Singburi Hospital Journal
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj
<p>Singburi Hospital Journal มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ผลงานวิจัย บทความวิชาการ กรณีศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา การพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ ในการนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ ที่เป็นประโยชน์แก่สหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกโรงพยาบาล เป็นวารสารราย 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ ดังนี้</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม <br /> ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p>
โรงพยาบาลสิงห์บุรี (Singburi Hospital)
th-TH
Singburi Hospital Journal
2773-8876
<div class="item copyright"> <div class="item copyright"> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของโรงพยาบาลสิงห์บุรี</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลสิงห์บุรี และบุคคลากรท่านอื่นๆในโรงพยาบาลฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> </div> </div>
-
การพยาบาลผู้ป่วยมีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและมีภาวะไตวายเฉียบพลัน ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม: กรณีศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/274458
<p>ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะวิกฤตส่งผลต่อชีวิตที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนร่วมกับการรักษาปัจจัยร่วมที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะภาวะไตวายเฉียบพลัน ที่ต้องได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องตเทียม บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและมีภาวะไตวายเฉียบพลัน ที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ด้วยการใช้กรณีศึกษา วิธีการศึกษา: จากเวชระเบียนผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและไตวาย เฉียบพลัน ในหอผู้ป่วยหนักได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบฉุกเฉิน จำนวน 1 ราย</p> <p>ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 67 ปี มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและภาวะไตวายเฉียบพลัน ได้รับการดูแลรักษาตามแนวทางปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วย ติดเชื้อในกระแสเลือดและมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และให้การพยาบาลตามมาตรฐานจนจำหน่ายกลับบ้านได้รวมระยะเวลาอยู่โรงพยาบาล 11 วัน หลังจากได้รับการรักษาพยาบาลเพื่อแก้ไขและป้องกันการเกิดปัญหาดังกล่าว ไม่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยมีของเสียคั่งในร่างกายลดลง ไม่เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในขณะและหลังฟอกเลือด มีความรู้ในการดูแลตนเองแพทย์จึงจำหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน และสามารถยุติการฟอกเลือดก่อนจำหน่ายได้</p> <p>ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและภาวะไตวายเฉียบพลัน ต้องได้รับการรักษาภาวะช็อกและการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมอย่างทันที สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นพยาบาลไตเทียมต้องมีความรู้และความชำนาญกระบวนการพยาบาลในการดูแลตามมาตรฐานการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เพื่อให้การฟอกเลือดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนของกระบวนการฟอกเลือดทั้งก่อนการฟอกเลือด ระหว่างการฟอกเลือดและหลังการฟอกเลือด</p>
มานะ ปัจจะแก้ว
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-21
2025-03-21
33 3
C1
11
-
การคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดในโรงพยาบาลเสนา จ. พระนครศรีอยุธยา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/272448
<p>ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะปัญญาอ่อนที่ป้องกันได้ถ้าให้การวินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่แรก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดของทารกที่เกิดในโรงพยาบาลเสนา โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังเชิงพรรณนา เก็บข้อมูลทารกเกิดมีชีพในโรงพยาบาลเสนาทุกราย ในปี พ.ศ.2561-2565</p> <p>ผลการศึกษา มีทารกเกิดมีชีพในโรงพยาบาลเสนารวม 5,686 ราย ได้รับการตรวจคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดทุกราย (100%) ทารกที่ผลการตรวจคัดกรองผิดปกติ 36 ราย (recall rate 0.63%) ทารกที่ได้รับการตรวจยืนยันซ้ำ 31 ราย (response rate 86.11%) มีทารกที่ผลตรวจยืนยันซ้ำผิดปกติทั้งสิ้น 13 ราย อุบัติการณ์ของภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนต่อทารกเกิดมีชีพ 1:437</p> <p>อุบัติการณ์ของภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดของทารกที่เกิดในโรงพยาบาลเสนามีค่าสูงเมื่อเทียบกับรายงานที่ผ่านมาในประเทศไทย จึงต้องนำข้อมูลมาพิจารณาหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขต่อไป</p>
พัชราภรณ์ เรืองความดี
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-28
2025-01-28
33 3
B1
7
-
ผลการใช้แอปพลิเคชั่นให้ความรู้เรื่องการบริโภคอาหารของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือด ด้วยเครื่องไตเทียม โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/274782
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระหว่างการฟอกเลือด ระหว่างก่อนและหลังการใช้แอปพลิเคชั่นให้ความรู้เรื่องการบริโภคอาหารของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป จำนวน 25 ราย คัดเลือกโดยการสุ่มแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป น้ำหนักตัว แบบสอบถามความรู้ มีค่าความเชื่อมั่นคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ.60 และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .70 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณา การทดสอบที และการทดสอบวิลคอกซัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารเรื่องการบริโภคอาหารมากกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=7.26, 4.19, p<.001 ตามลำดับ) มีค่ามัธยฐานน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระหว่างการฟอกเลือดลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (z=3.87, p<.001) และมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชั่นอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =2.89, SD=.17)</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ควรพัฒนาระบบการให้ความรู้เรื่องโภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมผ่านแอปพลิเคชั่น โดยใช้สื่อผสมซึ่งง่ายต่อการเรียนรู้และดึงดูดความสนใจ เช่น ภาพหรือคลิปสั้น ร่วมกับการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารร่วมกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน</p>
วลี กิตติรักษ์ปัญญา
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-30
2025-01-30
33 3
B8
18
-
ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุต่อความรู้และภาวะเสี่ยงพลัดตกหกล้ม ในคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลโคกสำโรง ลพบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/274365
<p>งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาผลของโปรแกรมออกกำลังกายของผู้สูงอายุต่อความรู้และภาวะเสี่ยงพลัดตกหกล้ม เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) โดยการคัดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 70 คน แบ่งกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน กลุ่มทดลองได้รับอบรมความรู้เกี่ยวกับการเสี่ยงพลัดตกหกล้มในสัปดาห์ที่ 1 ร่วมกับโปรแกรมออกกำลังกายด้วยตนเองต่อเนื่องทุกวัน วันละ 30 นาที และติดตามเยี่ยมบ้านในสัปดาห์ที่ 5 ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้รับการดูแลให้บริการตามมาตรฐาน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1. แบบประเมินความรู้เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม 2. ประเมิน Time Up and Go test (TUGT) 3. ประเมินการทรงตัว 4 Stage balance test สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Mann-Whitney U test พบว่า ข้อมูลกระจายตัวไม่เป็นโค้งปกติระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ในกลุ่มทดลองเปรียบเทียบก่อน-หลัง ได้รับโปรแกรมออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ มีคะแนนค่าเฉลี่ยความรู้ ระยะเวลาเฉลี่ย TUGT และค่าคะแนนการทรงตัว 4 Stage balance test เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) </p> <p>สรุป โปรแกรมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุต่อความรู้และภาวะเสี่ยงพลัดตกหกล้ม ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความสามารถในการทรงตัวได้ดีขึ้นและลดภาวะหกล้มในผู้สูงอายุได้</p>
กุลรัศมิ์ น่าชม
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-05
2025-03-05
33 3
B19
28
-
อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก ในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องโรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/275972
<p>การติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องในผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (CAPD) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาที่เก็บข้อมูลแบบย้อนหลัง (retrospective cohort study) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึง 31 ธันวาคม 2566 เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้โปรแกรม STATA17.0 วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องครั้งแรกด้วย univariable และ multivariable analysis กับกลุ่มที่ไม่เกิดการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องด้วย Cox regression และการประมาณค่า Hazard ratio (HR) และ Adjust Hazard ratio (adj HR) ขอบเขตความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95% confidence interval) และค่า p-value</p> <p>ผลการศึกษา มีผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่องเข้าร่วมการศึกษา 247 ราย ผู้ป่วยติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก 135 ราย คิดเป็นอุบัติการณ์การติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก ร้อยละ 54.7 ผลเพาะเชื้อส่วนใหญ่เป็นลบ (culture negative) ร้อยละ 43.7 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก คือ การศึกษาระดับมัธยมต้น (p=0.03) ระดับอัลบูมินในเลือดที่ต่ำ (p=0.006) ระดับ Hematocrit น้อยกว่า 30% (p=0.025) ระดับฟอสฟอรัสในเลือดที่ต่ำ (p=0.004 ) และการไม่ใส่ผ้าปิดปากและจมูก (p<0.001)</p> <p>สรุปผลการศึกษา อุบัติการณ์การติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก ร้อยละ 54.7 ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้องครั้งแรก คือ การศึกษาระดับมัธยมต้น ระดับอัลบูมินในเลือดที่ต่ำ ระดับฟอสฟอรัสในเลือดที่ต่ำ ภาวะโลหิตจาง และการไม่ใส่ ผ้าปิดปากและจมูก</p>
นภัสนันท์ อภิรัตนพันธุ์
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-11
2025-03-11
33 3
B29
41
-
เปรียบเทียบการรักษาสิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหาร โดยการส่องกล้องชนิดแข็งและ การส่องกล้องชนิดอ่อน ในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/275424
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการรักษาสิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหารซึ่งทำโดยใช้เครื่องมือคีบสิ่งแปลกปลอมออกจากหลอดอาหารผ่านกล้อง 2 ชนิดคือกล้องชนิดแข็ง และกล้องชนิดอ่อน โดยศึกษาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 ถึง 31 ธันวาคม 2566 จากผู้ป่วยทั้งหมด 277 คน ในโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า เป็นผู้ใหญ่ 226 คน เด็ก 51 คน รักษาโดยใช้กล้องชนิดแข็ง 153 คน กล้องชนิดอ่อน 124 คน โดยกล้องชนิดอ่อนมีอัตราความสำเร็จมากกว่ากล้องชนิดแข็ง 2.89 เท่า โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=2.89, 95% CI 0.09 to 1.33, P=0.1) ในกล้องชนิดแข็งผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับการรักษาช่วงเวลา 24-72 ชั่วโมงหลังจากสิ่งแปลกปลอมติด (ร้อยละ 44.4) กล้องชนิดอ่อนช่วงเวลา 12-24 ชั่วโมง (ร้อยละ 27.4) กล้องชนิดแข็งมีภาวะแทรกซ้อนสูงกว่ากล้องชนิดอ่อน 9.61 เท่า โดยมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=9.61, 95% CI 0.00 to 0.02, P=0.00) พบมากที่สุดคือเยื่อบุหลอดอาหารเป็นแผล การรักษาด้วยกล้องชนิดอ่อนใช้ระยะเวลานอนโรงพยาบาลน้อยกว่ากล้องชนิดแข็งเฉลี่ย 0.89±0.73 วัน โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI -0.65 to 2.43, P=0.26)</p> <p>สรุป การใช้กล้องชนิดอ่อนเหมาะเป็นทางเลือกแรกในการรักษาสิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหาร เนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และลดระยะเวลานอนโรงพยาบาล ส่วนกล้องชนิดแข็งยังคงมีบทบาทสำคัญในกรณีสิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหารมีขนาดใหญ่</p>
อ้อมอัมพร สารถ้อย
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-21
2025-03-21
33 3
B42
50
-
ผลของโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตนและค่าความดันโลหิต ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/275976
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตน และค่าความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 60 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับบริการตามปกติจากโรงพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ทดลอง โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย และแบบบันทึกระดับความดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย ในระยะหลังการทดลอง สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย ในระยะก่อนการทดลอง และยังสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซีสโตลิคและไดแอสโตลิคของกลุ่มทดลอง ในระยะหลังการทดลอง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย ในระยะก่อนการทดลอง และยังต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับเดียวกัน</p> <p>สรุป โปรแกรมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีประสิทธิภาพในการปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงลดจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ได้ในอนาคต</p>
ลลิตา บุญงาม
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-24
2025-03-24
33 3
B51
62
-
การยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Staphylococcus aureus บนจานวุ้น ด้วยเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซิน เม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/shj/article/view/275689
<p>โรคติดเชื้อเรื้อรังของกระดูก (chronic osteomyelitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย ใช้ระยะเวลานานในการรักษา มีโอกาสนำไปสู่การเกิดภาวะทุพพลภาพได้ การใช้ซีเมนต์กระดูก (Bone Cement) ผสมยาปฏิชีวนะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในการรักษาโรคติดเชื้อของกระดูก สามารถนำส่งยาไปบริเวณที่ติดเชื้อได้โดยตรงในขนาดยาที่สูง และหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เกิดจากการให้ยาทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การดื้อยาปฏิชีวนะเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องค้นหาสารฆ่าเชื้อชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพมาใช้ทดแทน หรือใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะที่ใช้ในปัจจุบัน</p> <p>วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาในห้องทดลองจุลชีววิทยา โรงพยาบาลสิงห์บุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการยับยั้งการเจริญเติบโตต่อเชื้อ <em>Staphylococcus aureus</em> บนจานวุ้นของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซินกับเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออน โดยวิธีการซึมผ่านบนจานวุ้น (Agar diffusion method) ในระยะเวลา 7 วัน ตัววัดที่สำคัญ คือเส้นผ่านศูนย์กลางของวงว่างบริเวณที่เชื้อไม่เจริญรอบเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูก ที่เรียกว่า Zone of inhibition </p> <p>ผลการทดลอง พบว่าขนาด zone of inhibition ของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซินกว้างกว่าค่ามาตรฐานความไวต่อสารแบคทีเรีย (Antibacteria suscessibility) ที่ 15 มิลลิเมตร การยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ <em>Staphylococcus aureus</em> บนจานวุ้นด้วยเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซิน และเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออน มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับรุนแรง (strong) ผลการเปรียบเทียบการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ <em>Staphylococcus</em> <em>aureus</em> บนจานวุ้นด้วยเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซินและเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออน มีความแตกต่างกัน พบว่า zone of inhibition ของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซิน กว้างกว่าของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001 และจากผลการทดลองการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ Staphylococcus aureus บนจานวุ้นด้วยเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซิน มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับรุนแรง ค่าเฉลี่ย 18.41 มิลลิเมตร ส่วนเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออน มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับรุนแรงเช่นกัน ค่าเฉลี่ย 14.50 มิลลิเมตร ผลการเปรียบเทียบพบว่า zone of inhibition ของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมเจนตาไมซินกว้างกว่าของเม็ดหล่อซีเมนต์กระดูกผสมซิงค์ไอออนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.001 </p>
เดชชาติ จันทร์ศรี
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลสิงห์บุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-26
2025-03-26
33 3
B63
73