วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck <p><strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0150 (Online) </strong></p> <p> </p> <p> </p> วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข th-TH วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี 2985-0150 <p>เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ทุกครั้ง</p> การสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพกับความเข้มแข็งทางใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย: การวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/278900 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพแบบการวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพกับความเข้มแข็งทางใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จำนวน 20 คน เลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตพฤติกรรม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงประเด็น</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพที่มีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งทางใจ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การดูแลเพื่อบรรเทาความทุกข์ 2) การให้ข้อมูลและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ดูแล 3) การสนับสนุนด้านการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลโดยบุคลากรทางสุขภาพ และ 4) การสนับสนุนด้านทรัพยากรและระบบบริการเพื่อความต่อเนื่องของการดูแล</p> <p>จากผลการวิจัยแสดงถึงบทบาทเชิงรุกของพยาบาลวิชาชีพและบุคลากรทางสุขภาพในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โดยการสนับสนุนด้านจิตใจและความรู้ เพื่อเสริมพลังผู้ดูแล และด้านโครงสร้างและระบบบริการ เพื่อความต่อเนื่องของการดูแล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ครอบคลุมแบบองค์รวมต่อไป</p> สราวุฒิ สีถาน ขวัญชนก ยศคำลือ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-21 2025-11-21 8 3 1 16 ผลของการฟ้อนเจิงประยุกต์ต่อการทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม จังหวัดลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/279899 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเวลาการทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แลความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุติดสังคมในจังหวัดลำปาง จำนวน 66 คน ได้มาจากการสุ่มแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 33 คน และกลุ่มทดลอง 33 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการออกกำลังกายแบบฟ้อนเจิงประยุกต์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ แบบวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาโดยการลุกขึ้นยืน 5 ครั้ง และแบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบวิลคอกซัน และแมน-วิทนีย์ ยู</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้สูงอายุติดสังคมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยเวลาการทรงตัว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง (<em>Z</em> = 5.13, 3.27; <em>p</em> &lt;.01 ตามลำดับ) และลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (<em>Z</em> = 3.46, 3.46, p &lt;.01 ตามลำดับ) แต่มีค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันไม่แตกต่างจากก่อนการทดลอง (<em>Z</em> = .58, <em>p</em> = .56) และไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (<em>Z</em> = 1.02, <em>p</em> = .30)</p> <p>พยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขควรนำรูปแบบการออกกำลังกายนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการทรงตัวและความแข็งแรงของผู้สูงอายุในชุมชน</p> เพ็ญศรี พงษ์ประภาพันธ์ พวงเพชร มีศิริ นิตยา วรรณโสภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-21 2025-11-21 8 3 17 32 การประเมินความต้องการจำเป็นทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกของผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเอกชน: การวิจัยการประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/281678 <p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความต้องการจำเป็น วิเคราะห์สาเหตุ และเสนอวิธีแก้ไขความต้องการจำเป็นของทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนเอกชน ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ระบุความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองของนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 217 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวก มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และดัชนี PNI<sub>Modified</sub> เพื่อจัดลำดับความต้องการจำเป็น 2) วิเคราะห์สาเหตุของความต้องการจำเป็น โดยผู้ให้ข้อมูลหลักคือ ผู้ปกครองของนักเรียนและผู้ทรงคุณวุฒิด้านผู้ปกครองศึกษา รวม 6 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับสาเหตุของการขาดทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ฟอลต์ทรี และ 3) เสนอวิธีแก้ไขปัญหาความต้องการจำเป็น โดยเทคนิคอรรถประโยชน์-พหุลักษณ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.<span style="font-size: 0.875rem;">ผู้ปกครองมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.73, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .55) และด้านการดูแลตนเองของผู้ปกครองมีระดับความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับเร่งด่วนมากที่สุด (PNI</span><sub>Modified</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = .24)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. สาเหตุของความต้องการจำเป็น คือ ความไม่พร้อมของผู้ปกครอง และปัญหาจากสภาพครอบครัว</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. อรรถประโยชน์ของวิธีแก้ไขปัญหา ได้แก่ ด้านเนื้อหาในการทำกิจกรรม รูปแบบการจัดกิจกรรม และทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรม โดยทางเลือกที่มีอรรถประโยชน์สูงสุด 3 อันดับแรก คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาผู้ปกครอง และการจัดกิจกรรมแบบกลุ่มเล็กหรือครอบครัวเดี่ยว</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้ ให้ข้อมูลเชิงประจักษ์สำคัญสำหรับการออกแบบและดำเนินโปรแกรมพัฒนาทักษะการเป็นพ่อแม่ที่เหมาะสมกับบริบทได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> กษิดิศ ครุฑางคะ วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา กชวร จุ๋ยมณี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-21 2025-11-21 8 3 33 52 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อพฤติกรรมสมาธิสั้นในเด็กอายุ 6-12 ปี ในเขตอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี โดยการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/280692 <p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อพฤติกรรมสมาธิสั้นในเด็กอายุ 6-12 ปี ในเขตอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมาธิสั้น จำนวน 26 คน ครูประจำชั้น จำนวน 9 คน และผู้ปกครอง จำนวน 26 คน เข้าร่วมโปรแกรมที่ได้รับการพัฒนาจากแนวคิดพฤติกรรมบำบัด ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนต์ของสกินเนอร์ และทฤษฎีการเรียนรู้โดยการสังเกตของแบนดูรา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมขาดสมาธิ พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมดื้อต่อต้าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เด็กอายุ 6-12 ปี มีคะแนนพฤติกรรมสมาธิสั้นลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งจากการประเมินของผู้ปกครองและครูประจำชั้น ในด้านพฤติกรรมขาดสมาธิ (<em>t</em> = 3.21, 2.31; <em>p</em> = .002, .021) พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น (<em>t</em> = 3.60, 3.77; <em>p</em> &lt; .001) และพฤติกรรมดื้อต่อต้าน (<em>t</em> = 2.84, 2.31; <em>p</em> = .005, .001)</p> <p>โปรแกรมที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เด็กสามารถควบคุมพฤติกรรมและปรับตัวได้ดีขึ้น หน่วยงานด้านสุขภาพและการศึกษา ควรส่งเสริมการนำโปรแกรมไปใช้ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษา โดยการทำงานร่วมกับคลินิกสุขภาพจิตและจิตแพทย์เด็ก รวมทั้ง พัฒนาหลักสูตรการอบรมครูและผู้ปกครอง เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลเด็กสมาธิสั้นอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว</p> สุปรียา ศรีทอง วรงรอง เนลสัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 8 3 53 69