Singburi Hospital Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj <p>Singburi Hospital Journal มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ผลงานวิจัย บทความวิชาการ กรณีศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา การพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ ในการนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่เป็นประโยชน์แก่สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาล เป็นวารสารราย 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม <br /> ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> th-TH <div class="item copyright"> <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลสิงห์บุรี และบุคคลากรท่านอื่นๆในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div> </div> singhosp-journal@hotmail.com (บรรณาธิการวารสารโรงพยาบาลสิงห์บุรี) Kew-walee@hotmail.com (นางสาวเกวลี แจ้งสว่าง) Wed, 16 Jul 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมในประชากรก่อนวัยสูงอายุและผู้สูงอายุวัยต้น อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/276779 <p>โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสำคัญที่พบมากในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อม รูปแบบการวิจัยเป็นเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่างคือ ประชากรก่อนวัยสูงอายุและผู้สูงอายุวัยต้น (50 – 69 ปี) ในเขตอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 265 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบความชุกของความเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมร้อยละ 38.5 ระดับอาการโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับเล็กน้อย ความเสี่ยงมีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของอาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.610, p&lt;.001) ปัจจัยเสี่ยงที่พบ ได้แก่ อาชีพข้าราชการ ผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ ภาวะอ้วน ผู้มีประวัติบาดเจ็บข้อเข่า ขณะที่พฤติกรรมสุขภาพ และหากจัดการความเครียดได้ดี หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อบุหรี่ต่ำ จะทำให้ความเสี่ยงลดลงร้อยละ 36.8 และ 18.5 ตามลำดับ โดยตัวแบบในการศึกษามีความเหมาะสม และมีความสามารถในการพยากรณ์ได้ร้อยละ 77.0</p> <p>การคัดกรองภาวะข้อเข่าเสื่อมควรขยายจากกลุ่มผู้สูงอายุลงมาในกลุ่มประชากรก่อนวัยสูงอายุ และเน้นไปที่กลุ่มที่มีดัชนีมวลกายที่แสดงภาวะน้ำหนักเกิน ผู้มีประวัติการบาดเจ็บข้อเข่า กลุ่มที่มีความเครียด สูบบุหรี่ และอาชีพข้าราชการซึ่งเป็นกลุ่มที่ความเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อม รวมทั้งมีระบบการจัดการเพื่อให้แต่ละกลุ่ม ที่มีระดับความรุนแรงของอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมต่างกันเข้าสู่ระบบการดูแลในด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสมรรถภาพตามปัญหาต่อไป</p> ธเนศ ตติรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/276779 Wed, 16 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนาของโรคลำไส้กลืนกันในเด็ก ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/278273 <p>โรคลำไส้กลืนกันเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะลำไส้อุดตันเฉียบพลันในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว สามารถลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลโรคลำไส้กลืนกันในเด็ก ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังเชิงพรรณนา เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยเด็ก อายุ 0-15 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยโรคลำไส้กลืนกันในโรงพยาบาลเสนา และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ปี พ.ศ.2563-2567</p> <p>ผลการศึกษา ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยโรคลำไส้กลืนกัน 45 ราย (ชาย 28 หญิง 17, 1.6:1) อายุ 3 เดือน ถึง 9 ปี 1 เดือน มาด้วยอาการปวดท้องมากที่สุด 40 ราย (81.6%) รองลงมาคือ อาเจียน ถ่ายเป็นมูกเลือด พบ Classic triad เพียง 11 ราย (22.4%) การตรวจร่างกายพบอาการปวดท้อง 19 ราย (38.8%) ท้องอืด 17 ราย (34.7%) คลำได้ก้อนบริเวณหน้าท้อง 8 ราย (16.3%) การวินิจฉัยแรกรับเป็น Rule out Intussusception มากที่สุด 15 ราย (30.6%) ได้รับรักษาด้วยวิธีใช้แรงดันผ่านทวารหนักด้วยลม 32 ราย (71.1%) ผ่าตัดเปิดช่องท้อง 21 ราย (46.7%) และหายเองก่อนรักษา 2 ราย (4.4%) มีภาวะแทรกซ้อน 12 ราย (26.7%) และไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต</p> <p>โรคลำไส้กลืนกันในเด็กเป็นภาวะฉุกเฉินทางช่องท้อง แพทย์ที่พบผู้ป่วยเป็นคนแรกมีความสำคัญในการวินิจฉัย ทำให้ได้รับรักษาที่ถูกต้อง และรวดเร็ว ลดอัตราการผ่าตัด และการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง</p> ชนากานต์ ตันจรารักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/278273 Sun, 20 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทางมารดาที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ในมารดาที่คลอดครบกำหนดในโรงพยาบาลสิงห์บุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279839 <p>ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย เป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก เป็นตัวบ่งชี้ภาวะทุพโภชนาการของมารดา และการดูแลสุขภาพมารดาระหว่างฝากครรภ์ที่ยังไม่ดี ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยมีความเสี่ยงต่อการตายปริกำเนิดและอัตราทุพพลภาพสูง งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง (retrospective case-control study) เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2567 เพื่อศึกษาปัจจัยทางมารดาที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2500 กรัม ในมารดาที่คลอดครบกำหนด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ด้วยสถิติพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (Chi-square test และ Fisher’s exact test)</p> <p>จากการศึกษา พบว่ามารดาคลอดทั้งหมด 1,773 ราย มีทารกคลอดครบกำหนดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม จำนวน 70 ราย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ คือ ระดับการศึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;x^{2}" alt="equation" /> =19.598, p&lt;0.001) รายได้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;x^{2}" alt="equation" /> =11.321, p=0.023) การฝากครรภ์ครั้งแรก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;x^{2}" alt="equation" /> =6.190, p=0.045) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;x^{2}" alt="equation" /> =9.766, p=0.045) โรคร่วมทางอายุรกรรม (fisher’s exact test=5.818, p=0.017) และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์เทียบกับค่าดัชนีมวลกาย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;x^{2}" alt="equation" /> =8.116, p=0.017) </p> <p>สรุปผลการศึกษา มารดาคลอดทารกน้ำหนักตัวน้อยมีความสัมพันธ์กับระดับการศึกษาต่ำกว่า ปวส./ม.ปลาย รายได้ต่อเดือน น้อยกว่า 10,000 บาท มาฝากครรภ์ครั้งแรกช้ากว่า 12 สัปดาห์ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์น้อยกว่า 11.5 kg. มีโรคร่วมทางอายุรกรรม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และมารดาที่มีน้ำหนักขึ้นตลอดการตั้งครรภ์น้อยเมื่อเทียบกับค่าดัชนีมวลกายเริ่มต้น </p> วิชชุลดา เชาว์นวม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279839 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของการรักษาโรคหัวใจล้มเหลวชนิดการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลง ด้วยแนวทางการการปรับยาแบบเข้มข้นและรวดเร็ว ในคลินิกหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279783 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษาหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อน และหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการรักษาโรคหัวใจล้มเหลวชนิดการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลง ด้วยแนวทางการการปรับยาแบบเข้มข้น และรวดเร็วในคลินิกหัวใจล้มเหลวโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว จำนวน 34 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง คือ แนวทางการปรับยาแบบเข้มข้น และรวดเร็วในคลินิกหัวใจล้มเหลว และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกการตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ แบบบันทึกการรักษาด้วยยาตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว (Guideline - directed Medical Therapies) ระยะเวลาเฉลี่ยในการรับยาครบตาม Guideline - directed Medical Therapies อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และข้อมูลการกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิต Paired T - Test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า หลังการใช้แนวทางการการปรับยาแบบเข้มข้น และรวดเร็วกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างได้รับการปรับยาได้ครบตามแนวทาง GDMT กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ได้รับยาตามขนาด Maximum tolerated dose (% Target Dose) โดยมีระยะเวลาในการปรับยาถึงขนาดที่ทนได้ (Maximum Tolerated Dose) ทั้ง 3 กลุ่ม ได้ใน 6 - 10 สัปดาห์ โดยระหว่างการรักษาตามแนวทางการปรับยาแบบเข้มข้น และรวดเร็วไม่พบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่รุนแรง หลังได้รับการรักษากลุ่มตัวอย่างมีค่า LVEF, % (mean ± SD) เพิ่มขึ้นจาก 23.67 ± 6.81 % เป็น 35.20 ± 9.57% และมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>&lt; .005)</p> <p>แนวทางการปรับยาแบบเข้มข้น และรวดเร็วในคลินิกหัวใจล้มเหลวช่วยให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถได้รับยาตามเป้าหมายในระดับที่ปลอดภัย และเหมาะสม โดยมีอาการไม่พึงประสงค์อยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนความเป็นไปได้ของการใช้แนวทางดังกล่าวในเวชปฏิบัติจริง</p> สกลรัฐ ห้วยธาร, วรัญญา เกษไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279783 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมบรรเทาอาการปวดเข่าด้วยตนเองในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม ในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางกระบือ 2 อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/278989 <p>ภาวะข้อเข่าเสื่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทที่การเข้าถึงบริการยังไม่ทั่วถึง การจัดการอาการปวดเข่าด้วยตนเองในผู้สูงอายุเป็นแนวทางที่เหมาะสมในหลายพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอาการปวดเข่าในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม ภายหลังได้รับโปรแกรมบรรเทาอาการปวดเข่าด้วยตนเอง ในระยะเวลา 4 สัปดาห์ ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว 40 คน ในพื้นที่หมู่ 4 และหมู่ 7 ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินระดับความเจ็บปวดชนิดตัวเลข (1-10 คะแนน) และแบบคัดกรองข้อเข่าเสื่อมทางคลินิกของกระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และ Repeated measure ANOVA</p> <p>ผลการทดลอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 92.5) และมีอาการปวดเข่าเริ่มแรกอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 6.6, sd. = 1.90) ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ อาการปวดเข่ามีแนวโน้มลดลงเหลือค่าเฉลี่ย 2.8 (sd.= 1.19) เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 และความแตกต่างของผลการทดลอง (ก่อน-หลัง) แต่ละครั้ง ในแต่ละสัปดาห์ มีนัยสำคัญทางสถิติ (F-test = 4.18, p = 0.007) อย่างไรก็ตามยังพบว่าอาการปวดเข่าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้นของสัปดาห์ถัดไป เช่น หลังการบำบัดสัปดาห์แรก อาการปวดอยู่ที่ 4.7 และเมื่อเริ่มสัปดาห์ที่ 2 อาการปวดอยู่ที่ 5.2 ซึ่งจะพบในทุก ๆ รอบของการทดลอง</p> <p>โปรแกรมบรรเทาอาการปวดเข่าด้วยตนเองมีประสิทธิภาพในระยะสั้น ข้อเสนอ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ระยะยาว อาจต้องพิจารณาความต่อเนื่องและระยะเวลาของโปรแกรม รวมถึงการควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อผลลัพธ์และการวัดผลลัพธ์เพิ่มเติม</p> รุ่งหิรัญ อินเจ๊ก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/278989 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 การติดตามแรงในการกางไหล่หลังการผ่าตัดย้ายเส้นประสาทในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บ ที่แขนงเส้นประสาทรยางค์บนในโรงพยาบาลสระบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279202 <p>การบาดเจ็บของแขนงเส้นประสาทรยางค์บนเป็นภาวะที่ทำให้สูญเสียการทำงานของแขนและไหล่อย่างรุนแรง โดยเฉพาะการกางไหล่ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การผ่าตัดย้ายเส้นประสาทเป็นเทคนิคจุลศัลยกรรมที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ</p> <p>การศึกษาย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการผ่าตัดย้ายเส้นประสาทสองรูปแบบในผู้ป่วยที่บาดเจ็บเส้นประสาทส่วนต้น (C5–C6) ได้แก่ การย้าย Spinal accessory nerve ไปยัง Suprascapular nerve และการย้าย Spinal accessory nerve ไปยัง Suprascapular nerve ร่วมกับ Nerve to the long head of the triceps muscle ไปยัง Anterior axillary nerve ผู้ป่วยจำนวน 57 รายเข้ารับการผ่าตัดระหว่างตุลาคม 2556 ถึงตุลาคม 2566 โดยมีผู้ติดตามครบ 56 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจราจร (87.7%) ผลการประเมินโดยใช้เกณฑ์ MRC พบว่ากลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดสองตำแหน่งมีการฟื้นตัวเร็วกว่า (เฉลี่ย 10.08 เดือน เทียบกับ 13.14 เดือน, p&lt;0.05) แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในสัดส่วนที่มีแรงระดับ MRC ≥3 (p&gt;0.05)</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองวิธีสามารถเพิ่มการกางไหล่ การทำงานของแขน และคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดสองตำแหน่งมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วในการฟื้นฟู ผลลัพธ์ดังกล่าวสะท้อนบทบาทของโรงพยาบาลระดับจังหวัดในการให้บริการจุลศัลยกรรมขั้นสูง และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีคุณค่าในการพัฒนางานวิจัยด้านการผ่าตัดย้ายเส้นประสาทในระบบสุขภาพไทย</p> ปิยชนก จินดาหลวง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279202 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบการใช้มอร์ฟีนขนาด 0.15 มิลลิกรัมกับ 0.2 มิลลิกรัม ฉีดเข้าทางช่องไขสันหลังในการระงับปวดในผู้ป่วยผ่าคลอดบุตร: การวิจัยกึ่งทดลอง เปรียบเทียบข้อมูลจากการทดลองเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279058 <p>การให้ยามอร์ฟีนร่วมกับยาชาฉีดเข้าทางช่องน้ำไขสันหลังเป็นวิธีการระงับปวดที่เป็นมาตรฐานในการผ่าตัดคลอดบุตร อย่างไรก็ตามการให้มอร์ฟีนทางช่องน้ำไขสันหลังนั้นทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ อาการคัน คลื่นไส้อาเจียน และการกดการหายใจ ซึ่งอุบัติการณ์พบมากขึ้นตามขนาดมอร์ฟีนที่ได้รับ เพื่อเปรียบเทียบเมื่อลดขนาดมอร์ฟีนลงเหลือ 0.15 มิลลิกรัมทางช่องน้ำไขสันหลังเพียงอย่างเดียวจะมีประสิทธิผลในการระงับปวดได้ดีเทียบเท่ากับมอร์ฟีนขนาด 0.2 มิลลิกรัม และสามารถลดอุบัติการณ์การเกิดผลข้างเคียงใน 24 ชั่วโมงแรกได้หรือไม่ ศึกษาแบบการวิจัยกึ่งทดลอง เปรียบเทียบข้อมูลจากการทดลองเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง ศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับการผ่าตัดคลอดบุตรในโรงพยาบาลปทุมธานี จำนวน 80 คน โดยผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการระงับความรู้สึกเฉพาะส่วนโดย กลุ่มแรกได้รับยามอร์ฟีนเข้าทางช่องน้ำไขสันหลังขนาด 0.15 มิลลิกรัมเป็นกลุ่มศึกษา กลุ่มที่สองได้รับยามอร์ฟีนเข้าทางช่องน้ำไขสันหลังขนาด 0.2 มิลลิกรัมเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ</p> <p>ผลการศึกษาไม่มีความแตกต่างกันของระดับความปวดชั่วโมงที่ 6, 12, 18, 24 หลังการผ่าตัด จำนวนผู้ป่วยที่ขอยาทรามาดอล ปริมาณยาทรามาดอลที่ใช้ในช่วง 24 ชั่วโมง ระยะเวลาที่ผู้ป่วยขอยาทรามาดอลครั้งแรก และอาการคลื่นไส้อาเจียนทั้งสองกลุ่ม ส่วนอาการคันกลุ่มที่ได้มอร์ฟีน 0.15 มิลลิกรัมพบน้อยกว่ากลุ่มที่ได้มอร์ฟีน 0.2 มิลลิกรัมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติในชั่วโมงที่ 12 (p-value = 0.021) ผู้ป่วยทุกราย มีระดับความรู้สึกตัวดีไม่เกิดภาวะกดการหายใจ</p> <p>การให้ยามอร์ฟีนทางช่องน้ำไขสันหลังขนาด 0.15 มิลลิกรัมในการผ่าตัดคลอดบุตรมีประสิทธิผลในการระงับความปวดได้ดีใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดคลอดไม่แตกต่างจากมอร์ฟีนขนาด 0.2 มิลลิกรัม ในขณะที่อุบัติการณ์ของอาการคันพบได้น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> เมทินี ธรรมนรนาถ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/279058 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700