จริยธรรมในการตีพิมพ์

จริยธรรมในการตีพิมพ์ผลงานวารสารควบคุมโรค  
          วารสารควบคุมโรค จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่วิทยาการเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ และเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้ที่สนใจ นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานควบคุมโรค โดยเป็นไปตามข้อแนะนำสำหรับการดำเนินการ รายงาน การแก้ไข และการตีพิมพ์ผลงานวิชาการในวารสารทางการแพทย์ (ดังลิงก์ : https://www.icmje.org/about-icmje/) ของ ICMJE และหลักการความโปร่งใสและแนวทางการปฏิบัติที่ดีในการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการ ของ WAME (ดังลิงก์ : https://www.wame.org/) และ COPE (ดังลิงก์ : https://publicationethics.org/guidance/guideline/principles-transparency-and-best-practice-scholarly-publishing)

การขอความยินยอมจากผู้ป่วย/ผู้ให้ข้อมูล (Patient/Key Informant Consent)
          การปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูลของผู้ป่วย/ผู้ให้ข้อมูล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตีพิมพ์บทความ โดยวารสารควบคุมโรคถือปฏิบัติตามข้อแนะนำ และหลักการความโปร่งใสในการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการของ ICMJE และ COPE ผู้นิพนธ์ควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยภาพถ่ายของผู้ป่วย/ผู้ให้ข้อมูล ภาพถ่ายรังสี เช่น ภาพอัลตราซาวน์ ภาพ CT Scan เป็นต้น รวมถึงประวัติครอบครัวที่สามารถระบุตัวผู้ป่วย/ผู้ให้ข้อมูลได้ เว้นแต่ข้อมูลดังกล่าวมีความจำเป็นต่อวัตถุประสงค์การศึกษา และได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ป่วย ผู้ปกครอง ผู้ดูแล หรือผู้ให้ข้อมูลแล้ว
          หากมีการใช้ภาพถ่ายของผู้ป่วย/ผู้ให้ข้อมูล ผู้นิพนธ์ต้องระบุในบทความว่า ได้รับความยินยอมเผยแพร่จากผู้ป่วย ผู้ปกครอง ผู้ดูแล หรือผู้ให้ข้อมูลแล้ว ทั้งนี้ต้องมีวิธีการปกปิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลในภาพ การใช้แถบสีดำคาดทับดวงตาไม่ถือเป็นวิธีการปกปิดตัวตนที่ยอมรับได้ ในบางกรณีวารสารอาจขอหลักฐานการให้ความยินยอมจากผู้นิพนธ์ ภาพถ่ายที่ไม่มีการขอความยินยอมที่เหมาะสมจะถูกนำออกจากการตีพิมพ์

การจัดการข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบ (Allegations of Misconduct)
          วารสารควบคุมโรค ให้ความสำคัญกับการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบที่ผิดจริยธรรม ผิดกฎหมาย คุกคาม หรือลำเอียงที่ดำเนินการโดยพนักงานปัจจุบันหรืออดีตพนักงาน การแจ้งเบาะแสยังรวมถึงการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ การแจ้งเบาะแสสามารถกระทำโดยส่งอีเมลถึงวารสารควบคุมโรคทาง ddc.journal@ddc.mail.go.th รวมถึงการตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยวารสารควบคุมโรคเอง ทั้งกรณีก่อนเผยแพร่ (pre-publication) และกรณีหลังเผยแพร่ (post-publication)
          ภายหลังการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อกล่าวหาอย่างรอบคอบ จะมีการแจ้งรายละเอียดการพิจารณาและผลการตัดสินส่งกลับผู้แจ้งเบาะแสทางอีเมล ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการจริยธรรมการตีพิมพ์ (COPE) (ดังลิงก์ : https://publicationethics.org/guidance/flowchart/responding-concerns-raised-social-media)

การร้องเรียนและการอุทธรณ์ (Complaints and Appeals)
          การส่งเรื่องร้องเรียนและการอุทธรณ์ สามารถดำเนินการโดยส่งมายังอีเมลของหัวหน้าบรรณาธิการ (ddc.journal@ddc.mail.go.th)

การอภิปราย และการแก้ไข หลังการตีพิมพ์ (Post-publication Discussion and Corrections)
          วารสารควบคุมโรคให้ความสําคัญกับการอภิปรายและการแก้ไขหลังการตีพิมพ์ เพื่อสร้างความมั่นใจในผลงานวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์ โดยอ้างอิงตามแนวปฏิบัติหลักของ COPE และแนวทางของ WAME ดังนี้

  1. ความคิดเห็นหลังการตีพิมพ์ (Post publication comments) : วารสารขอเชิญชวนผู้อ่านและผู้เขียนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับบทความที่ตีพิมพ์ โดยส่งจดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to Editor) ผ่านช่องทางส่งบทความของวารสาร
  2. การแก้ไข (Corrections) : หากพบข้อผิดพลาดที่ส่งผลต่อการตีความหรือความเข้าใจของบทความหลังการตีพิมพ์ วารสารจะแจ้งแก้ไข และการแก้ไขจะทําในลักษณะที่โปร่งใส โดยมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างและเพราะเหตุใด
  3. การเพิกถอน (Retractions) : ในกรณีที่ข้อผิดพลาดกระทบต่อความถูกต้องของการวิจัยหรือมาตรฐานทางจริยธรรม อาจจําเป็นต้องเพิกถอน การเพิกถอนจะดําเนินการในลักษณะที่โปร่งใส สอดคล้องกับแนวทางของ COPE (ดังลิงก์ : https://publicationethics.org/guidance/guideline/retraction-guidelines) ทั้งนี้ บทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะมีเพียงลายน้ำที่แสดงป้ายกำกับ Retracted”
  4. การแสดงความกังวล (Expressions of Concern) : หากมีข้อกังวลเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของบทความ แต่หลักฐานไม่เป็นที่แน่ชัด วารสารอาจแสดงความกังวลในขณะที่กำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ได้

บทบาทและหน้าที่ของผู้นิพนธ์

  1. ผู้นิพนธ์ต้องไม่ส่งบทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่ส่งต้นฉบับบทความซ้ำซ้อนกับวารสารอื่น และผู้นิพนธ์ต้องไม่นำผลงานไปเผยแพร่หรือตีพิมพ์กับแหล่งอื่น ๆ หลังจากที่ได้รับการตีพิมพ์กับวารสารควบคุมโรคแล้ว
  2. ผู้นิพนธ์จะต้องระบุชื่อแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนในการทำวิจัย (ถ้ามี) และจะต้องระบุผลประโยชน์ ทับซ้อน (ถ้ามี)
  3. คณะชื่อผู้นิพนธ์ที่ปรากฏในบทความต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในผลงานนี้จริง ได้แก่ การกำหนดกรอบแนวคิด การออกแบบการศึกษา/วิจัย การดำเนินการ และการวิเคราะห์ตีความผลการศึกษา/วิจัย ที่นำไปสู่บทความ
  4. หากบทความที่ขอรับการตีพิมพ์เกี่ยวกับการวิจัยทดลองในมนุษย์ ผู้นิพนธ์จะต้องระบุหลักฐานว่าโครงการวิจัยดังกล่าว ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว ขอให้ระบุเลขที่และสถาบันที่ให้การรับรองจริยธรรมการวิจัย ทั้งนี้ การอนุมัติให้ลงตีพิมพ์ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากกองบรรณาธิการวารสาร ถือเป็นที่สิ้นสุด
  5. หากบทความที่ขอรับการตีพิมพ์เกี่ยวข้องกับการใช้สัตว์ ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าได้ดำเนินการตามหลักจริยธรรม ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ขอให้ระบุเลขที่และสถาบันที่ให้การรับรองจริยธรรมการวิจัย ทั้งนี้ การอนุมัติให้ลงตีพิมพ์ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากกองบรรณาธิการวารสาร ถือเป็นที่สิ้นสุด
  6. ผู้นิพนธ์ไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่น และต้องมีการอ้างอิงทุกครั้งเมื่อนำผลงานของผู้อื่นมานำเสนอ หรืออ้างอิงในเนื้อหาบทความของตนเอง
  7. ผู้นิพนธ์จะต้องอ้างอิงผลงาน ภาพหรือตาราง หากมีการนำมาใช้ในบทความของตนเอง โดยต้องระบุการได้รับอนุญาตให้ใช้ในเนื้อหา “ที่มา” เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ (หากมีการฟ้องร้องจะเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์แต่เพียงผู้เดียว  ทางวารสารจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น)
  8. ในบทความ ผู้นิพนธ์จะต้องไม่รายงานข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อมูลเท็จ หรือการปลอมแปลง บิดเบือน รวมไปถึงการตกแต่ง หรือเลือกแสดงข้อมูลเฉพาะที่สอดคล้องกับข้อสรุป
  9. การกล่าวขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือในกิตติกรรมประกาศนั้น หากสามารถทำได้ ผู้นิพนธ์ควรขออนุญาตจากผู้ที่ผู้นิพนธ์ประสงค์จะขอบคุณเสียก่อน

บทบาทและหน้าที่ของผู้ประเมินบทความ

  1. ผู้ประเมินบทความต้องคำนึงถึงคุณภาพของบทความเป็นหลัก โดยพิจารณาบทความภายใต้หลักการและเหตุผลทางวิชาการ โดยปราศจากอคติหรือความคิดเห็นส่วนตัว และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น หากผู้ประเมินบทความตระหนักว่า ตนเองอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์ ที่ทำให้ไม่สามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างอิสระได้ ผู้ประเมินบทความควรแจ้งให้บรรณาธิการวารสารทราบ และปฏิเสธการประเมินบทความนั้น ๆ
  2. ผู้ประเมินบทความต้องไม่แสวงหาประโยชน์จากผลงานทางวิชาการที่ตนเองได้ทำการพิจารณาประเมินบทความ และไม่นำข้อมูล บางส่วนหรือทุกส่วนของบทความไปเป็นผลงานของตนเอง
  3. ผู้ประเมินบทความ ควรมีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่ตนประเมินบทความ โดยพิจารณาความสำคัญของเนื้อหาในบทความที่มีต่อสาขาวิชานั้น ๆ คุณภาพของการวิเคราะห์ และความเข้มข้นของผลงานหรือระบุผลงานวิจัยที่สำคัญ ๆ และสอดคล้องกับบทความที่กำลังประเมิน และผู้ประเมินไม่ควรใช้ความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีข้อมูลรองรับมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินบทความ
  4. เมื่อผู้ประเมินบทความพบว่า มีส่วนใดของบทความที่มีความเหมือนหรือซ้ำซ้อนกับผลงานชิ้นอื่น ๆ
    ผู้ประเมินบทความต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบโดยทันที
  5. ผู้ประเมินบทความต้องรักษาระยะเวลาประเมินตามกรอบเวลาประเมินที่วารสารกำหนด
  6. ผู้ประเมินบทความต้องรักษาความลับ และไม่เปิดเผยข้อมูลของบทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณา แก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องในช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความ

บทบาทและหน้าที่ของบรรณาธิการ

  1. การตัดสินใจของบรรณาธิการต่อการ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การตีพิมพ์บทความควรขึ้นอยู่กับ เนื้อหาบทความที่สอดคล้องกับ  เป้าหมาย คุณภาพ ความสำคัญ ความใหม่ และความชัดเจนของบทความ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับขอบเขตของวารสารควบคุมโรค และมีการตรวจสอบการคัดลอกผลงานผู้อื่น (plagiarism) อย่างจริงจัง โดยใช้โปรแกรมที่เชื่อถือได้ เพื่อให้แน่ใจว่า บทความ  ที่ตีพิมพ์ในวารสาร ไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่น และหากตรวจพบการคัดลอกผลงานของผู้อื่น ต้องดำเนินการหยุดกระบวนการประเมินบทความ และติดต่อผู้นิพนธ์บทความทันที เพื่อขอคำชี้แจงประกอบการประเมินบทความนั้น ๆ
  2. บรรณาธิการมีหน้าที่พิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้อง และให้ผลที่น่าเชื่อถือ สมควรตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารควบคุมโรคหรือไม่
  3. บรรณาธิการต้องใช้เหตุผลทางวิชาการในการพิจารณาบทความ โดยปราศจากอคติที่มีต่อบทความและ ผู้นิพนธ์ ในด้านเชื้อชาติ เพศ ศาสนา วัฒนธรรม การเมือง และสังกัดของผู้นิพนธ์
  4. บรรณาธิการต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้นิพนธ์หรือผู้ประเมินบทความ และไม่นำบทความหรือวารสารไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ หรือนำไปเป็นผลงานทางวิชาการของตนเอง
  5. บรรณาธิการต้องไม่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาบทความและผลประเมินของผู้ประเมินบทความ รวมถึงไม่ปิดกั้นหรือแทรกแซงข้อมูลที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างผู้ประเมินบทความและผู้นิพนธ์
  6. บรรณาธิการจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้นิพนธ์ และผู้ประเมินบทความแก่บุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาของการประเมินบทความ
  7. บรรณาธิการต้องปฏิบัติตามกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ของวารสารควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด
  8. บรรณาธิการต้องรักษามาตรฐานของวารสารควบคุมโรค รวมถึงพัฒนาวารสารให้มีคุณภาพและมีความทันสมัยเสมอ