https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/issue/feed วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี 2025-11-21T17:39:59+07:00 ผศ.ดร.จุไรรัตน์ ดวงจันทร์ journal@pckpb.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0150 (Online) </strong></p> <p> </p> <p> </p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/278900 การสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพกับความเข้มแข็งทางใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย: การวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยา 2025-04-22T21:28:49+07:00 สราวุฒิ สีถาน sarawut@bcnpb.ac.th ขวัญชนก ยศคำลือ kwanchanok@bcnpb.ac.th <p>การวิจัยเชิงคุณภาพแบบการวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพกับความเข้มแข็งทางใจของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย จำนวน 20 คน เลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตพฤติกรรม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงประเด็น</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการสนับสนุนของบุคลากรทางสุขภาพที่มีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งทางใจ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) การดูแลเพื่อบรรเทาความทุกข์ 2) การให้ข้อมูลและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ดูแล 3) การสนับสนุนด้านการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลโดยบุคลากรทางสุขภาพ และ 4) การสนับสนุนด้านทรัพยากรและระบบบริการเพื่อความต่อเนื่องของการดูแล</p> <p>จากผลการวิจัยแสดงถึงบทบาทเชิงรุกของพยาบาลวิชาชีพและบุคลากรทางสุขภาพในการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โดยการสนับสนุนด้านจิตใจและความรู้ เพื่อเสริมพลังผู้ดูแล และด้านโครงสร้างและระบบบริการ เพื่อความต่อเนื่องของการดูแล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบแนวปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ครอบคลุมแบบองค์รวมต่อไป</p> 2025-11-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/279899 ผลของการฟ้อนเจิงประยุกต์ต่อการทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม จังหวัดลำปาง 2025-08-13T18:19:16+07:00 เพ็ญศรี พงษ์ประภาพันธ์ puangpet.j@mail.bcnlp.ac.th พวงเพชร มีศิริ puangpet.j@mail.bcnlp.ac.th นิตยา วรรณโสภา puangpet.j@mail.bcnlp.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเวลาการทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แลความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุติดสังคมในจังหวัดลำปาง จำนวน 66 คน ได้มาจากการสุ่มแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 33 คน และกลุ่มทดลอง 33 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการออกกำลังกายแบบฟ้อนเจิงประยุกต์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความสามารถในการทรงตัวของผู้สูงอายุ แบบวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาโดยการลุกขึ้นยืน 5 ครั้ง และแบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบวิลคอกซัน และแมน-วิทนีย์ ยู</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้สูงอายุติดสังคมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยเวลาการทรงตัว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง (<em>Z</em> = 5.13, 3.27; <em>p</em> &lt;.01 ตามลำดับ) และลดลงต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (<em>Z</em> = 3.46, 3.46, p &lt;.01 ตามลำดับ) แต่มีค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันไม่แตกต่างจากก่อนการทดลอง (<em>Z</em> = .58, <em>p</em> = .56) และไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (<em>Z</em> = 1.02, <em>p</em> = .30)</p> <p>พยาบาลและบุคลากรสาธารณสุขควรนำรูปแบบการออกกำลังกายนี้ ไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการทรงตัวและความแข็งแรงของผู้สูงอายุในชุมชน</p> 2025-11-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/281678 การประเมินความต้องการจำเป็นทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกของผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเอกชน: การวิจัยการประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์ 2025-09-21T11:35:01+07:00 กษิดิศ ครุฑางคะ kasidiskru@gmail.com วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา worarat.a@chula.ac.th กชวร จุ๋ยมณี kotchaworn.c@chula.ac.th <p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความต้องการจำเป็น วิเคราะห์สาเหตุ และเสนอวิธีแก้ไขความต้องการจำเป็นของทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกของผู้ปกครองนักเรียนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนเอกชน ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ระบุความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองของนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 217 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวก มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และดัชนี PNI<sub>Modified</sub> เพื่อจัดลำดับความต้องการจำเป็น 2) วิเคราะห์สาเหตุของความต้องการจำเป็น โดยผู้ให้ข้อมูลหลักคือ ผู้ปกครองของนักเรียนและผู้ทรงคุณวุฒิด้านผู้ปกครองศึกษา รวม 6 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เป็นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับสาเหตุของการขาดทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ฟอลต์ทรี และ 3) เสนอวิธีแก้ไขปัญหาความต้องการจำเป็น โดยเทคนิคอรรถประโยชน์-พหุลักษณ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.<span style="font-size: 0.875rem;">ผู้ปกครองมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการเป็นพ่อแม่เชิงบวกภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.73, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .55) และด้านการดูแลตนเองของผู้ปกครองมีระดับความต้องการจำเป็นอยู่ในระดับเร่งด่วนมากที่สุด (PNI</span><sub>Modified</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = .24)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. สาเหตุของความต้องการจำเป็น คือ ความไม่พร้อมของผู้ปกครอง และปัญหาจากสภาพครอบครัว</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. อรรถประโยชน์ของวิธีแก้ไขปัญหา ได้แก่ ด้านเนื้อหาในการทำกิจกรรม รูปแบบการจัดกิจกรรม และทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรม โดยทางเลือกที่มีอรรถประโยชน์สูงสุด 3 อันดับแรก คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาผู้ปกครอง และการจัดกิจกรรมแบบกลุ่มเล็กหรือครอบครัวเดี่ยว</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้ ให้ข้อมูลเชิงประจักษ์สำคัญสำหรับการออกแบบและดำเนินโปรแกรมพัฒนาทักษะการเป็นพ่อแม่ที่เหมาะสมกับบริบทได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-11-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/280692 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อพฤติกรรมสมาธิสั้นในเด็กอายุ 6-12 ปี ในเขตอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี โดยการมีส่วนร่วมของครูและผู้ปกครอง 2025-09-22T10:40:23+07:00 สุปรียา ศรีทอง warongrong.n@bcnnon.ac.th วรงรอง เนลสัน warongrong.n@bcnnon.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่อพฤติกรรมสมาธิสั้นในเด็กอายุ 6-12 ปี ในเขตอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมาธิสั้น จำนวน 26 คน ครูประจำชั้น จำนวน 9 คน และผู้ปกครอง จำนวน 26 คน เข้าร่วมโปรแกรมที่ได้รับการพัฒนาจากแนวคิดพฤติกรรมบำบัด ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนต์ของสกินเนอร์ และทฤษฎีการเรียนรู้โดยการสังเกตของแบนดูรา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมขาดสมาธิ พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น และพฤติกรรมดื้อต่อต้าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เด็กอายุ 6-12 ปี มีคะแนนพฤติกรรมสมาธิสั้นลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งจากการประเมินของผู้ปกครองและครูประจำชั้น ในด้านพฤติกรรมขาดสมาธิ (<em>t</em> = 3.21, 2.31; <em>p</em> = .002, .021) พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น (<em>t</em> = 3.60, 3.77; <em>p</em> &lt; .001) และพฤติกรรมดื้อต่อต้าน (<em>t</em> = 2.84, 2.31; <em>p</em> = .005, .001)</p> <p>โปรแกรมที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เด็กสามารถควบคุมพฤติกรรมและปรับตัวได้ดีขึ้น หน่วยงานด้านสุขภาพและการศึกษา ควรส่งเสริมการนำโปรแกรมไปใช้ในสถานศึกษาระดับประถมศึกษา โดยการทำงานร่วมกับคลินิกสุขภาพจิตและจิตแพทย์เด็ก รวมทั้ง พัฒนาหลักสูตรการอบรมครูและผู้ปกครอง เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลเด็กสมาธิสั้นอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/280318 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ของนักศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2025-10-17T15:30:34+07:00 ปิ่นแก้ว บุญยู้ Supasson.l@ubu.ac.th พรชนิตา ฉลูรัมย์ Supasson.l@ubu.ac.th พราวนภา บัวเขียว Supasson.l@ubu.ac.th พัฒนาวดี คำสงค์ Supasson.l@ubu.ac.th สุภัสสร เลาะหะนะ slorhhana@gmail.com <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส และปัจจัยทำนายพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ของนักศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 169 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควตาตามสัดส่วนนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .95, .84, .93 และ .89 ตามลำดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ของนักศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ อยู่ในระดับมาก (<em>M </em>= 3.98, <em>SD </em>= .68) ปัจจัยที่ร่วมทำนายพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อสุขภาพ (<em>Beta</em> = .331, <em>p</em> &lt; .01) การสนับสนุนทางสังคม (<em>Beta</em> = .328, <em>p</em> &lt; .01) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (<em>Beta</em> = .037, <em>p</em> &lt; .05) และการเข้าถึงข้อมูลและแหล่งประโยชน์ด้านสุขภาพ (<em>Beta</em> = -.185, <em>p</em> &lt; .05) สามารถร่วมกันทำนายความแปรปรวนของพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ได้ร้อยละ 53.20 (<em>R<sup>2</sup><sub>adj</sub></em> = .532, <em>p</em> &lt; .05)</p> <p>ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ 3อ2ส ในกลุ่มนักศึกษาวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปลูกฝังความรับผิดชอบต่อสุขภาพตนเอง และสร้างสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี เพื่อส่งเสริมนักศึกษาให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/281239 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน ในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉิน 2025-10-30T16:21:54+07:00 นพัตธร พฤกษาอนันตกาล naphatthorn@nmu.ac.th ดวงรัตน์ กวีนันทชัย duangrat@nmu.ac.th พิรุณนภา เบ็ญพาด pirunnapa@nmu.ac.th ชัยพร วิศิษฎ์พงศ์อารีย์ chaiyaporn@nmu.ac.th วิทยากร ยะถาคาร wittayakorn@nmu.ac.th <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบศึกษาไปข้างหน้านี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉิน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2564 - กันยายน 2565 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในหอผู้ป่วยศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล จำนวน 676 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนบุคคลและประวัติการรักษา และ 2) แบบประเมินภาวะสับสนเฉียบพลัน ฉบับสั้นภาษาไทย มีค่าความเชื่อมั่นระหว่างผู้ประเมิน เท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยแบบทวิภาค</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า อุบัติการณ์การเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉิน ร้อยละ 2.67 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ASA classification III-IV (<em>RR<sub>adj</sub></em>.= 9.41, 95%CI = 2.02 - 43.93, <em>p</em> = .004) ความผิดปกติของการได้ยิน (<em>RR<sub>adj</sub></em>.= 9.05, 95%CI = 2.59 - 31.70, <em>p</em> = .001) โรคปอด (<em>RR<sub>adj</sub></em>.= 8.68, 95%CI = 1.14 - 66.15, <em>p</em> = .037) ความผิดปกติของการมองเห็น (<em>RR<sub>adj</sub></em>.= 4.64, 95%CI = 1.32 - 16.31, <em>p</em> = .017) และ โรคความดันโลหิตสูง (<em>RR<sub>adj</sub></em>.= 3.40, 95%CI = 1.37 - 8.43, <em>p</em> = .008)</p> <p>พยาบาลด้านศัลยกรรม ควรให้ความสำคัญกับการประเมินภาวะโรคร่วม ภาวะประสาทสัมผัสบกพร่องทั้งการได้ยินและการมองเห็น และระดับความเสี่ยง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉิน</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/281905 ประสิทธิผลโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันตนเองเมื่อใช้สารเคมี ในงานเกษตร ของเกษตรกรผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม 2025-10-03T13:30:04+07:00 พนิตนันท์ แซ่ลิ้ม panittanan24@gmail.com อนัญญา โสภณนาค anunya.oeyh@gmail.com วันเพ็ญ แวววีรคุปต์ wanpenw@webmail.npru.ac.th กรวรรณ สุวรรณสาร skorawan@rocketmail.com <p>การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดผลซ้ำนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีในงานเกษตรของเกษตรกรผู้สูงอายุ โดยประยุกต์ตามกรอบแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ เกษตรกรผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดนครปฐม จำนวน 60 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย และการเลือกแบบเจาะจง เพื่อเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน เก็บรวบรวมโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีในงานเกษตร ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า เกษตรกรผู้สูงอายุมีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันตนเองเมื่อใช้สารเคมีในงานเกษตร ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีในงานเกษตร และระยะติดตามผล 8 สัปดาห์ สูงกว่าก่อนทดลอง และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p> <p>โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ ช่วยทำให้เกษตรกรผู้สูงอายุ ที่ต้องใช้สารเคมีในงานเกษตร มีพฤติกรรมการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากสารเคมี จึงควรนำไปประยุกต์ใช้กับผู้สูงอายุในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงจากสารเคมีในการทำงานเกษตร</p> 2025-12-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี