วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal <p>วารสารวิชาการด้านพยาบาลศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และการศึกษาทางการพยาบาล</p> <p>ISSN 1513-5454 ยกเลิก</p> <p>ISSN 3088-1137 (online)</p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และใช้กระบวนการปิดบังชื่อผู้แต่งและผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณาบทความ</p> <p>บทความที่ได้รับการเผยแพร่ทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม</p> <p>กำหนดออกเล่มวารสารทุก 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ)</p> <p>- มกราคม - มิถุนายน (เผยแพร่ 7 - 10 บทความภายในเดือนมิถุนายน) </p> <p>- กรกฎาคม - ธันวาคม (เผยแพร่ 7 - 10 บทความภายในเดือนธันวาคม)</p> en-US <p>เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง&nbsp;</p> <p>บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามทุกครั้ง&nbsp;</p> jsiamns@siam.edu (Assistant Professor Dr. Jaratdao Reynolds (Ph.D)) jsunurse@siam.edu (Assistant Professor Dr. Somrudee Chuenkitiyanon (Ph.D.)) Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลการใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนา ต่อความแม่นยําการคัดแยก และระยะ เวลารอคอยของผู้ป่วย แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพิงค์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/277225 <p>การคัดแยกผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพจะนำไปสู่การจัดลำดับความรุนแรงที่ถูกต้อง ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแม่นยำการคัดกรอง และระยะเวลารอคอยของผู้ป่วย ระหว่างกลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนากับกลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มาใช้บริการ แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพิงค์ จำนวน 112 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนปกติ จำนวน 56 คน กลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนา จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย แบบบันทึกความแม่นยำของการคัดแยก แบบบันทึกระยะเวลารอคอย และคู่มือการใช้เกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนา ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยหาความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ค่า CVI = 1 และหาความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิแอลฟาครอนบาค เท่ากับ .79 และค่าการทดสอบซ้ำ เท่ากับ .56 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย และสถิติอ้างอิง ได้แก่ Chi-square, และ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนามีความแม่นยำในการคัดกรองมากกว่ากลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยน้อยกว่ากลุ่มที่ใช้รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>ดังนั้น รูปแบบเกณฑ์การคัดแยกเร่งด่วนฉบับพัฒนาควรนำไปใช้ในการคัดแยกผู้ป่วยแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือได้ทันเวลา ปลอดภัย และได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ประกายแก้ว กานต์ณวงศ์, รุ่งฤดี วงค์ชุม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/277225 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายความรอบรู้ การควบคุมป้องกันโรคโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตตำบลน้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276624 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองในการปฏิบัติงานเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เขตตำบลน้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก ซึ่งศึกษาประชากรทั้งหมดจำนวน 410 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณเชิงเส้น</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า อสม. มีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองในระดับดีมาก ร้อยละ 85.12 และ 80.24 ตามลำดับ โดยปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 จำแนกรายด้านคือ ด้านความรู้ความเข้าใจ มีปัจจัยเดียวคือการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยทำนายได้ร้อยละ 2.54 ด้านการเข้าถึงข้อมูลมี 3 ปัจจัย คือเขตที่อยู่อาศัย การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกในชุมชน และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 17.92 ด้านการรู้เท่าทันสื่อมี 4 ปัจจัย คือรายได้ การรับรู้การบริการสุขภาพเชิงรุกของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกและการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 22.45 ด้านการจัดการตนเองมี 3 ปัจจัย คือรายได้ การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุก และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 12.73 และด้านการสื่อสารซักถามโต้ตอบ มี 4 ปัจจัย คือรายได้ การรับรู้การบริการสุขภาพเชิงรุก การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุก และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 18.40 ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันตนเองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ได้แก่ ความ รอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการจัดการตนเอง การเข้าถึงข้อมูลและการตัดสินใจเลือกปฏิบัติรวมถึงปัจจัยเขตที่อยู่อาศัย ร่วมทำนายได้ถึงร้อยละ 40.90</p> <p>ข้อเสนอแนะ พัฒนาส่งเสริมให้ อสม. เข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกในชุมชนให้มากขึ้น เช่นกิจกรรมการค้นหากลุ่มเสี่ยง การคัดกรองโรคเชิงรุกเป็นต้น เนื่องจากมีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการเข้าถึงข้อมูล ด้านการรู้เท่าทันสื่อ ด้านการจัดการตนเอง และด้านการสื่อสารซักถามโต้ตอบ</p> เมธี สุทธศิลป์, สิริวิมล เกิดศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276624 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการให้ความรู้ด้านสุขภาพและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานท์สำหรับผู้ปกครองในการดูแลเด็กวัยเรียน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/275927 <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการให้ความรู้และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน LINE Official Account สำหรับผู้ปกครองในการดูแลเด็กวัยเรียน และเปรียบเทียบความมั่นใจของผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน รวมถึงศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองและพยาบาลวิชาชีพต่อรูปแบบที่พัฒนาขึ้น มีการดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิเคราะห์ปัญหา 2) ออกแบบและพัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้รูปแบบที่พัฒนา กับกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครอง 27 คน และพยาบาลวิชาชีพ 5 คน และ 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบที่พัฒนา เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่แบบประเมินความมั่นใจของผู้ปกครอง และแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครองและพยาบาลวิชาชีพ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา .86 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .86 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบทีแบบจับคู่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการให้ความรู้ด้านสุขภาพและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน LINE OA ชื่อบัญชี "การดูแลเด็กวัยเรียน" มีการนำเสนอความรู้ผ่านภาพอินโฟกราฟิกส์และเปิดช่องทางให้ซักถามข้อสงสัยผ่านทางกล่องข้อความ 2) ภายหลังการใช้ แอปพลิเคชัน LINE OA ผู้ปกครองมีความมั่นใจในการดูแลเด็กวัยเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 9.93, <em>p </em>&lt; 0.001) และความพึงพอใจของผู้ปกครองเด็กวัยเรียนและพยาบาลวิชาชีพ โดยรวมอยู่ในระดับมาก(M = 4.40, S.D. = 0.54; M = 4.54, S.D. = 0.51 ตามลำดับ) ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า บุคลากรด้านสุขภาพที่มีหน้าที่ให้การดูแลเด็กวัยเรียนควรนำแอปพลิเคชัน LINE OA มาใช้ในการให้ความรู้และคำปรึกษาด้านสุขภาพ เนื่องจากเป็นอีกช่องทางที่สะดวก ง่าย ทันยุคสมัย และผู้ปกครองสามารถเข้าไปเรียนรู้ซ้ำได้ด้วยตนเองตลอดเวลาเมื่อต้องการ</p> กมลวรรณ สุวรรณ, วิทูรย์ คงผล, สาธิมาน มากชูชิต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/275927 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลการให้การสนับสนุนด้านข้อมูลต่อความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์แรกที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/273833 <p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความวิตกกังวลต่อการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ระหว่างหญิงตั้งครรภ์กลุ่มที่ได้รับการให้การสนับสนุนด้านข้อมูลและหญิงตั้งครรภ์กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 78 ราย เป็นหญิงตั้งครรภ์กลุ่มควบคุมจำนวน 39 ราย และหญิงตั้งครรภ์กลุ่มทดลองจำนวน 39 ราย อายุ 20 - 34 ปี ตั้งครรภ์ปกติ อายุครรภ์ 37-42 สัปดาห์ ตั้งครรภ์ครั้งแรก เครื่องมือประกอบด้วย แบบประเมินความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง 20 ข้อ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล ค่าความเที่ยงคุณภาพเครื่องมือสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .85 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความต่างของระดับความวิตกกังวลต่อการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องก่อนและหลังภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มด้วย t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หญิงตั้งครรภ์กลุ่มที่ได้รับการให้การสนับสนุนด้านข้อมูลมีระดับความวิตกกังวลต่อการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องลดลงหลังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดคลอด โดยคะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ทั้ง 2 กลุ่ม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ผลการศึกษานี้ให้ข้อเสนอแนะว่าควรส่งเสริมสนับสนุนด้านข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องแก่หญิงตั้งครรภ์ก่อนการผ่าตัดเพื่อลดความวิตกกังวล</p> อรุณี ศรีสุยิ่ง , วิไลลักษณ์ เผือกพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/273833 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของการรับรู้คุณค่าการอบรมเลี้ยงดูของบุพการีต่อการตั้งใจที่จะเรียนรู้ การปรับตัวและการจัดการเวลาและกิจกรรมนอกห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพของวัยรุ่นตอนปลาย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276540 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้คุณค่าการอบรมเลี้ยงดูของบุพการีกับความตั้งใจในการเรียนรู้ การปรับตัว และการจัดการเวลาและกิจกรรมนอกห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพของวัยรุ่นตอนปลาย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ จำนวน 55 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติถดถอยพหุคูณ (Multivariate Multiple Regression)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้คุณค่าการเลี้ยงดูมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อ</p> <ol> <li>ความตั้งใจในการเรียนรู้ (R² = .431, p &lt; .001)</li> <li>การปรับตัว (R² = .343, p &lt; .001)</li> <li>การจัดการเวลาและกิจกรรมนอกห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ (R² = .153, p = .003)</li> </ol> <p>สรุปได้ว่า การรับรู้คุณค่าจากการอบรมเลี้ยงดูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้และการใช้ชีวิตของวัยรุ่นตอนปลาย โดยเฉพาะในบริบทของนักศึกษาพยาบาลที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นวิชาชีพ ควรมีการส่งเสริมรูปแบบการเลี้ยงดูที่เน้นความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างบุพการีกับบุตร เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตอย่างยั่งยืน</p> นภิสสรา ธีระเนตร, นันทิยา ปรีชาเสถียร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276540 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การจัดการตนเองของผู้สูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อจากโรคโควิด 19 หลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276718 <p>ปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส (COVID-19<strong>) </strong>เป็นการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อจากโรคโควิด 19 โดยมากเป็นผู้สูงอายุ การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการตนเองของผู้สูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อจากโรคโควิด 19 หลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล โดยประยุกต์แนวคิดการจัดการตนเอง Self-Management ของเครียร์ โดยนำมาประยุกต์ใช้ในทางการพยาบาลให้เข้ากับบริบทของผู้สูงอายุเก็บข้อมูลเดือนพฤศจิกายน 2565 - เมษายน 2567 การสัมภาษณ์ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ รายได้ต่อเดือน การพักอาศัย โรคประจำตัว 2) ประเมินการจัดการตนเองของผู้สูงอายุ 3) สอบถามการจัดการตนเองของผู้สูงอายุ 4) ประเมินการติดตามอาการผู้ป่วยผู้สูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อจากโรคโควิด 19 หลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอายุ 60 ปีขึ้นไปแบบเจาะจง จำนวน 30 ท่าน ติดตามอาการหลังจำหน่ายกลับบ้าน 2 ครั้ง สัมภาษณ์ครั้งที่ 1 ติดตามอาการ 3 เดือน และสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 ติดตามอาการ 6 เดือน ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูล 1) ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) เก็บข้อมูลนำมาวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิด ซึ่งการจัดการตนเองของผู้สูงอายุที่มีภาวะปอดอักเสบติดเชื้อจากโรคโควิด 19 หลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลสามารถจัดการตนเองได้ดี</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> การจัดการตนเองตามแนวคิด Self-Management ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้ให้การพยาบาลดูแลผู้สูงอายุหลังจากที่ติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 ลงปอดหลังจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล เมื่อกลับไปอยู่บ้านสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวได้</p> กุลิสรา เฟื่องมะนะกูล, สุกฤตา ตะการีย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276718 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแลต่อภาระการดูแลผู้ที่เป็นโรคจิตเภทในชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/279117 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ใช้รูปแบบการศึกษาสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ 1) ภาระการดูแลของผู้ดูแลผู้ที่เป็นโรคจิตเภทในชุมชน ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล และ 2) ภาระการดูแลของผู้ดูแลผู้ที่เป็นโรคจิตเภทในชุมชน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล กับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลหลักในครอบครัว ที่ให้การดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่อาศัยอยู่ในชุมชน ซึ่งมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ จำนวน 50 คน จากนั้นได้รับการจับคู่ด้วยระยะเวลาในการดูแล แล้วสุ่มเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล แบบวัดภาระในการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเภท เครื่องมือทุกชุดผ่านการตรวจสอบคุณภาพ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบทีผลการวิจัยที่สำคัญ สรุปได้ดังนี้ 1) ภาระการดูแลของผู้ดูแลผู้ที่เป็นโรคจิตเภทในชุมชน หลังเข้าร่วมโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล น้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ภาระการดูแลของผู้ดูแลผู้ที่เป็นโรคจิตเภทในชุมชน ที่เข้าร่วมโปรแกรมการสร้างพลังสำหรับผู้ดูแล น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ศุภกฤต จึงพิภานิชกุล, เพ็ญนภา แดงด้อมยุทธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/279117 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะทางการพยาบาล ด้วยการเรียนรู้ผ่านเกม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276390 <p>การเรียนรู้แบบใช้เกมเป็นฐาน (Game-Based Learning: GBL) กำลังได้รับความสนใจในฐานะเครื่องมือการเรียนการสอนที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในสาขาการศึกษาพยาบาล ซึ่งต้องการพัฒนาทั้งความรู้เชิงทฤษฎีและทักษะการปฏิบัติ GBL ช่วยเสริมสร้างทักษะสำคัญ เช่น การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการทำงานร่วมกัน ผ่านกระบวนการที่เน้นสถานการณ์จำลองแบบ Challenge-Response-Feedback ซึ่งทำให้นักศึกษาได้ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยและยังให้ผลตอบกลับในทันทีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ</p> <p>อย่างไรก็ตาม GBL ยังมีข้อจำกัด เช่น ความไม่สมจริงในบางสถานการณ์ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ยังต้องการการฝึกในสถานการณ์จริง และต้นทุนการพัฒนาที่สูง บทความนี้จึงเสนอแนวทางการใช้ GBL ร่วมกับรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งในด้านทักษะปฏิบัติและการพัฒนาศักยภาพในบริบทจริง ดังนั้น หากมีการออกแบบและการสนับสนุนการใช้ GBL อย่างเหมาะสม แนวทางนี้จะช่วยยกระดับความพร้อมและประสิทธิภาพของนักศึกษาพยาบาลสำหรับการปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิผล</p> ธัญลักษณ์วดี ก้อนทองถม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/276390 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700