https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/issue/feed
วารสารทางการแพทย์และบริหารจัดการระบบสุขภาพ โรงพยาบาลขอนแก่น (Journal of Medicine and Health System Management of Khon Kaen Hospital)
2025-03-03T14:21:16+07:00
ดร.ผนึกแก้ว คลังคา
pugpoa140@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารทางการแพทย์และบริหารจัดการระบบสุขภาพ โรงพยาบาลขอนแก่น เป็นวารสารทางวิชาการซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ โรงพยาบาลขอนแก่น จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) รายงานผู้ป่วย (Case report) บทความวิชาการ (Academic Article) บทความปริทัศน์ (Literature Review Article) ตลอดจนองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การพยาบาลหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ แนวปฏิบัติจากงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความอื่นๆที่น่าสนใจ โดยทุกบทความได้รับการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จากภายใน และภายนอกโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งมีกำหนดตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/276740
ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้านศูนย์แพทย์มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
2025-01-21T14:01:40+07:00
อาภาพรรณ มงคลอินทร์
aurawannursekkh@gmail.com
นิตยา ศรีสุทธิกมล
njkkhnso@gmail.com
อรวรรณ ดวงมังกร
njkkhnso@gmail.com
<p><strong>ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้านศูนย์แพทย์มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น</strong></p> <p> </p> <p>อาภาพรรณ มงคลอินทร์ ศศ.ม*. นิตยา ศรีสุทธิกมล ปร.ด**. อรวรรณ ดวงมังกร ปร.ด.***</p> <p> </p> <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ</strong>: ปัจจุบันประเทศไทย เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Complete Aged Society) นับเป็นความท้าทายที่กลุ่มผู้ให้บริการสุขภาพทั้งในระบบบริการสุขภาพชองภาครัฐและหน่วยงานอื่นต้องบูรณาการ ให้การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงให้ดำรงชีวิตอยู่ในครอบครัว ชุมชน และสังคมได้อย่างมีสุขภาวะ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>:เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน ศูนย์แพทย์มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>:การวิจัยครั้งนี้เป็นแบบแผนการทดลองขั้นต้น (Pre- experimental design) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและ-หลังการทดลอง(The one Groups Pretest-Posttest Design) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน ศูนย์แพทย์มิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง 2 กลุ่มได้แก่ 1) กลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี อายุไม่เกิน 75ปี จำนวน 26 คน และ 2) กลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ติดบ้านจำนวน 26 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคม - ตุลาคม 2567 เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแผนการสอน แบบสอบถามผู้ดูแลผู้สูงอายุ แบบสอบถามผู้สูงอายุ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ Wilcoxon signed rank test วิเคราะห์เปรียบเทียบระดับคะแนนผู้ดูแลผู้สูงอายุ ความแตกต่างของค่าความรู้ ทัศนคติ และทักษะการดูแลผู้สูงอายุก่อน/หลังทดลอง รวมถึงวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับความสามารถ ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุก่อน/หลังทดลอง</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>:พบว่าคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุก่อนและหลังได้รับโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน (n=26) พบว่าด้านความรู้ทั่วไปมีคะแนนเฉลี่ยก่อนการอบรมเท่ากับ 14.85 (S.D.=1.93) และหลังการอบรมเพิ่มขึ้นเป็น 17.57 (S.D.=1.33) เมื่อทดสอบทางสถิติพบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=5.52, p<.001) สำหรับด้านความรู้การฟื้นฟูสภาพด้วยวิธีกายภาพบำบัด พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการอบรมเท่ากับ 6.30 (S.D.=1.49) และหลังการอบรมเพิ่มขึ้นเป็น 7.00 (S.D.=1.79) เมื่อทดสอบทางสถิติพบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z=-1.731, p=.083) ดังนั้นผลของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะมีประสิทธิผลในการเพิ่มความรู้ทั่วไปของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน แต่ไม่พบความแตกต่างในด้านความรู้การฟื้นฟูสภาพด้วยวิธีกายภาพบำบัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: 1) ควรมีการศึกษาติดตามระยะยาว (Longitudinal study) เพื่อประเมินความคงอยู่ของความรู้และทักษะของผู้ดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี</p> <p>2) ควรพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมเฉพาะด้านการฟื้นฟูสภาพทางกายภาพบำบัด โดยเพิ่มระยะเวลาการฝึกปฏิบัติและมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง</p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มติดบ้าน</p>
2025-02-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/273302
การพยาบาลทารกที่มีความผิดรูปของลำไส้ส่วนปลายและทวารหนัก: กรณีศึกษา 2 ราย
2024-08-23T15:21:15+07:00
บุณณดา ขาวงาม
khowngam1@gmail.com
<p>ความพิการแต่กำเนิดที่มีความผิดรูปของลำไส้ส่วนปลายและทวารหนัก (anorectal malformation) เป็นความพิการซับซ้อนบกพร่อง<sup>3,4</sup> คือ มีลักษณะรูทวารหนักไม่เปิดออกสู่ภายนอกหรือเปิดแต่ไม่สมบูรณ์ (anorectal malformation) รูทวารปัสสาวะไม่เปิดสู่ภายนอกอย่างปกติ (hypospadias, exstrophy bladder) รูทวารหนักและปัสสาวะเปิดลงในอวัยวะเพศหรือช่องคลอด (cloaca) การดูแลรักษาทารกแรกเกิดมีความผิดรูปของลำไส้ส่วนปลายและทวารหนัก คือการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ส่วนผลกระทบภายหลังการผ่าตัด คือ การติดเชื้อลำไส้หลังผ่าตัด รอยแผลผ่าตัดทวารตีบแคบ การติดเชื้อของรูทวารเทียม<sup>1</sup> นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบต่อครอบครัว เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของทารก การได้รับข้อมูล และคำแนะนำที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นพยาบาลจึงมีส่วนสำคัญในการปฏิบัติการพยาบาลทุกระยะ ทั้งระยะรักษา และระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ การให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ดูแลหรือบุคคลในครอบครัว เพื่อให้ทารกได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องแบบองค์รวมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น <sup>5,6</sup></p> <p>หอผู้ป่วยทารกแรกเกิด โรงพยาบาลขอนแก่นให้การรักษาพยาบาลทารกตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 1 เดือน สถิติการให้บริการ ปี พ.ศ. 2564-2566 พบว่ามีผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่รับไว้ในในความดูแลมีจำนวน 882, 1,112, 1,171 ราย เป็นทารกแรกเกิดที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติบริเวณรูทวาร จำนวน 17, 12, 21 ราย และทารกแรกเกิดที่มีความผิดรูปของทวารหนักร่วมกับความพิการแต่กำเนิดชนิดอื่น จำนวน 10, 7, 13 ราย ตามลำดับ ทารกทุกรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดรูปของทวารหนัก ต้องรักษาโดยการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมง<sup>1,7</sup>ซึ่งการผ่าตัดจะมีทั้งแบบการแก้ไขความผิดปกติของรูทวาร (anoplasty) และการผ่าตัดแบบการทำรูทวารเทียม (colostomy) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของความผิดปกติบริเวณรูทวารของทารกแรกเกิดควรได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ถ้ามีความรุนแรงระดับต่ำสามารถเลือกผ่าตัด แก้ไขความผิดปกติของทวารหนัก (anoplasty) ได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่ถ้ามีความรุนแรงระดับปานกลางหรือระดับสูงควรทำทวารเทียม (colostomy) ในระยะแรกเกิด และทำการผ่าตัดรูทวารหนักเมื่ออายุ 2-3 เดือน หรือน้ำหนักตั้งแต่ 4 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องได้รับการเตรียมความพร้องแก้เด็กและครอบครัวเพื่อให้พร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ<sup>9</sup></p> <p> ดังนั้น พยาบาลวิชาชีพมีบทบาทสำคัญในการให้การพยาบาลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีความพิการชนิดที่มีความผิดรูปของทวารหนัก ในขั้นตอนการรักษาและการผ่าตัดระยะก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดและดูแลต่อเนื่องที่บ้านอย่างปลอดภัยโดยใช้องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญด้านการพยาบาล ช่วยประคับประคองทารกแรกเกิด และครอบครัวของทารกแรกเกิดในการเผชิญกับปัญหา อาการเจ็บป่วย ช่วยให้ทารกแรกเกิดได้รับการดูแลรักษา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ดูแล เกี่ยวกับการดูแลและจัดการด้านการขับถ่ายของทารกแรกเกิด ให้การสนับสนุนด้านจิตใจและสังคม ให้คำปรึกษา <sup>4</sup> </p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/273773
การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง กรณีศึกษา 2 ราย
2024-09-11T13:35:26+07:00
บัณฑิตา ทองบัวบาน
bantitaamp2524@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>โรคหลอดเลือดสมองโป่งพองเป็นภาวะวิกฤตที่มีความซับซ้อนและรุนแรง เมื่อหลอดเลือดในสมองโป่งพองเกิดการแตก มีผลกระทบต่อสมอง ทำให้อาจเกิดความพิการหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้ การให้การพยาบาลโดยการใช้กระบวนการพยาบาลได้อย่างถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน จะทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน หรือส่งผลกระทบจากภาวะแทรกซ้อนให้น้อยลง สามารถฟื้นฟูสภาพและกลับบ้านอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไป ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล การพยาบาลและผลลัพธ์ทางการพยาบาลของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพอง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโป่งพอง จำนวน 2 ราย โดยการเก็บข้อมูลจากเวชระเบียน ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจพิเศษ วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล และการใช้กระบวนการพยาบาล</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 ราย มีความแตกต่างกันด้านข้อมูลทั่วไป ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเจ็บป่วย ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อน ภายหลังได้รับการพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาล และการพยาบาลในแต่ละระยะ การเฝ้าระวังภาวะเสี่ยงที่มีผลต่อความรุนแรงของโรค ส่งผลทำให้ผู้ป่วยปลอดภัย สามารถกลับบ้านเพื่อไปฟื้นฟูสภาพต่อที่บ้านได้</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ</strong>: การเฝ้าระวังและการประเมินความเสี่ยงที่ครอบคลุมในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพองมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรมีการปรับปรุงแนวทางการดูแลในแต่ละระยะของโรคเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย และส่งเสริมให้มีการฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาแนวทางการพยาบาลที่เฉพาะเจาะจงและทันสมัยเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น</p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>กระบวนการพยาบาล โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/274341
การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่มีสารคีโตนคั่ง: กรณีศึกษา 2 ราย
2024-10-07T16:40:03+07:00
เบ็ญจวรรณ เมืองเก่า
peemuy1550@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกซึ่งในปัจจุบันความชุกของโรคเบาหวานทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความเจ็บป่วยเรื้อรังและมีผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะทุกระบบของร่างกาย ทำให้สุขภาพผู้ป่วยอาจเสื่อมเร็วกว่าคนปกติ ส่งผลให้ความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยลดลง และหากไม่ได้รับการส่งเสริมให้ดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายและรวดเร็วจนเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/275175
การพยาบาลผู้คลอดวัยรุ่นที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด: กรณีศึกษา 2 ราย
2024-11-12T16:05:01+07:00
ปราณี นามหานวล
praneenumhanual@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>บทนำ: </strong>ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในวัยรุ่นเป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์ที่มีความซับซ้อน(1,2,3) และอาจส่งผลต่อภาวะสุขภาพที่รุนแรง จึงจำเป็นต้องได้รับการประเมินอาการ การดูแลอย่างใกล้ชิด และการจัดการอย่างเหมาะสม จึงจะช่วยลดความรุนแรง และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อมารดา และทารกในครรภ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้กระบวนการพยาบาลในการปฏิบัติพยาบาลผู้คลอดวัยรุ่นที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>ศึกษาเปรียบเทียบผู้คลอดวัยรุ่นที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จำนวน 2 ราย โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียน ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการตรวจพิเศษ วิเคราะห์เปรียบเทียบการใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าผู้คลอดทั้ง 2 ราย มีความแตกต่างด้านปัจจัยเสี่ยง ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ภายหลังได้รับการพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาล และใช้ทักษะในการประเมินและเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อน การบริหารยาอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผู้คลอดปลอดภัย จากการเจ็บป่วยปัจจุบัน การปรับตัวในบทบาทใหม่ และการวางแผนครอบครัว</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในวัยรุ่น เกิดจากหลายสาเหตุทั้งด้านมารดาและทารกในครรภ์(4) ความผิดปกติที่สลับซับซ้อน เป็นเหตุให้เกิดอันตรายทั้งต่อมารดาและทารกในครรภ์(4) สร้างแนวปฏิบัติในการพยาบาลดูแลต่อเนื่อง สิ่งสำคัญในการให้การพยาบาลต้องป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดซ้ำ(5) เป็นต้น</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>กระบวนการพยาบาล, การตั้งครรภ์วัยรุ่น, ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nso-kkh/article/view/275917
การพยาบาลผู้ป่วยที่เป็นโรคก้อนฝีหนองที่เกิดจากการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่: กรณีศึกษา 2 ราย
2024-12-24T15:07:30+07:00
ณัฐชานันท์ พงศ์สุวรรณเขต
pongsuwann.65@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>ที่มาและความสำคัญ:</strong> โรคก้อนฝีหนองที่เกิดจากการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่ เป็นภาวะแทรกซ้อนอันตรายที่เกิดตามหลัง ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาล่าช้า ถ้าก้อนฝีหนองแตกจะเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะมีการรั่วไหลของหนองสู่ช่องท้องเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต การเฝ้าระวังการแตกของก้อนฝีหนองและการพยาบาลเพื่อลดการติดเชื้อจะช่วยลดระยะเวลานอนโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิต</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการใช้กระบวนการพยาบาลในผู้ป่วยที่เป็นโรคก้อนฝีหนองที่เกิดการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่</p> <p><strong>วิธีดำเนินการศึกษา: </strong>กรณีศึกษาใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคก้อนฝีหนองที่เกิดจากการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่ จำนวน 2 ราย ซึ่งเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยนรีเวชกรรมโรงพยาบาลขอนแก่น ศึกษาโดยใช้แนวคิดกระบวนการพยาบาลและใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน 11 แบบแผนเป็นกรอบแนวคิดในการประเมินภาวะสุขภาพ</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กรณีศึกษาที่ 1 พบข้อวินิจฉัยพยาบาลจำนวน 8ข้อ 1) มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเนื่องมีการแตกของก้อนฝีที่ท่อนำไข่ด้านขวา หนองรั่วไหลสู่ช่องท้องและติดเชื้อลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด 2)เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพร่องออกซิเจน หลังผ่าตัดเนื่องจากmorbid obesity และมีภาวะ obstructive <em>sleep apnea 3)</em>มีภาวะไตสูญเสียหน้าที่ลดลงอย่างเฉียบพลัน 4)มีภาวะไม่สมดุลของเกลื่อแร่ในร่างกายเนื่องจากอาเจียนและถ่ายเหลว 5)ปวดแผลผ่าตัด 6)แผลผ่าตัดแยกและติดเชื้อ Escherichia coli 7) เสี่ยงต่อภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง 8)ภาวะพร่องความรู้ในการดูแลตัวเอง กรณีศึกษาที่ 2 พบข้อวินิจฉัยพยาบาลจำนวน 4 ข้อ 1) มีภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุช่องท้องและท่อนำไข่ รังไข่ด้านขวา.มีภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุช่องท้องและท่อนำไข่ รังไข่ด้านขวา2)มีอาการปวดท้องด้านล่างขวา 3) มีภาวะไม่สมดุลของเกลื่อแร่ในร่างกายเนื่องจากอาเจียน 4) ภาวะพร่องความรู้ในการดูแลตัวเอง ถึงแม้กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย จะเป็นโรคเดียวกันแต่มีระดับความรุนแรงของโรคต่างกันกรณีศึกษาที่1 มีความรุนแรนจากภาวะติดเชื้อในกระเลือดมากกว่าเพราะมีการแตกของก้อนฝีหนองที่รังไข่ทำให้มีการรั่วไหลของหนองสู่อุ้งเชิงกรานและได้รับการผ่าตัดรวมเวลานอนรักษา 25 วัน กรณีศึกษาที่2 ไม่มีการแตกของก้อนฝีหนอง ได้รับยาฆ่าเชื้อแล้วตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้ดีจึงไม่ต้องผ่าตัด รวมเวลานอนรักษา 6 วัน</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ: </strong>นำผลการศึกษาไปใช้จัดทำแนวทางการปฏิบัติการพยาบาล การเฝ้าระวังติดตามอาการผิดปกติเพื่อพัฒนาสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพในผู้ป่วยที่เป็นโรคก้อนฝีหนองที่เกิดจากการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่ต่อไป</p> <p> </p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การพยาบาล,โรคก้อนฝีหนองที่เกิดจากการติดเชื้อของท่อนำไข่และรังไข่,อุ้งเชิงกรานอักเสบ,กอร์ดอน</p> <p>*พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลขอนแก่น</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลขอนแก่น