Singburi Hospital Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj <p>Singburi Hospital Journal มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ผลงานวิจัย บทความวิชาการ กรณีศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา การพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ ในการนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่เป็นประโยชน์แก่สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาล เป็นวารสารราย 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 พฤษภาคม – สิงหาคม <br /> ฉบับที่ 2 กันยายน – ธันวาคม <br /> ฉบับที่ 3 มกราคม – เมษายน</p> th-TH <div class="item copyright"> <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลสิงห์บุรี และบุคคลากรท่านอื่นๆในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div> </div> singhosp-journal@hotmail.com (บรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลสิงห์บุรี) Kew-walee@hotmail.com (นางสาวเกวลี แจ้งสว่าง) Tue, 07 May 2024 10:37:57 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการคัดแยกขยะอันตราย ในครัวเรือนของประชาชนในตำบลนาเมืองเพชร อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267942 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมการคัดแยกขยะอันตรายในครัวเรือนของประชาชน และศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการคัดแยกขยะอันตรายในครัวเรือนของประชาชน ในตำบลนาเมืองเพชร อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.817 กลุ่มตัวอย่าง คือ ตัวแทนครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลนาเมืองเพชร อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง จำนวน 315 คน สถิติที่ใช้วิจัยคือสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบไคสแควร์ และสถิติการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า.ปัจจัยส่วนบุคคล รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการคัดแยกขยะอันตรายในครัวเรือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>.&lt;.0.01 ส่วนปัจจัยตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีความมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการคัดแยกขยะอันตรายในครัวเรือน ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงจากขยะอันตรายในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง r = 0.325, <em>p</em> &lt; 0.001 การรับรู้ความรุนแรงของขยะอันตรายในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ระดับต่ำ r = 0.117, <em>p</em> &lt; 0.05 การรับรู้ถึงประโยชน์ต่อการจัดการขยะอันตรายในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง r = 0.374, <em>p </em>&lt; 0.001 การรับรู้สิ่งชักนำสู่การจัดการขยะอันตรายในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง r = 0.456, p &lt; 0.001 และการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการจัดการขยะอันตรายในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ระดับปานกลาง r = 0.523, <em>p</em> &lt; 0.001</p> ธัชชัย สุขยัง, รัฐพล ศิลปรัศมี, ทัศพร ชูศักดิ์ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267942 Tue, 07 May 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอักเสบของผู้ปกครอง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อำเภอเมือง จังหวัดยะลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267902 <p>โรคปอดอักเสบเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หากผู้ปกครองมีความรอบรู้ด้านสุขภาพจะสามารถลดการเกิดโรคปอดอักเสบได้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันโรคปอดอักเสบของผู้ปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอักเสบของผู้ปกครอง กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ปกครองของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จำนวน 173 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอักเสบอยู่ในระดับปานกลาง (M=1.98, S.D.=.76) มีพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอักเสบอยู่ในระดับปานกลาง (M=2.00, S.D.=.36) และความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับพฤติกรรมการป้องกันโรคปอดอักเสบของผู้ปกครองเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี (r=.639, p&lt;.001)</p> <p>บุคลากรทางการแพทย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำผลวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคปอดอักเสบ เน้นให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและการแพร่กระจายเชื้อของโรคปอดอักเสบ และส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ของมารดาวัยทำงาน</p> อิบตีซาน เจ๊ะอุบง, พรรณี บัญชรหัตถกิจ, ทัศพร ชูศักดิ์, วัชราภรณ์ วงศ์สกุลกาญจน์ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267902 Tue, 07 May 2024 00:00:00 +0700 ลักษณะทางคลินิกของกลุ่มอาการสูงอายุในผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน ที่มารับบริการคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลสระบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/269087 <p>ปัจจุบันประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวเรื้อรังมากกว่าหนึ่งโรค.ซึ่งโรคเบาหวานเป็นโรคที่พบมากที่สุด ในผู้สูงอายุ การประเมินผู้สูงอายุแบบองค์รวมนอกจากตรวจรักษาโรคประจำตัวเรื้อรังแล้ว ยังต้องหากลุ่มอาการสูงอายุอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการศึกษาลักษณะทางคลินิกของกลุ่มอาการสูงอายุในผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน.ที่มารับบริการคลินิกสูงอายุ โรงพยาบาลสระบุรีใช้วิธีการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง โดยรวบรวมผู้ป่วยที่มาใช้บริการคลินิกสูงอายุ โรงพยาบาลสระบุรี ระหว่างวันที่ 1 มกราคม.-.31 ธันวาคม 2565 เพื่อวิเคราะห์หาความชุกและลักษณะของกลุ่มอาการสูงอายุ ได้แก่ การใช้ยาหลายขนาน การหกล้ม ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ภาวะซึมเศร้า ภาวะทุพโภชนาการ และภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และหาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาการสูงอายุกับผู้สูงอายุที่ตามสถานการณ์ป่วย เป็นโรคเบาหวาน โดยใช้สถิติ Chi-square test</p> <p>ผลการศึกษา<strong>.</strong>จากผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด.237.คน อายุเฉลี่ย.74.26±6.92.ปี.ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง.73.00%.มีผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน 36.63% ความชุกของการใช้ยาหลายขนานในกลุ่มที่เป็นเบาหวาน 78.00% สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มไม่เป็นเบาหวาน 31.40% (<em>p</em>=0.000) ความชุกของการหกล้มในกลุ่มที่เป็นเบาหวาน 50.00% สูงกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มไม่เป็นเบาหวาน 36.50% (<em>p</em>=0.038) ความชุกของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ในกลุ่มที่เป็นเบาหวาน 38.00%.สูงกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มไม่เป็นเบาหวาน.16.80% (<em>p</em>=0.000) และจำนวนของกลุ่มอาการสูงอายุในกลุ่มที่เป็นโรคเบาหวานสูงกว่ากลุ่มที่ไม่เป็นโรคเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>=0.004)</p> <p>ผลสรุป ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานมีจำนวนกลุ่มอาการสูงอายุมากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะการรับประทานยาหลายขนาน การหกล้ม และภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่</p> วรุฒ ทองอยู่ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/269087 Tue, 28 May 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267677 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 322 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.8 เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม 2566 ถึงสิงหาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ อยู่ในระดับมีปฏิสัมพันธ์ ร้อยละ 80.1 อยู่ในระดับวิจารณญาณ ร้อยละ 17.4.และระดับพื้นฐาน ร้อยละ 2.5 ได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม ระดับปานกลาง ร้อยละ 78.6.ระดับดี ร้อยละ 18.9 และระดับไม่ดี ร้อยละ 2.5 และมีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ ระดับปานกลาง ร้อยละ 81.4 ระดับดี ร้อยละ 18.6 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม และความรอบรู้ด้านสุขภาพ ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์เท่ากับ 0.814 และ 0.173 ตามลำดับ ซึ่งร่วมกันทำนายได้ ร้อยละ 46.6</p> <p>จากผลการศึกษานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมแรงสนับสนุนทางสังคมและความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพอย่างต่อเนื่องและมีสุขภาพที่ดีต่อไป</p> นราวิชญ์ บุญเทียน, ทัศพร ชูศักดิ์, พรรณี บัญชรหัตถกิจ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/267677 Thu, 30 May 2024 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกระยะสุดท้ายที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง: กรณีศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/265493 <p>การศึกษาผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกระยะสุดท้ายได้รับการดูแลแบบประคับประคอง 1 ราย ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยอาการสำคัญคือ มีเลือดออกมากจากแผลเรื้อรังบริเวณก้อนที่คอด้านซ้ายได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งโพรงจมูกระยะที่ 4 แบ่งระยะโดยระบบ Kadish คือมะเร็งมีการกระจายไปยังอวัยวะไกล เป็นระยะสุดท้ายของการดำเนินโรค ซึ่งไม่มีวันรักษาให้หายได้ โดยมากจะมีชีวิตอยู่น้อยกว่า 1 ปี การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลรักษาแบบประคับประคองของผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกระยะสุดท้าย โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยลดอาการปวดและอาการรบกวนอื่นๆ ยอมรับภาวะเจ็บป่วยในระยะการดำเนินโรค มีกำลังใจในการใช้ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ</p> <p>ผลการศึกษา ผู้ป่วยชายไทย อายุ 51 ปี มีประวัติโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง 20 ปี และ3 ปีก่อนตรวจพบมะเร็งที่โพรงจมูกรักษาโดยการฉายแสง 7 ครั้งหยุดการรักษาเองเลือกการรักษาแพทย์ทางเลือกสมุนไพรมาโรงพยาบาลด้วย มีแผลเรื้อรังที่คอข้างซ้ายมีเลือดออกมาก แรกรับที่อุบัติเหตุและฉุกเฉิน E4V5M6 แผลที่คอมีเลือดออก ความดันโลหิต 93/57 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 110 ครั้งต่อนาที หายใจเหนื่อยอัตราการหายใจ 24 ครั้ง/นาที ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูกระยะสุดท้ายร่วมกับภาวะช็อก รับเข้านอนพักรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยซึมลงอ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ได้ ปรึกษา ทีมการดูแลประคับประคองร่วมกับผู้ป่วยและญาติถึงการวางแผนการรักษาล่วงหน้า สามารถตัดสินใจเลือกการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยตนเองร่วมกับญาติ ไม่ต้องการ การใส่ท่อช่วยหายใจและการช่วยฟื้นคืนชีพ</p> <p>ผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกระยะสุดท้ายที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลให้การพยาบาลผู้ป่วย จึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับตัวโรคพยาธิสภาพ การรักษาและการจัดการ อาการรบกวน ให้การพยาบาลแบบองค์รวมโดยการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและญาติในการวางแผนการดูแลต่อเนื่องจากโรงพยาบาลไปบ้านและชุมชนทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามสภาวะการเจ็บป่วยส่งผลให้บรรลุเป้าหมายของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองคือ การตายดี (good death) ซึ่งสามารถนำผลการศึกษามาเป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยรายอื่นลำดับต่อไป</p> สุนทรี เรืองสวัสดิ์, ศิริเนตร สุขดี Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/265493 Tue, 21 May 2024 00:00:00 +0700 การกระตุ้นการปิดปลายรากฟันในฟันกรามน้อยล่างขวาซี่ที่สองที่ไม่มีชีวิต ด้วยแคลเซียมไฮดรอกไซด์และการอุดคลองรากฟันโดยใช้ไบโอเซรามิก ซีลเลอร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/268647 <p>ฟันแท้ปลายรากฟันเปิดที่ไม่มีชีวิตมีสาเหตุประการหนึ่งมาจากการแตกหักของปุ่มนูนบนด้านบดเคี้ยวของตัวฟันทำให้ต้องได้รับการรักษาคลองรากฟัน ซึ่งมีความท้าทายในการรักษาคลองรากฟันให้มีคุณภาพ เนื่องจากฟันไม่มีจุดหยุดบริเวณปลายรากฟัน และมีผนังคลองรากฟันบาง จึงมีวิธีการรักษามากมายในการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อแข็งบริเวณปลายรากฟันด้วยวัสดุชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะทำการอุดคลองรากฟันด้วยวิธีการที่เหมาะสมต่อไป วิธีการรักษาหนึ่งที่ได้รับการยอมรับคือ การกระตุ้นการปิดปลายรากฟันด้วยแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งเป็นวิธีที่มีอัตราความสำเร็จสูงและประหยัดค่าใช้จ่าย กรณีศึกษาผู้ป่วยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการกระตุ้นการปิดปลายรากฟัน ด้วยแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในฟันกรามน้อยล่างขวาซี่ที่สองที่ไม่มีชีวิตและการอุดคลองรากฟันโดยใช้ไบโอเซรามิก ซีลเลอร์</p> <p>ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 12 ปี ฟันกรามน้อยล่างขวาซี่ที่สอง (ฟันซี่ 45) พบปุ่มนูนด้านบดเคี้ยวสึกและมีรูเปิดทางหนองไหลบริเวณปลายรากฟัน ภาพรังสีพบปลายรากฟันเปิดและมีรอยโรคบริเวณปลายรากฟัน ได้รับการวินิจฉัยว่า ฟันไม่มีชีวิตร่วมกับเนื้อเยื่อรอบปลายรากฟันอักเสบเรื้อรังแบบมีหนอง ให้การรักษาโดยการกระตุ้นปลายรากฟันให้ปิดด้วยแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ระยะเวลา 4 เดือน ก่อนอุดปิดคลองรากฟันด้วยกัตทาเพอร์ชาและไบโอเซรามิกซีลเลอร์ ติดตามผลการรักษา 3 เดือนพบว่าฟันกรามน้อยล่างขวาซี่ที่สอง ไม่มีอาการใด ๆ เหงือกและอวัยวะปริทันต์อยูในเกณฑ์ปกติ ภาพรังสีรอบปลายรากฟันทึบรังสีขึ้นชัดเจน</p> <p>การรักษาฟันแท้ปลายรากฟันเปิดที่ไม่มีชีวิตจำเป็นต้องได้รับการประเมินการเจริญของรากฟันที่ถูกต้อง เพื่อจะสามารถวางแผนการรักษาฟันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถพยากรณ์โรคและอัตราความสำเร็จได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้เนื่องจากผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีส่วนหนึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ปกครอง นอกจากนี้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการรักษาของทันตแพทย์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของการรักษาได้</p> พิริยะ สุภพานิชย์ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/268647 Mon, 10 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์: กรณีศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/269179 <p>โรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ (bullous pemphigoid) เป็นโรคถุงน้ำพองเรื้อรังที่เกิดความผิดปกติของภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ การดำเนินของโรคมีลักษณะเป็นๆ หายๆ ทำให้ผู้ป่วยต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลานาน โรคนี้จึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย วัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพยาบาล และการดูแลผู้ป่วยโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ รูปแบบการศึกษาเป็นกรณีศึกษาผู้ป่วยโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ที่มารับการตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 1-31 มกราคม 2567 และนัดติดตามอาการต่อเนื่อง 1 ครั้ง รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูล กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผน ปฏิบัติการพยาบาล และประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาลทุกระยะของการดูแล</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 62 ปี มารับการตรวจด้วยอาการมีถุงน้ำพองใสกระจายทั่วตัว 3 สัปดาห์ แพทย์วินิจฉัย เป็นโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ รักษาโดยใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน ร่วมกับให้ยาบรรเทาอาการไม่สุขสบายจากพยาธิสภาพ ของโรค และได้รับการดูแลตามกระบวนการพยาบาล สามารถจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านได้</p> <p>ดังนั้นพยาบาลวิชาชีพแผนกผู้ป่วยนอกจึงต้องมีความรู้และทักษะในการประเมินสภาพ และให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์ รวมถึงประเมินภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคได้อย่างปกติ</p> อลงกรณ์ สุขเรืองกูล, อาณัติ วรรณะ Copyright (c) 2024 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/269179 Mon, 10 Jun 2024 00:00:00 +0700