ผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการใช้สารเคมี ทำลายยุงพาหะนำโรคไข้เลือดออก ในพื้นที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดราชบุรี
DOI:
https://doi.org/10.14456/dcj.2018.8คำสำคัญ:
การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ, การใช้สารเคมี, โรคไข้เลือดออก, การควบคุมยุงพาหะบทคัดย่อ
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่สำคัญด้านสาธารณสุข การป้องกันควบคุมโรคเป็นบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการดำเนินงานควบคุมโรคในพื้นที่ มากขึ้น ทำให้มีการใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 90.0 ส่งผลให้ผู้พ่นสัมผัสกับสารเคมี เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายการใช้สารเคมีและ การป้องกันตนเอง และหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการศึกษาแบบ cross-sectional survey research สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานพ่นสารเคมีทำลายยุงพาหะนำโรคไข้เลือดออกในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 602 คน ในเขตรับผิดชอบของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดราชบุรี เก็บข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย ด้วยค่าสถิติ Pearson correlation ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 95.7 อายุเฉลี่ย 41.6 ปี ปฏิบัติงานควบคุมไข้เลือดออกเฉลี่ย 5.4 ปี ผ่านการอบรม ร้อยละ 50.2 สารเคมีที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ deltamethrin ร้อยละ 82.9 ผสมสารในอัตราส่วนที่กำหนด ร้อยละ 46.6 พ่นสารเคมีติดต่อกันมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อ 1 วัน ร้อยละ 31.2 และหยุดพักระหว่างการพ่นน้อยกว่า 30 นาที ร้อยละ 60.3 กลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 47.0 โดยพบว่า ปัจจัยด้านการอบรม ปฏิบัติงานพ่นสารเคมี มีความสัมพันธ์กับระดับความรู้การปฏิบัติงานพ่นสารเคมี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) คือ ผู้พ่นที่ผ่านการอบรม จะมีความรู้การปฏิบัติงานพ่นสารเคมี กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการใช้สารเคมี และการป้องกันตนเองในระดับดี ร้อยละ 55.1 และพบว่าอายุ ระยะเวลาการฉีดพ่นสารเคมี และการอบรมด้าน การปฏิบัติงานฉีดพ่นสารเคมีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สารเคมีและการป้องกันตนเอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) แสดงว่า ผู้พ่นที่มีอายุมาก มีระยะเวลาทำงานพ่นเคมีหลายปี จะมีประสบการณ์ในการพ่นมากขึ้น มีพฤติกรรมการใช้สารเคมีและการป้องกันตนเอง รวมทั้งผู้พ่นที่ผ่านการอบรมจะมีพฤติกรรมในการใช้สารเคมีและการป้องกันตนเอง อาการผิดปกติที่พบมากหลังใช้สารเคมีคือ เจ็บคอ/คอแห้ง ร้อยละ 44.0 และพบว่าอายุและระยะเวลาในการฉีดพ่นสารเคมีมีความสัมพันธ์กับการรับรู้อาการเกิดขึ้นหลังจากการพ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01)
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. สรุปรายงาน การเฝ้าระวังโรค ปี 2557. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2558.
3. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. สรุปรายงาน การเฝ้าระวังโรค ปี 2558. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2559.
4. สุจิตรา นิมมานนิตย์. การติดเชื้อและปัจจัยเสี่ยง. ใน: สีวิกา แสงธาราทิพย์, บรรณาธิการ. โรคไข้เลือดออก ฉบับประเกียรณก. กรุงเทพมหานคร: ชุมชนสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2545. หน้า 9-11.
5 สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค. แนวทางการควบคุมโรคไข้เลือดออกสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข. นนทบุรี: สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค; 2553.
6. สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค. คู่มือ การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. นนทบุรี: สำนักโรคติดต่อนำโดย แมลง กรมควบคุมโรค; 2551.
7. กองแก้ว ยะอูป, บุญเทียน อาสารินทร์, นางลักษณา หลายทวีวัฒน์. การสำรวจการใช้สารเคมีกำจัดแมลง พาหะนำโรคไข้เลือดออกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใน พื้นที่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดขอนแก่น. ขอนแก่น: สำนักงานป้องกัน ควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดขอนแก่น; 2549.
8. ศักดา ศรีนิเวศน์. ผลกระทบของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อสุขภาพ [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 9 มิ.ย. 2558]. แหล่งข้อมูล: onionkuune.blogspot.com/ 2012/07/blog-post_7089.html
9. ลักษณา ลือประเสริฐ. การใช้สารเคมีกำจัดแมลงในบ้านเรือน [อินเทอร์เน็ต]. [สืบค้นเมื่อ 9 มิ.ย. 2558]. แหล่งข้อมูล: webdb.dmsc.moph.go.th/ ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=384\
10. สมศักดิ์ วสาคารวะ. สารเคมีกำจัดแมลง. ใน: สีวิกา แสงธาราทิพย์, บรรณาธิการ. โรคไข้เลือดออกฉบับ ประเกียรณก. กรุงเทพมหานคร: ชุมชนสหกรณ์ การเกษตร แห่งประเทศไทย; 2545. หน้า 89-93.
11. สิริมา มงคลสัมฤทธิ์. ระบาดวิทยาพื้นฐานและวิธีการทางสถิติสำหรับการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ. ใน: สมชัย นิจพานิช, บรรณาธิการ. การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางสุขภาพสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข. นนทบุรี: ศูนย์ปฏิบัติการเตรียมพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรมควบคุมโรค; 2552.หน้า 17-33.
12. พิบูล อิสสระพันธุ์. สถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคจากสารกำจัดศัตรูพืชในประเทศไทย (2549- 2553). นนทบุรี: สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค; 2555.
13. World Health Organization. The WHO recom¬mended classification of pesticides by Hazard and guidelines to classification 2009. Geneva: World Health Organization; 2010.
14. Kumar S, Thomas A, Pillai MKK. Deltamethrin: promising mosquito control agent against adult stage of Aedes aegypti L. Asian Pac J Trop Med 2011;4:430-5.
15. ชวลิต สาทช้าง. ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีในการควบคุมโรคไข้เลือดออกของทีมสุขภาพ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่. [การค้นคว้าแบบอิสระ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต] เชียงใหม่: มหาวิทยาลัย เชียงใหม่; 2554. 107 หน้า.
16. พันธญาณี ไชยแก้ว. ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชกับสุขภาพของเกษตรเพาะปลูกในตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน(การค้นคว้าแบบอิสระ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2551. 62 หน้า.
17 วราพันธุ์ พรวิเศษศิริกุล. ความสัมพันธ์พฤติกรรมการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชกับระดับเอนไซม์ โคลีนเอสเตอเรสในเลือดเกษตรกร หมู่บ้านทุ่งแดง ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (การค้นคว้าแบบอิสระ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2548. 70 หน้า.
18 วิชชาดา สิมลา. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันสารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร ตำบลแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัด พัทลุง. วารสารสาธารณสุขศาสตร์ 2555; 42:103-13.
19. Kedia SK, Palis FG. Health effects of pesticide exposure among Filipino rice farmers. The Applied Anthropologist 2008;28:40-59.
20. Ntow WJ, Gijzen HJ, Kelderman P, Drechsel P: Farmer perceptions and pesticide use practices in vegetable production in Ghana. Pest Manag Sci 2006;62:356-65.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารควบคุมโรค ถือว่าเป็นผลงานทางวิชาการหรือการวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของกรมควบคุมโรค ประเทศไทย หรือกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน


