มาตรฐานและแนวทางปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ฉบับปรับปรุงใหม่. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2555.
6. กลุ่มส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ. Future Search Conference (F.S.C.) ในการประชุมเชิงสร้างสรรค์เครื่องมือนักพัฒนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ; 2553.
7. Green LW, Kreuter MW. Health program planning: An educational and ecological approach. 4th ed. New York: McGraw-Hill; 2005.
8. สุเทพ พลอยพลายแก้ว, นิษฐา หรุ่นเกษม, อรนุช ภาชื่น, ศักดิ์ชาย เพ็ชรตรา. การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพตนเองของชุมชนจังหวัดลพบุรี. วารสารพยาบาลทหารบก 2556;14:78-102.
9. ชดาภร ศิริคุณ, วุธิพงศ์ ภักดีกุล. การประเมินความคิดเห็นต่อการพัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ (District Health System: DHS) พื้นที่จังหวัดสกลนคร. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชนมหาวิทยาลัยขอนแก่น 2557;2:53-7.
10. ประเวศ วะสี. บนเส้นทางใหม่การส่งเสริมสุขภาพอภิวัฒน์ชีวิตและสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: หมอชาวบ้าน; 2541.
11. สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. วิวัฒนาการการส่งเสริมสุขภาพระดับนานาชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2541.
12. Gibson CM. Empowerment theory and practice with adolescents of color in the child welfare system. The Journal of Contemporary Human Services 1993;74:387-96.
13. Smith WE. The AIC Model: Concepts and practice. Washington, DC: ODII; 1991.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


