https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/issue/feed
วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
2024-12-09T10:09:57+07:00
อ.ดร.จุไรรัตน์ ดวงจันทร์
journal@pckpb.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0150 (Online) </strong></p> <p> </p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/272767
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง
2024-09-18T15:15:23+07:00
ชูศรี เหลืองสอาดกุล
chusrileangsaadkul@gmail.com
เพทาย บุญหลง
chusrileangsaadkul@gmail.com
พิชย์ แสวงภพ
chusrileangsaadkul@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพและบุคลากรทางการพยาบาล จำนวน 22 คน และผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 190 ราย คัดเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม – สิงหาคม 2567 แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ 1) การพัฒนาแนวปฏิบัติ 2) การนำแนวปฏิบัติไปทดลองใช้ และ 3) การประเมินผลหลังการนำแนวปฏิบัติไปใช้ ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกผลลัพธ์ทางการพยาบาลของผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .92 และแบบสอบถามความพึงพอใจของบุคลากรผู้ให้บริการต่อแนวปฏิบัติการพยาบาล มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบ มีผลลัพธ์ของผู้ป่วย ได้แก่ ความอิ่มตัวของออกซิเจนเพิ่มขึ้น ดัชนีภาวะช็อก และระยะเวลาที่ใช้ในหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉินลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>t</em> = 2.30, 2.09, 2.12 ตามลำดับ) ในขณะที่ระดับความรู้สึกตัวและอัตราการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง ไม่แตกต่างจากก่อนการใช้แนวปฏิบัติ และบุคลากรผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อแนวปฏิบัติการพยาบาลในระดับมาก (<em>M</em> = 4.44, <em>SD</em> = .39)</p> <p>แนวปฏิบัติการพยาบาลนี้ สามารถพัฒนาต่อเนื่องจนได้เป็นมาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บหลายระบบและนำไปประยุกต์ใช้ในโรงพยาบาลอื่นที่มีบริบทใกล้เคียงกันได้</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/273395
แนวทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการ การบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2024-09-26T08:18:23+07:00
สุธีศักดิ์ ภูษิตากรณ์
pusita.thaijo@gmail.com
ประภาเพ็ญ สุวรรณ
P_suteesak@hotmail.com
<p>การวิจัยแบบสำรวจเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระบบบริหารจัดการการบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของโรงพยาบาลคีรีรัฐนิคม ตามแนวคิด 7S McKinsey model ดำเนินการระยะที่ 1 การศึกษาเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล คือ แพทย์ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป หัวหน้าพยาบาล พยาบาลหัวหน้างานอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน เภสัชกร นักเทคนิคการแพทย์ และนักรังสีเทคนิค รวม 7 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกโดยใช้แนวคำถามสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และระยะที่ 2 การศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานสายวิชาชีพและสายสนับสนุน จำนวน 59 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการรับรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .87 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาอุปสรรคระบบบริหารจัดการการบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ อุปกรณ์ไม่เพียงพอ พยาบาลไม่ได้ค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน และขาดอัตรากำลัง โดยมีประเด็นแนวทางพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการ ค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานของพยาบาล พัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรที่มีอยู่ให้สามารถทำงานอย่างมีศักยภาพ การรับรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับการบริหารจัดการการบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในทุกด้าน มีจำนวนมากที่สุดในด้านโครงสร้างองค์กร ร้อยละ 95.60 และน้อยที่สุดในด้านกลยุทธ์ ร้อยละ 86.40 มีประเด็นที่ควรพัฒนาเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านทักษะ และด้านค่านิยมร่วม</p> <p>โรงพยาบาลคีรีรัฐนิคม ควรปรับปรุงระบบบริหารจัดการงานบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาสมรรถภาพของบุคลากรที่ให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีคุณภาพ การสนับสนุนปัจจัยที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน และการปลูกฝังค่านิยมร่วมให้กับบุคลากร</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/273148
ผลของการใช้แนวปฏิบัติการงดน้ำ งดอาหารในมารดาผ่าตัดคลอดต่อระดับน้ำตาลในเลือดของทารกแรกเกิด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี
2024-10-03T11:24:36+07:00
สุภาภรณ์ ผาจวง
patongmom28@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดทารกแรกเกิดจากหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดระหว่างกลุ่มที่ได้รับแนวปฏิบัติการงดน้ำงดอาหารแบบใหม่กับแบบเดิม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างคือ หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี คัดเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 31 คน รวม 62 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม 3 ส่วน ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ แบบบันทึกข้อมูลของทารกแรกเกิด และแบบคัดกรองภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในทารกแรกเกิดซึ่งพัฒนามาจากแนวทางการปฏิบัติในทารกที่มีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 5 ซึ่งได้นำแนวทางจาก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ แห่งประเทศไทย ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ค่าความตรงตามเนื้อหา .95 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการทดสอบทีแบบเป็นอิสระต่อกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทารกหลังคลอดในกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดจากสายสะดือสูงกว่ากลุ่มควบคุม ในขณะที่การคัดกรองภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>t</em> = 1.89, -1.65 , <em>p</em> = .03, .04 ตามลำดับ)</p> <p>แนวปฏิบัติแบบใหม่สามารถนำไปปรับใช้การเตรียมผ่าตัดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดของทารกแรกเกิดต่ำกว่าปกติจากมารดาที่ได้รับการผ่าตัดคลอดปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเตรียมผ่าตัดสาขาอื่นต่อไป</p>
2024-12-09T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/274023
ผลของโปรแกรมการโค้ชร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ ต่อการคงไว้ของน้ำนมในมารดาที่มีทารกเกิดก่อนกำหนด
2024-10-09T16:38:27+07:00
จันทมาส ชัยสุขโกศล
juntamasPCC5@gmail.com
ฆนรส อภิญญาลังกร
khanarot.m@gmail.com
ดนิตา ปลาเงิน
danitaplangern@gmail.com
จันทิรา ชัยสุขโกศล
chks.492@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการโค้ชร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ต่อการคงไว้ของน้ำนมในมารดาที่มีทารกเกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาและทารกเกิดก่อนกำหนดอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ ที่รักษาในห้องผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ประเทศไทย จำนวน 32 คู่ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบง่าย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 16 คู่ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ คู่มือโปรแกรมการโค้ช และแอปพลิเคชันไลน์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสังเกตการณ์ปฏิบัติในการคงไว้ของน้ำนม และเครื่องตวงปริมาณน้ำนม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการคงไว้ของน้ำนมและปริมาณน้ำนม โดยใช้สถิติการทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการปฏิบัติการคงไว้ของน้ำนมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>t</em> = 33.24, 12.75, <em>p</em> < .01 ตามลำดับ) และมีค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำนมวันที่ 3 และวันที่ 5 สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (<em>t</em> = 5.04, 9.57; <em>p</em> < .01 ตามลำดับ)</p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมในการช่วยส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บุคลากรทางการพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทารกเกิดก่อนกำหนด ควรนำโปรแกรมการโค้ชร่วมกับการใช้แอปพลิเคชันไลน์ ไปใช้ในการปรับพฤติกรรมการปฏิบัติเพื่อการคงไว้ของน้ำนมในมารดาที่มีทารกเกิดก่อนกำหนด</p>
2024-12-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/273213
ปัจจัยทำนายการตัดสินใจเข้ารับบริการ ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
2024-11-05T09:35:07+07:00
นุชวรา คันธานุรักษ์
nutwara.ka@bcnpy.ac.th
อารีรัตน์ หงษ์บิน
arrirat.ho@bcnpy.ac.th
เปรมฤดี ศรีวิชัย
premrudee5@gmail.com
<p>การวิจัยแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการตัดสินใจเข้ารับบริการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้รับบริการ จำนวน 120 คน จากการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามคุณภาพบริการ และแบบสอบถามการตัดสินใจเข้ารับบริการ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .97 และ .94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยคุณภาพบริการและการตัดสินใจเข้ารับบริการ อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.27, 4.33; </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .50, .53 ตามลำดับ)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้รับบริการ การสร้างความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ ความเชื่อถือในการให้บริการ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ ความเป็นรูปธรรมของการบริการ และอายุ มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .83, .79, .76, .74, .66, .29; </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .01 ตามลำดับ) ในขณะที่จำนวนปีที่เรียนหนังสือ มีความสัมพันธ์ทางลบในระดับต่ำกับการตัดสินใจเข้ารับบริการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = -.23, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .05)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้รับบริการ การสร้างความมั่นใจแก่ผู้รับบริการ และความเป็นรูปธรรมของการบริการ สามารถร่วมกันทำนายความแปรปรวนของการตัดสินใจเข้ารับบริการได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">F </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 13.78, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .01) ได้ร้อยละ 77.40</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ผู้บริหารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ควรเสริมสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจเข้ารับบริการ</span></p>
2024-12-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/272293
ประสบการณ์ของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในการพัฒนาศักยภาพเด็ก และการตรียมความพร้อมเข้าโรงเรียน
2024-11-28T12:27:25+07:00
วิลาวัณย์ กล้าแรง
wilawan@bcnsurin.ac.th
ชัยวัฒน์ อ่อนไธสง
chaiwat@bcnsurin.ac.th
กัลยรัตน์ ศรกล้า
kanyarat@bcnsurin.ac.th
พยอม ตัณฑจรรยา
payomtantajanya@gmail.com
รุจิสรร สุระถาวร
rujisan@bcnsurin.ac.th
<p>วิจัยเชิงคุณภาพแบบวิธีวิทยาการศึกษาประสบการณ์ชีวิตและเรื่องเล่านี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ปกครองเด็กออทิสติกในการพัฒนาศักยภาพเด็กและการตรียมความพร้อมเข้าโรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้ปกครองเด็กออทิสติก จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบปรากฏการณ์วิทยา เพื่อพรรณนาผลการศึกษา ด้วยประสบการณ์ชีวิต และเรื่องเล่า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ปกครองทำหน้าที่เลี้ยงดูเด็กออทิสติก เสมือนเป็นทั้งพ่อแม่ ครู และหมอ 2) พ่อแม่ ทีมรักษา ครู ต่างฝ่ายต่างร่วมกันเป็นครูฝึกกระตุ้นพัฒนาการเด็ก ฝึกความพร้อมไปโรงเรียน พ่อแม่เรียนรู้เข้าใจเอาใจใส่ฝึกกระตุ้นพัฒนาการลูก แพทย์และทีมรักษาฝึกพัฒนาการเด็กและฝึกทักษะการเลี้ยงดูเด็กให้กับผู้ปกครอง ครูทำหน้าที่ทั้งสอนและฝึกกระตุ้นพัฒนาการเด็กต่อเหมือนเด็กเป็นลูกตัวเอง 3) ความสำเร็จคือ ครอบครัวมีความรู้คู่ความรัก ลูกได้รับการรักษาเข้าสู่ระบบโรงเรียนอย่างมีคุณภาพ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ มีอาชีพเลี้ยงตัว 4) อุปสรรคด้านผู้ปกครอง เด็ก โรงเรียน และสังคม 5) ความต้องการของผู้ปกครองเด็กออทิสติกต่อบุคคลและสถาบันที่เกี่ยวข้อง และการให้ความช่วยเหลือจำเป็นแก่เด็กและครอบครัว</p> <p>ทีมผู้บริหารการศึกษาควรจัดเตรียมระบบการส่งเสริมสนับสนุนผู้ปกครองเด็กอย่างเป็นรูปธรรม จัดเตรียมระบบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กออทิสติก ทีมแพทย์และครูผู้สอนควรให้การรับฟัง เข้าใจ เห็นใจและตระหนักในประสบการณ์ชีวิตของผู้ปกครองเด็กออทิสติก และพัฒนาโปรแกรมฝึกทักษะผู้ปกครองในการดูแลเด็กออทิสติก</p>
2024-12-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/274450
ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความฉุกเฉิน โรงพยาบาลสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่
2024-11-07T14:44:55+07:00
ปรานอม กลไกร
pranom48a@hotmail.com
กรรณิการ์ กาศสมบูรณ์
ajkannika.kat@gmail.com
<p>การวิจัยและพัฒนา ดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสภาพการณ์ของการคัดกรองผู้ป่วยนอก 2) พัฒนาแนวปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความฉุกเฉิน และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความฉุกเฉิน กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพแผนกผู้ป่วยนอก 10 คน และเวชระเบียนผู้ป่วยที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 300 ราย จำแนกออกเป็นกลุ่มก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติ กลุ่มละ 150 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบวิลคอกซัน ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพการณ์ของการคัดกรองผู้ป่วยนอก พบว่า บุคลากรขาดความรู้และทักษะการคัดกรอง กระบวนการในการคัดกรองไม่ชัดเจน ไม่เป็นมาตรฐาน และช่องทางการส่งต่อผู้ป่วย จึงพบความอุบัติการณ์ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงขณะรอตรวจ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวปฏิบัติการคัดกรองผู้ป่วยนอกตามระดับความฉุกเฉิน 5 ระดับ จำแนกตามสี โดยใช้อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นเกณฑ์การคัดแยก และมีแนวทางการดูแลที่เจาะจงกับกลุ่ม/ระดับผู้ป่วย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนเฉลี่ยความรู้หลังอบรมการใช้แนวปฏิบัติการคัดกรอง สูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">Z</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 2.81, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .005) อัตราการคัดกรองถูกต้อง ร้อยละ 96.67 และไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการทรุดลงขณะรอตรวจ มีความคิดเห็นต่อความเป็นไปได้ในการใช้แนวปฏิบัติการคัดกรอง และมีความพึงพอใจต่อการใช้แนวปฏิบัติการคัดกรองอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.54, 4.71; </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .52, .44 ตามลำดับ)</span></p> <p>แนวปฏิบัติการคัดกรองตามระดับความเร่งด่วนของผู้ป่วยสามารถนำไปใช้ได้จริง ลดอัตราการทรุดลงเกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย และเกิดความพึงพอใจของพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติ</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/pck/article/view/274047
ผลลัพธ์ของการระบุตัวเชิงรุก และการช่วยชีวิตตั้งแต่แรกในผู้ป่วยที่มีโอกาสจะเข้าเกณฑ์บริจาคอวัยวะ โรงพยาบาลอุดรธานี ในระหว่างการระบาดโควิด 19
2024-10-01T16:03:10+07:00
ศศิพินทุ์ มงคลไชย
sasipin.monkolchai@gmail.com
อำนวยพร นามมัน
myjaja18@gmail.com
ภิญโญ ศุภรัตนชาติพันธ์
pinyo@yahoo.com
อัจฉรา สกุนตนิยม
achara@bcnnv.ac.th
ทิวาวัน คำบรรลือ
tiwawan@bcnnv.ac.th
สุชีวา วิชัยกุล
susheewa@bcnnv.ac.th
<p>การวิจัยแบบศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์การระบุตัวเชิงรุก การช่วยชีวิตตั้งแต่แรก และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการบริจาคอวัยวะ ของโรงพยาบาลอุดรธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคอวัยวะของเขตสุขภาพที่ 8 ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ระหว่าง 1 ตุลาคม 2563 - 31 มีนาคม 2565 กลุ่มตัวอย่างคือ เวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองระดับรุนแรง จำนวน 172 ราย เก็บข้อมูลโดยแบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย เท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 74.41 อายุเฉลี่ย 47.59 ปี (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> =17.88) สาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากภาวะสมองตาย คือ การบาดเจ็บทางสมอง ร้อยละ 76.74 ซึ่งมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรุนแรง APACHE II score เท่ากับ 29.71 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 2.30)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. การเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่มีโอกาสบริจาคอวัยวะ เป็นผู้เสียชีวิตสมองตาย เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงแรก คิดเป็นร้อยละ 93.02 ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการช่วยชีวิตตั้งแต่แรก ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ร้อยละ 62.79 ภาวะเบาจืด ร้อยละ 41.86 ภาวะโซเดียมเกิน ร้อยละ 11.12 และภาวะช็อก ร้อยละ 1.16 มีผู้บริจาคอวัยวะและนำอวัยวะไปปลูกถ่ายได้ 15 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.72 อวัยวะที่ได้รับบริจาคมากที่สุด คือ ไต ส่วนใหญ่ไม่ระบุสาเหตุของการปฏิเสธการบริจาคอวัยวะ ร้อยละ 69.30 มีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ร้อยละ 8.72 และต้องการการดูแลแบบประคับประคอง ร้อยละ 22.09</span></p> <p>ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การระบุตัวผู้ที่มีโอกาสบริจาคอวัยวะเชิงรุกและการช่วยชีวิตตั้งแต่แรก ตลอดจนติดตามเฝ้าระวังต่อเนื่อง สามารถเพิ่มโอกาสในการได้รับการบริจาคอวัยวะ และลดการสูญเสียผู้ป่วยสมองตาย ก่อนเข้าสู่กระบวนการบริจาคอวัยวะได้ โดยพิจาณาจากความเชื่อทางวัฒนธรรมและความต้องการการดูแลแบบประคับประคอง</p>
2024-12-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี