วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck
<p><strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0150 (Online) </strong></p> <p> </p> <p> </p>
วิทยาลัยพยา่บาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข
th-TH
วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
2985-0150
<p>เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี ทุกครั้ง</p>
-
บทบาทพยาบาลในการพัฒนาความรอบรู้สุขภาพทางเพศสำหรับมารดาวัยรุ่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/264903
<p>การขาดความรอบรู้ด้านสุขภาพ จะส่งผลต่อสุขภาพ ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ไม่เพียงพอ สะท้อนถึงระบบบริการและการเข้าถึงข้อมูลบริการทางสุขภาพที่มีความซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนจำนวนหนึ่งจะสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มมารดาวัยรุ่นเป็นกลุ่มประชากรหนึ่งที่มีข้อจำกัดในระดับการศึกษา เนื่องจากการตั้งครรภ์ทำให้ต้องหยุดพักการเรียน อาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการดำรงบทบาทการเป็นมารดา พยาบาลวิชาชีพนับเป็นบุคลากรที่ใกล้ชิด สามารถประเมิน คัดกรอง และพัฒนาความรอบรู้สุขภาพทางเพศในมารดาวัยรุ่นให้มีระดับที่เพียงพอและสามารถดูแลตนเองและทารกได้</p> <p>การพัฒนาความรอบรู้สุขภาพทางเพศสำหรับมารดาวัยรุ่นหลังคลอด โดยประยุกต์ใช้บทบาทพยาบาลวิชาชีพทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การรักษาพยาบาล การป้องกัน การฟื้นฟูสภาพ และการส่งเสริมสุขภาพ ร่วมกับแนวคิดของ Nutbeam (2008) ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ 1) ทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ที่เชื่อถือได้ 2) ทักษะความรู้ความเข้าใจ สามารถตีความ นำความรู้ที่ได้รับไปป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำ และป้องกันติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 3) ทักษะการสื่อสาร สามารถขอรับคำปรึกษาปัญหาหลังคลอดจากพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 4) ทักษะการตัดสินใจ เลือกวิธีการดูแลตนเองและทารกที่สอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการที่แท้จริงของตนเอง 5) ทักษะการจัดการตนเอง มารับบริการตรวจหลังคลอดตามนัดและสามารถเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสม และ 6) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ สามารถแยกแยะข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นำมาสู่การดูแลตนเองและทารกหลังคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ไพลิน ถึงถิ่น
รพีพรรณ นาคบุบผา
วาสนา ชูณรงค์
สิรินภร ศุกรวรรณ
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-29
2023-12-29
6 3
141
152
-
การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กปฐมวัย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266300
<p>การติดเชื้อทางเดินหายใจเป็นสาเหตุการตายของเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะปอดบวมเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของทั่วโลก ปีละ 2.4 ล้านคน โดยทุกๆนาทีจะมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย จะช่วยลดข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึง และเข้าใจข้อมูลด้านสุขภาพ สามารถพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับขั้นพื้นฐานของเด็กได้ โดยต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อลดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคทางเดินหายใจในเด็กปฐมวัย</p> <p>บทความวิชาการนี้ นำเสนอความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กปฐมวัย เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุขและบุคลากรที่ผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กปฐมวัย ได้นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป</p>
ทัศนีย์ ตริศายลักษณ์
ณัฐยา เชิงฉลาด ชูพรม
วาร์ธินีย์ แสนยศ
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-29
2023-12-29
6 3
153
164
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อความรู้ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/264516
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติของนักเรียนชั้นประถมศึกษา อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4-6 คัดเลือกโดยสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่ การให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ อนามัยส่วนบุคคล การดูแลสุขภาพตามหลัก 3 อ. (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) การป้องกันอุบัติภัย สารเสพติดและสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม การใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมเรียนตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ความรู้และพฤติกรรมเกี่ยวกับหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยภายในกลุ่มทดลองโดยใช้สถิติทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติการทดสอบทีแบบเป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของความรู้ และพฤติกรรมเกี่ยวกับหลักสุขบัญญัติแห่งชาติสูงกว่าก่อนการทดลอง (<em>t</em> = -6.71, -19.82 ตามลำดับ) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม (<em>t</em> = 6.37, 19.97 ตามลำดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>บุคลากรทางสุขภาพสามารถนำโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ไปประยุกต์ใช้ร่วมกับครูในการจัดกิจกรรม เพื่อพัฒนาความรู้และการดูแลสุขภาพตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติให้แก่นักเรียนได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง</p>
ศศิธร ตันติเอกรัตน์
นัชชา ยันติ
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-18
2023-12-18
6 3
1
17
-
ปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานในจังหวัดนครปฐม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266267
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบความสัมพันธ์เชิงทำนาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานในจังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีค่าความเชื่อมั่นคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ .64 และสัมประสิทธิ์<em>แอลฟา</em>ของ<em>ครอนบาค</em> เท่ากับ .77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี (<em>M</em> = 99.99, <em>SD</em> = 17.52) โดยร้อยละ 30.50 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ อยู่ในระดับต่ำและปานกลาง จำนวนปีที่ได้รับการศึกษา สถานภาพสมรสคู่ และอายุ (<em>Beta</em> = .25, .15, -.12; <em>p</em> < .05) สามารถร่วมกันทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>F</em> = 14.41, <em>p</em> < .001) โดยร่วมกันทำนายได้ ร้อยละ 10.0 (<em>R<sup>2</sup></em> =.10, Adjusted <em>R<sup>2</sup></em> =.09 และ <em>SEE</em> = 16.69) ดังนั้น พยาบาลและบุคลากรในทีมสุขภาพจึงควรพัฒนาแนวทางปฏิบัติในการส่งเสริมผู้ป่วยเบาหวานให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวาน</p>
พิมสุภาว์ จันทนะโสตถิ์
วันเพ็ญ แวววีรคุปต์
นงนุช เชาวน์ศิลป์
ดวงพร ผาสุวรรณ
นภาเพ็ญ จันทขัมมา
เรียม นมรักษ์
จุฑาทิพย์ เทพสุวรรณ์
เกณิกา จงชัยภัค
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-18
2023-12-18
6 3
18
31
-
ผลของโปรแกรมการสื่อสารสุขภาพ ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมและผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในตำบลบ้านเป้า อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266359
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรม และผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 59 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสื่อสารสุขภาพ จำนวน 29 คน และกลุ่มควบคุมได้รับสุขศึกษาตามแนวปฏิบัติเดิม จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยได้แก่ โปรแกรมสื่อสารสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง แบบบันทึกข้อมูลสุขภาพ แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ และแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .82 และ .77 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบวิลคอกซัน การทดสอบแมนท์-วิทนี ยู และการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงภายหลังใช้โปรแกรมการสื่อสารสุขภาพ พบว่า มีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ความดันโลหิตตัวบน และความดันโลหิตตัวล่าง แตกต่างกันจากก่อนการใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 (<em>Z</em> = 3.16, 2.69, -2.46 และ -3.11 ตามลำดับ) ส่วนระดับดัชนีมวลกายไม่แตกต่างกัน (<em>Z</em> = .-1.00, <em>p</em> = .27) และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับสุขศึกษาตามแนวปฏิบัติเดิม พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และระดับความดันโลหิตตัวล่างแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>Z</em> = 3.25, 3.03 และ -2.02 ตามลำดับ) ส่วนค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบนและดัชนีมวลกาย ไม่แตกต่างกัน (<em>Z </em>= -1.86, -1.56; <em>p</em> =.11, .12 ตามลำดับ)</p> <p>บุคลากรสุขภาพที่ดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในหน่วยบริการปฐมภูมิ ควรนำโปรแกรมการสื่อสารสุขภาพไปใช้อย่างต่อเนื่อง และกำหนดนโยบายในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปรับเปลี่ยนแนวทางการให้สุขศึกษาให้เป็นการสื่อสารมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับปัจเจกบุคคล </p>
ศรีประไพ อินทร์ชัยเทพ
วาสนา มั่งคั่ง
มณีรัตน์ พันธุ์สวัสดิ์
เยาวลักษณ์ คุมขวัญ
อัมฤทธิ์ตรา มะสุใส
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-18
2023-12-18
6 3
32
45
-
ความเหลื่อมล้ำและการถูกเอาเปรียบในการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุ: การวิจัยเชิงคุณภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266534
<p>การวิจัยคุณภาพเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาความเหลื่อมล้ำและการถูกเอาเปรียบของการเข้าถึงเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมด้วยเทคโนโลยีของผู้สูงอายุดำเนินการศึกษาในพื้นที่จังหวัดพะเยา ระหว่างเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 15 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกต และการบันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และยืนยันความเที่ยงตรงของข้อมูลจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล และนักวิจัยเชิงคุณภาพที่มีประสบการณ์</p> <p>ผลการศึกษา พบปัญหาความเหลื่อมล้ำและการถูกเอาเปรียบ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการทางสังคม 2) เข้าไม่ถึงสวัสดิการทางสังคมของผู้สูงอายุด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 3) ความเหลื่อมล้ำทางสถานะ สิทธิ และโอกาสในการได้รับสิทธิ และ 4) ไม่พบการถูกเอาเปรียบ และการพยายามให้ได้ประโยชน์จากผู้สูงอายุ</p> <p>ผลการวิจัย ชี้ให้เห็นว่าควรส่งเสริมให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการทางสังคม และช่วยเหลือในการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมของผู้สูงอายุให้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก</p>
นงนุช ปัญจธรรมเจริญ
กฤตพัทธ์ ฝึกฝน
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-18
2023-12-18
6 3
46
58
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มเยาวชนชายรักชายในสถาบันอุดมศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/265253
<p>การวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชนชายรักชายในสถาบันอุดมศึกษา โดยใช้แนวคิดข้อมูล แรงจูงใจ และทักษะพฤติกรรมของฟิชเชอร์และฟิชเชอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ เยาวชนชายรักชาย อายุ 18 – 25 ปี ที่กำลังศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในเขตสุขภาพที่ 5 จำนวน 100 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เรื่องโรคและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อิทธิพลจากคู่นอน เจตคติต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ความสะดวกในการเข้าถึงถุงยางอนามัย อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน ความสะดวกในการเข้าถึงสื่อกระตุ้นทางอารมณ์ การรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีค่าความเชื่อมั่น KR-20 เท่ากับ .75 และสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .78, .80, .97, .75, .86, .93, .94 และ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า อิทธิพลจากคู่นอน ความสะดวกในการเข้าถึงถุงยางอนามัย และการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (<em>Beta</em> =.71, .27, -.16) สามารถร่วมทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชนชายรักชาย ในสถาบันอุดมศึกษาได้ร้อยละ 61.90 (<em>R</em><sup>2</sup> = .619) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการศึกษานี้ สามารถนำไปใช้ในการจัดทำแผนและจัดกิจกรรมการต่อรองกับคู่นอน การจัดบริการถุงยางอนามัยให้ทั่วถึงทั้งในสถาบันการศึกษา หอพัก ตลอดจนในพื้นที่อยู่อาศัย และส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์</p>
พงษ์ศักดิ์ ป้านดี
ปรีย์กมล รัชนกุล
วนลดา ทองใบ
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-27
2023-12-27
6 3
59
74
-
การรับรู้การบริหารทางการพยาบาลและการปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูงของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลนครปฐม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266031
<p>การวิจัยเชิงสำรวจภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูงของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลนครปฐม ปัจจัยส่วนบุคคล และระดับการรับรู้การบริหารทางการพยาบาล 2) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล การรับรู้การบริหารทางการพยาบาล กับการปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูง และ 3) อิทธิพลของปัจจัยทำนายการปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูง กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพของโรงพยาบาลนครปฐมที่ทำงานอย่างน้อย 1 ปี จำนวน 259 คน โดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การบริหารทางการพยาบาลและการปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูงของพยาบาลวิชาชีพที่มีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง .93 และ .97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า</p> <p>พยาบาลวิชาชีพมีการปฏิบัติในการบริหารยาเสี่ยงสูงในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.49, <em>SD</em> = .71) มีการรับรู้การบริหารทางการพยาบาลตามแนวคิด 7-S ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (<em>M</em> = 4.13, <em>SD</em> = .81) ปัจจัยการรับรู้การบริหารทางการพยาบาลตามแนวคิด 7-S มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (<em>r</em> = .50, .49, .48, .45, .45 และ .42 ตามลำดับ) ปัจจัยด้านค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร ด้านความพร้อมของระบบงาน และด้านภาวะผู้นำของผู้บริหาร (Beta = .28, .21 และ .19 ตามลำดับ) ร่วมกันทำนายความแปรปรวนของการปฏิบัติตามแนวทางการบริหารยาเสี่ยงสูงทางการพยาบาล ได้ร้อยละ 33.10</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ผู้บริหารควรทำแผนพัฒนาด้านค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร ด้านระบบงาน ด้านภาวะผู้นำของผู้บริหารที่สนับสนุนให้กับพยาบาลวิชาชีพบริหารยาเสี่ยงสูงที่ปลอดภัยต่อการดูแลผู้ป่วย </p>
นันทวรรณ แสงโสภิต
พรทิพย์ กีระพงษ์
นิตยา เพ็ญศิรินภา
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-27
2023-12-27
6 3
75
92
-
ผลของโปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยายับยั้งการคลอดของพยาบาลวิชาชีพ ประจำห้องคลอด ที่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266108
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 2) ผลการให้การพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และ 3) เปรียบเทียบผลลัพธ์ความปลอดภัยของผู้ป่วยด้านการคลอดก่อนกำหนด ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จำนวน 15 คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ โปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดฯ แบบบันทึกข้อมูล และแบบวัดความรู้และการปฏิบัติการพยาบาล มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคทั้งฉบับ เท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกันและการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างก่อนและหลังหลังใช้โปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยายับยั้งการคลอด พบว่า 1) อัตราการคลอดก่อนกำหนดลดลงจากร้อยละ 21.62 ลงมาที่ร้อยละ 8.11 2) ไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการบริหารยายับยั้งการคลอดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.97 เป็นร้อยละ 91.89 ผลลัพธ์ด้านผู้ป่วยดีขึ้นตามเป้าหมาย สอดคล้องกับผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยายับยั้งการคลอด เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .01, <em>p</em> < .001)</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมการจัดการความรู้ต่อการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดที่ได้รับยายับยั้งการคลอดที่พัฒนาขึ้น สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นแก่หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้</p>
นงลักษณ์ เกิดท่าไม้
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-28
2023-12-28
6 3
93
108
-
ปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการทำงาน ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และภาวะสุขภาพ ของประชากรวัยทำงานโรงงานทำไม้ ในพื้นที่รับผิดชอบ โรงพยาบาลห้างฉัตร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266091
<p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยและหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการทำงานและภาวะสุขภาพ 2) เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพระหว่างกลุ่มที่มีภาวะสุขภาพแตกต่างกันในประชากรทำงานโรงงานทำไม้ และ 3) เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการป้องกันปัญหาสุขภาพและการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของประชากรวัยทำงาน โรงงานทำไม้ เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ในประชากรอายุ 15-59 ปี จำนวน 130 คน ด้วยแบบสอบถามปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการทำงาน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 30 คน ด้วยแบบบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพ และการสนทนากลุ่มย่อย และการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการทำงานด้านกายภาพ มีฝุ่นละออง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<em>M</em> = 3.60, SD = 1.44) ปัญหาสุขภาพส่วนใหญ่ ได้แก่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียจากการทำงานในที่อากาศร้อนอบอ้าว (ร้อยละ 80) ความรอบรู้ด้านสุขภาพทุกด้านระดับดี ค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจ (<em>M</em> = 3.72, SD = .89) ปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการทำงาน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะสุขภาพของประชากรทำงานโรงงานทำไม้ (<em>r</em> = .534) สะท้อนให้เห็นว่า ความรอบรู้ทางสุขภาพของประชากรทำงาน ป้องกันตนเองด้านสุขภาพจากการทำงาน นำไปสู่สุขภาวะที่ดีต่อไป</p> <p> </p>
เรียงสอน สุวรรณ
สุชาติ เครื่องชัย
ศรีประไพ อินทร์ชัยเทพ
ภูมินทร์ ดวงสุริยะ
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-28
2023-12-28
6 3
109
126
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านเพศวิถีและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศ ต่อการป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในนักเรียนหญิงวัยรุ่นตอนต้น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/266772
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนหญิงมัธยมศึกษาปีที่ 2-3 อายุ 12-14 ปี โรงเรียนเทศบาล อ.เมือง จ.สระบุรี จำนวน 124 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 62 คน และกลุ่มควบคุม 62 คน โดยกลุ่มควบคุมได้รับการเรียนการสอนเพศศึกษาตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านเพศวิถีและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศ เป็นระยะเวลา 2 วัน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศต่อการป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ สัปดาห์ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ค่าความเชื่อมั่น .75 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านเพศวิถีศึกษาและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศ คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านเพศวิถีและแนวโน้มการตัดสินใจทางเพศต่อการป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (<em>p</em> <. 01, <em>p</em> < .05) และภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม (<em>p</em> < .01, <em>p</em> < .05) ผลการวิจัยสามารถนำไปเป็นแนวทางส่งเสริมความรอบรู้ด้านเพศวิถี เพื่อการตัดสินใจทางเพศและป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้</p>
ณัฏฐ์นรี คำอุไร
ศิริวรรณ ทุมเชื้อ
มัณฑนา มณีโชติ
พัชนียา เชียงตา
พรนิภา วงษ์มาก
ชิดชนก พันธ์ป้อม
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2023-12-29
2023-12-29
6 3
127
140