https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/issue/feed
วารสารโรงพยาบาลนครพนม
2025-03-14T10:01:55+07:00
แพทย์หญิงนทวรรณ หุ่นพยนต์
nkpjournal_9@hotmail.com
Open Journal Systems
<p> วารสารโรงพยาบาลนครพนม เป็นวารสารทางด้านแพทย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ เผยแพร่บทความวิจัย (Research articles) บทความวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านการแพทย์ในด้านต่างๆไปสู่บุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชนทั่วไป เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยหรือดูแลตนเองได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ (Objective)</strong></p> <p> เพื่อเป็นสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านการแพทย์ในด้านต่างๆไปสู่บุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชนทั่วไป เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยหรือดูแลตนเองได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร (Scope)</strong></p> <p> วารสารโรงพยาบาลนครพนมมีนโยบายส่งเสริมการเผยแพร่บทความ ความรู้ และผลงานวิจัยที่มีคุณภาพในสาขาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์สุขภาพ แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด รังสีเทคนิค และสาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ </strong><strong>(Peer Review Process)</strong></p> <p> ทุกบทความได้รับจะการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จากภายในและภายนอก อย่างน้อย จำนวน 2 ท่าน <strong><em>โดยผู้ประเมินจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ (Double blind) </em></strong></p> <p><strong>ประเภทบทความ (Type of Article)</strong> <br /> 1. บทบรรณาธิการ (Editorial) เป็นบทความสั้นๆ ที่บรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่กองบรรณาธิการเห็นสมควรเขียนแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ <br /> 2. บทความทบทวนความรู้ (Topic review) คือ บทความที่มีลักษณะการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ อย่างสมบูรณ์ในเรื่องนั้น ควรเป็นเรื่องที่พบบ่อย มีผลต่อการดูแลรักษามากหรือเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจในขณะนั้นเพื่อเป็นการทบทวนองค์ความรู้ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น <br /> 3. นิพนธ์ต้นฉบับ (Original article) คือ งานวิจัยของแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้านอื่นๆจัดทำขึ้น เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ในงานวิจัยนั้น <br /> 4. รายงานคนไข้น่าสนใจ (Interesting case) คือ รายงานผู้ป่วยที่มีความน่าสนใจในด้านต่างๆ ซึ่งอาจเป็นผู้ป่วยพบบ่อย หรือผู้ป่วยที่พบไม่บ่อยแต่มีความน่าสนใจ เพื่อที่จะให้ผู้อ่านได้เห็นตัวอย่างและนำไปปรับปรุงการดูแลคนไข้ให้ดียิ่งขึ้น <br /> 5. นวัตกรรม คือผลงานหรือวิธีการที่คิดค้นขึ้นใหม่ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้การดูแลคนไข้ รวดเร็ว และมีคุณภาพมากขึ้น <br /> 6. เกร็ดความรู้ คือความรู้ด้านต่างๆ อาจไม่ใช่เรื่องทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจในขณะนั้น เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้เหตุการณ์สำคัญๆ ในช่วงเวลานั้น <br /> 7. กิจกรรมการประชุมวิชาการ ทั้งที่จัดขึ้นโดยโรงพยาบาลนครพนม หรือจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก <br /> 8. บทความหรือรายงานเหตุการณ์สำคัญ (Report) ที่กองบรรณาธิการเห็นว่าควรนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์แต่บุคคลโดยรวม</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ (Scheduling) </strong>ปีละ 3 ฉบับ</p> <ul> <li class="show">ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</li> <li class="show">ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</li> <li class="show">ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ<br /></strong> 3,000 บาท<strong><br /></strong></p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/276893
บทบรรณาธิการ
2025-01-29T09:28:40+07:00
นทวรรณ หุ่นพยนต์
jouranlnkp@gmail.com
2025-02-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/277084
การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรปราการ
2025-02-07T12:36:47+07:00
จำรัส วงศ์ประเสริฐ
janniezilliez@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ และ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรปราการ</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong>: การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed method) ประกอบด้วย <br />การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ ในลักษณะการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ซึ่งประกอบด้วย ระยะที่1 การวางแผน (Planning) ระยะที่2 ระยะปฏิบัติการ (Action) ระยะที่3 การสังเกตุ (Observing) และระยะที่4 สะท้อนกลับ (Reflecting) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้อำนวยการ/หัวหน้ากองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้รับผิดชอบงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จำนวน 49 แห่ง แห่งละ 1 คน จำนวน 49 คน เครื่องมือที่ใช้เชิงปริมาณ ได้แก่ แบบสำรวจการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดสมุทรปราการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ (การวิจัยเชิงปฏิบัติการ) ได้แก่ แบบสนทนากลุ่ม (Focus Group) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In – depth Interview)และแบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม(Non - Participant observation)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: พบว่า1) สถานการณ์การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 2.24 ผลการดำเนินงานสูงสุดลำดับแรก ได้แก่ การดำเนินงานด้านการวางแผนการดำเนินงาน กลยุทธ์การดำเนินงาน และทรัพยากร รองลงมาได้แก่ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ด้านโครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการ ด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในพื้นที่รับผิดชอบและด้านการกำกับติดตามประเมินผลการดำเนินงานและมาตรฐานการปฏิบัติงานปัญหาอุปสรรคที่สำคัญ คือ เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน และมีการโยกย้ายและเปลี่ยนแปลงสถานที่ทำงานบ่อยไม่มีสถานการณ์โรคไม่ติดต่อในพื้นที่รับผิดชอบ และความร่วมมือของประชาชนในการคัดกรองเบาหวานและความดันโลหิตสูงน้อย 2) การพัฒนาแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความชัดเจนและเหมาะสมกับบริบทของจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งพื้นที่เขตเมืององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีรายได้สูงอยู่ในลำดับต้นๆของประเทศ นับได้ว่า มีศักยภาพในการบริหารจัดการงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติอต่อในพื้นที่ ด้านโครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการ ต้องทบทวนโครงสร้างองค์กร จัดการอัตรากำลังให้พียงพอ และมีคำสั่งในการมอบหมายการปฏิบัติงานที่ชัดเจน และบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ด้านการวางแผน กลยุทธ์และทรัพยากร ในการดำเนินงาน จะต้องมีระบบฐานข้อมูลในการวางแผนการดำเนินงานและแก้ไขปัญสาธารณสุขในระดับพื้นที่ร่วมกับสถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ และกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในระดับพื้นที่ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ยกระดับการประสานงานทั้งภายในและภายนอกเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งหน่วยงานด้านสาธารณสุข ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) และภาคประชาชน ด้านการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ สนับสนุนและมีส่วนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอาสาสมัครสาธารณสุข ในพื้นที่จัดให้มีโครงการและกิจกรรมในการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานจัดตั้งสถานีสุขภาพ (Health Station) การจัดตั้งศูนย์คนไทยห่างไกล NCDs การดำเนินงาน NCDs Remission Clinic ในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และด้านการกำกับติดตามประเมินผลการดำเนินงานและมาตรฐานการปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการวางแผนและประเมินผล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) </p> <p> <strong>ข้อสรุป</strong>: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเมือง มีศักยภาพสูงโดยเฉพาะในด้านงบประมาณซึ่งมีรายได้สูงอยู่ในลำดับต้นๆ ของประเทศ การเข้าร่วมกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับพื้นที่มากกว่าร้อยละ 90 รวมทั้งมีศูนย์บริการสาธารณสุขที่สามารถเป็นต้นแบบได้หลายแห่ง การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ (NCDs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุนำของโรคไม่ติดต่อในอีกหลายโรค หากมีการจัดโครงสร้าง อัตรากำลังเพียงพอเหมาะสม มอบหมายงานที่่ชัดเจน มีระบบฐานข้อมูลสถานการณ์โรคและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในพื้นที่มีระบบการกำกับติดตามที่เป็นระบบชัดเจน ต่อเนื่อง การขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด</p>
2025-03-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/277092
การพัฒนาระบบคุณภาพงานอาหารปลอดภัย จังหวัดนครพนม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
2025-02-07T17:54:46+07:00
ณรงค์ชัย จันทร์พร
prince_thung@yahoo.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานพัฒนาระบบคุณภาพอาหารปลอดภัยของจังหวัดนครพนม ตามแนวทางว่าด้วยระบบคุณภาพอาหารปลอดภัยจังหวัด ซึ่งสำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย (สสอป.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับแก้ไขกับความเป็นจริง สามารถปฏิบัติได้โดยไม่ขัดกับหลักสากล โดยแนวทางการประเมินพัฒนาระบบคุณภาพงานอาหารปลอดภัยจังหวัดนครพนม (ฉบับปรับปรุง ปี 2559) มีทั้งหมด 4 หัวข้อ ได้แก่ หัวข้อที่ 1 นโยบายและการบริหารจัดการ หัวข้อที่ 2 การปฏิบัติการ หัวข้อที่ 3 การทบทวนและประเมินผล และ หัวข้อที่ 4 เอกสารบันทึกและรายงาน รวมทั้งการเก็บรักษา โดยคะแนนการประเมิน 4 หัวข้อ เท่ากับ 100 คะแนน (ร้อยละ 100) และแต่ละหัวข้อต้องผ่านอย่างน้อยร้อยละ 60 และทุกหัวข้อรวมกันต้องผ่านร้อยละ 60 เช่นกัน แต่กรณีเป็นจังหวัดต้นแบบระบบคุณภาพอาหารปลอดภัย ระดับอ้างอิงสากล จะต้องได้คะแนนร้อยละ 80 ทุกหัวข้อ และรวมกันต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ 91 ขึ้นไป โดยเก็บข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารการดำเนินงาน รายงานการประเมินผลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม โดยใช้แบบคัดลอกข้อมูลที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองผลการวิจัย พบว่า การดำเนินงานได้มีการประชุมคณะกรรมการและคณะทำงานอาหารปลอดภัย จังหวัดนครพนม ประเมินและแก้ไขจุดบกพร่องที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์และจัดทำแผนบูรณาการอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร จังหวัดนครพนม เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมอนุมัติ และส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินงานและรายงานผลตามแผนงาน ซึ่งผลการประเมินจากคณะกรรมการของสำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 9-10 มีนาคม 2565 พบว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมได้คะแนนผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 หัวข้อ และคะแนนรวม ร้อยละ 92.63 อยู่ในเกณฑ์ระดับอ้างอิงสากล และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รับรองจังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดต้นแบบระบบคุณภาพงานอาหารปลอดภัย จังหวัดที่ 16 ปีงบประมาณ พ.ศ.2565</p> <p> </p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/277136
การศึกษาการคำนวณดัชนีราคายา ผู้ให้บริการสุขภาพสำหรับโรงพยาบาลนครพนม
2025-02-10T09:20:17+07:00
วิขิต เหล่าวัฒนาถาวร
vichit7488@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อคำนวณดัชนีราคายาในมุมมอง ผู้ให้บริการสุขภาพสำหรับโรงพยาบาลนครพนม สำหรับนำไปใช้ในการวางแผน การตั้งงบประมาณ และกำหนดนโยบาย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> : นำรายการยาในโรงพยาบาลนครพนมมาทบทวนเพื่อจัดหมวดหมู่กลุ่มยาการรักษาตามรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และคำนวณสัดส่วนต้นทุนในการซื้อยาของแต่ละรายการยาต่อต้นทุนในการซื้อยารวมทั้งปีงบประมาณ 2562 (ปีฐาน) เพื่อจัดทำตะกร้ายา จากนั้นวิเคราะห์ดัชนีราคายา ระหว่างปีงบประมาณ 2562 ถึง 2567 ด้วยสูตรของ ลาสแปร์ (Laspeyeres Formula)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> : รายการยาในบัญชียาโรงพยาบาล มี 718 รายการ เมื่อนำมาจัดหมวดหมู่กลุ่มยาการรักษา พบ รายการยาที่มีน้ำหนักขั้นต้นตั้งแต่ร้อยละ 0.2 ขึ้นไป จำนวน 125 รายการ ตะกร้ายาในปีงบประมาณ 2562 (ปีฐาน) พบ 17 กลุ่มยา เป็นยาเม็ด 50 รายการ ยาฉีด 55 รายการ และอื่นๆ ภาพรวมดัชนีราคายาในมุมมอง ผู้ให้บริการสุขภาพสำหรับโรงพยาบาลนครพนม มีแนวโน้มลดลง จาก 1.00 ในปีงบประมาณ 2562 ลดลงเป็น 0.95 ในปีงบประมาณ 2564 และ 0.88 ในปีงบประมาณ 2567</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong> : โดยภาพรวมดัชนีราคายามีค่าลดลง การใช้ต้นทุนการจัดซื้อยาจากโปรแกรมบริหารงานคลังเวชภัณฑ์ ที่มีข้อมูลรายการยาและต้นทุนการจัดซื้อ ครอบคลุมทั้งงานบริการผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ทำให้การจัดทำน้ำหนักรายการยาในตะกร้ายามีความถูกต้อง </p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/275491
ประสิทธิผลของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงตามรูปแบบการดูแลที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกับศูนย์แพทย์ชุมชน
2024-11-25T20:51:54+07:00
รัดเกล้า ฤกษ์รุจิพิมล
boobooblabla@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>:</strong> โรคความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบร้ายแรง พบว่าผู้ป่วย 1 ใน 3 ของประชากรโลกที่มีภาวะความดันโลหิตสูง นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวายและปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ <sup>1,2</sup> การดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในเขตอำเภอเมืองขอนแก่น แบ่งเป็นผู้รับบริการที่ศูนย์แพทย์ชุมชนที่ตรวจรักษาโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว กับที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ตรวจรักษาโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับพยาบาลวิชาชีพ ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบถึงประสิทธิผลของการรักษาโรคความดันโลหิตสูงทั้งสองรูปแบบบริการนี้ ผู้วิจัยจึงสนใจทำการศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบการบริการต่อไป</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลการควบคุมระดับ Systolic Blood Pressure (SBP) ใน 12 เดือน ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ตรวจรักษาตามรูปแบบของ รพสต. กับศูนย์แพทย์ชุมชน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็น retrospective cohort study เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยในจากฐานข้อมูลในโปรแกรม JHCIS ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 มกราคม 2567 โดยเป็นกลุ่มที่ตรวจรักษาที่ รพ.สต. จำนวน 143 ราย และกลุ่มที่ตรวจรักษาที่ศูนย์แพทย์ชุมชนจำนวน 143 ราย ประมวลผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเป็นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และสถิติเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างทางสถิติด้วย Fisher’s exact test Mantel-Haenszel Chi-square test และ Mann-Whitney U test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>การเปลี่ยนแปลงค่าเฉลี่ย SBP DBP BMI และเส้นรอบเอว ของทั้งสองกลุ่มศึกษาไม่แตกต่างกัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงค่า eGFR ของทั้งสองกลุ่มศึกษาแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไปสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ Serum creatinine LDL Fasting plasma glucose และ Urine albumin ทำได้ครบถ้วน การตรวจ Serum potassium ในผู้ป่วยที่รับยากลุ่ม ACEIs ARBs และ HCTZ การตรวจ Serum uric acid ในผู้ป่วยที่รับยากลุ่ม HCTZ และค่ามัธยฐานของระยะการตรวจทางห้องปฏิบัติการประจำปี ของทั้งสองกลุ่มศึกษาแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ย SBP ในรอบ 12 เดือนของทั้งสองกลุ่มศึกษาไม่แตกต่างกัน ในส่วนของความครบถ้วนของการตรวจทางห้องปฏิบัติการประจำปี พบว่าตรวจทั่วไปสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงครบถ้วน แต่ในการตรวจ Serum potassium uric acid และระยะเวลาในการตรวจประจำปี แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นยังคงสามารถให้บริการรูปแบบเดิมได้ แต่ควรที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงการบริการให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น</p>
2025-02-05T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/277504
การศึกษาเปรียบเทียบผลการตรวจวิเคราะห์ระดับ HbA1c โดยใช้เลือดจากหลอด EDTA Blood และ Li-Heparin Blood ด้วยหลักการ Turbidimetric Inhibition Immunoassay
2025-02-25T12:26:47+07:00
จินตนา เดชาพิทักษ์
fahplien@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบผลการตรวจวิเคราะห์ระดับ HbA1c จากตัวอย่างเลือด EDTA blood และ Li-Heparin Blood ในผู้เข้ารับบริการโรงพยาบาลสกลนคร ด้วยหลักการ Turbidimetric Inhibition Immunoassay</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลอง เพื่อเปรียบเทียบระดับ HbA1c ที่ตรวจวัดด้วยหลักการ Turbidimetric Inhibition Immunoassay โดยใช้เครื่อง Cobas 6000 ที่ใช้ตัวอย่างเลือด EDTA Blood และ Li-Heparin Blood โดยใช้ตัวอย่างเลือดที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์ในงานประจำวันของผู้เข้ารับบริการในโรงพยาบาลสกลนคร ที่มีการสั่งตรวจระดับ HbA1c จากหลอดตัวอย่าง EDTA Blood และมีการสั่งเจาะหลอดเลือด Li-Heparin Blood ในวันและเวลาเดียวกัน จำนวน 370 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ทดสอบการกระจายตัวของข้อมูลโดยใช้สถิติ Kolmogorov Smirnov test (KS test) ถ้าค่า p ≥ 0.05 ถือว่าข้อมูลมีการกระจายตัวปกติ (normal distribution ) ทดสอบความสัมพันธ์ของระดับ HbA1c จากตัวอย่างเลือด EDTA Blood และ Li-Heparin Blood โดยใช้สถิติ Pearson correlation กรณีที่ข้อมูลมีการกระจายตัวปกติ และใช้สถิติ Spearman’s correlation กรณีข้อมูลมีการกระจายตัวแบบไม่ปกติ ทดสอบความแตกต่างของระดับ HbA1c จากตัวอย่างเลือด EDTA Blood และ Li-Heparin Blood โดยใช้สถิติ Pair T- test กรณีที่ข้อมูลมีการกระจายตัวปกติ และใช้สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test กรณีข้อมูลมีการกระจายตัวแบบไม่ปกติ คํานวณค่าทางสถิติใช้โปรแกรมสถิติสำเร็จรูป กําหนดค่านัยสําคัญ P < 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>พบว่าค่าเฉลี่ยทีได้จากการตรวจวิเคราะห์ระดับ HbA1c เท่ากับร้อยละ 7.25 และ 7.23 ตามลำดับ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับร้อยละ 2.38 และ 2.37 และเมื่อนำมาทดสอบหาความแตกต่างโดยใช้สถิติ t-test ที่ระดับนัยสำคัญเท่ากับ 0.05 พบว่าระดับ HbA1c ที่ได้จากตัวอย่างเลือด EDTA Blood และ Li-Heparin Blood ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p=0.237 ( p > 0.05 ) โดยค่าที่ได้จากหลอดเลือดทั้งสองชนิดมีความสัมพันธ์กันดี (r=0.9901)</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong> : สามารถใช้ตัวอย่างเลือดจาก Li-Heparin Blood แทน EDTA Blood ในการตรวจวัดระดับ HbA1c ด้วยหลักการ Turbidimetric Inhibition Immunoassay โดยต้องตรวจวิเคราะห์ภายในวันเดียวกัน</p>
2025-03-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/275959
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยต่อความรู้ การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลนครพนม
2024-12-16T10:36:55+07:00
อภิพร ต้นศรี
piporn123@yahoo.com
<p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยต่อความรู้ การรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วย ของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลนครพนม</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา </strong><strong>:</strong> การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบสองกลุ่ม เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มควบคุมได้แก่กลุ่มพยาบาลวิชาชีพที่ให้การพยาบาลดูแลตามมาตรฐานโรงพยาบาลนครพนมจำนวน 40 คน และกลุ่มทดลองได้แก่กลุ่มพยาบาลวิชาชีพที่ได้รับความรู้ตามโปรแกรมฯ จำนวน 40 ราย ดำเนินการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่โปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยโดยใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 3 ส่วนได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้ในด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วย และ แบบวัดการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา (Content Validity) จากผู้ทรงคุณวุฒิจ้านวน 3 ท่าน แล้วนำคะแนนที่ได้มาคำนวณหาค่าดันชีความสอดคล้องของเนื้อหาได้เท่ากับ 1.00 และทดสอบความเชื่อมั่น (Reliability) ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.83</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วย หลังเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับสูงมาก ( =14.08, SD=1.96) ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยคะแนนอยู่ในระดับต่ำ ( =10.13, SD=2.35) และพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ฯ ของกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และการรับรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วยกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม ระดับความปลอดภัยของของผู้ป่วยของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอยู่ในระดับดีมาก</p> <p><strong>ข้อสรุป </strong><strong>: </strong>โปรแกรมฯนี้ส่งเสริมสมรรถนะด้านความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพ</p>
2025-02-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/277537
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว : กรณีศึกษา 2 ราย
2025-02-26T10:20:53+07:00
ฐิติพรรณ ปิติสุขสิริกุล
chanitnun.s2516@gmail.com
<p>วัตถุประสงค์: เพื่ออธิบายการนำกระบวนการพยาบาลมาใช้ในกรณีศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว 2 ราย</p> <p>วัสดุและวิธีการศึกษา: เป็นกรณีศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว 2 ราย ที่เข้ารักษาในหอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลนครพนม ระหว่างเดือนมีนาคม 2567 ถึงเดือนกันยายน 2567 คัดเลือกกรณีศึกษาแบบเจาะจง (Purposive sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย สัมภาษณ์ผู้ป่วยและครอบครัว ปฏิบัติการพยาบาลตามแนวคิดกระบวนการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา: กรณีศึกษาทั้ง 2 รายเป็นเพศชาย อายุ 22 ปี และ 70 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Spinal stenosis L4-L5 และ Spinal stenosis L3-L5 ตามลำดับ ได้รับการผ่าตัด Laminectomy L4-L5 with Pedicle screw L4-L5 with repair dura และ ผ่าตัด Laminectomy with Pedicle screw with Posterolateral lumbar fusion L3-L5 ตามลำดับ กรณีศึกษารายที่ 1 เกิดการบาดเจ็บต่อเยื่อหุ้มไขสันหลังจากการผ่าตัด กรณีศึกษารายที่ 2 มีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงและความดันโลหิตสูงก่อนผ่าตัด เกิดภาวะ Hypovolemic shock จากการสูญเสียเลือดมากจากการผ่าตัด เกิดภาวะสับสนหลังผ่าตัด ให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บต่อเยื่อหุ้มไขสันหลัง จากการผ่าตัด แก้ไขภาวะ Hypovolemic shock การจัดการภาวะสับสนในผู้สูงอายุ และการจัดการความปวดอย่างเหมาะสมในกรณีศึกษาทั้ง 2 รายได้ รวมระยะเวลาที่รักษาในโรงพยาบาล 7 วัน และ 10 วัน ตามลำดับ</p> <p>ข้อสรุป: กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษารายกรณีครั้งนี้ เป็นการแก้ปัญหาสุขภาพของผู้รับบริการเป็นรายบุคคลแบบองค์รวมตามแนวทางวิทยาศาสตร์และเป็นการนำความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติบนพื้นฐานของการใช้เหตุผล การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการพยาบาล สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้รับบริการในคุณภาพของการบริการที่ได้รับ และเป็นการสร้างมาตรฐานคุณภาพทางการพยาบาล</p>
2025-02-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/275960
การพัฒนารูปแบบการบริหารความเสี่ยงหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม
2024-12-16T10:44:48+07:00
วาลินีย์ เลิศวิทยากำจร
piporn123@yahoo.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong>เพื่อพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงของหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนม และ ศึกษาผลของระบบบริหารความเสี่ยงของหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนม</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบหนึ่งกลุ่มวัดผลก่อนและหลัง (One group pretest-posttest design) คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง คือ พยาบาลวิชาชีพ ในหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนม จำนวน 26 หอผู้ป่วยหอผู้ป่วยละ 2 คน รวมทั้งสิ้น 52 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:1)</strong> ค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยงทางการพยาบาลหลังเข้าร่วมการพัฒนารูปแบบฯอยู่ในระดับสูงมาก ( =9.52,SD=1.14) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมการพัฒนารูปแบบฯ อยู่ในระดับปานกลาง ( =6.81,SD=2.03) และพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ก่อนและหลังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิต (p<.05) 2) ระดับความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อรูปแบบการพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงของหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนมระดับสูง ในด้านการบริหารความเสี่ยง ( =4.23,SD=0.21) มีระดับความพึงพอใจระดับสูง ด้านกระบวนการบริหารความเสี่ยง ( =4.31,SD=0.04) มีระดับความพึงพอใจระดับสูง ในด้านการค้นหาความเสี่ยง ( =4.31,SD=0.17) มีระดับความพึงพอใจระดับสูง ด้านการประเมินและ การวิเคราะห์ความเสี่ยง ( =4.33,SD=0.10) มีระดับความพึงพอใจระดับสูง ด้านการจัดการ และ การควบคุมความเสี่ยง ( =4.04,SD=0.08) มีระดับความพึงพอใจ ระดับสูง ด้านการประเมินผลระบบการจัดการและควบคุมความเสี่ยง ( =4.50,SD=0.00)</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการบริหารความเสี่ยงหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลนครพนมสามารถเปลี่ยนการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพได้ ดังนั้นผู้บริหารสามารถนำรูปแบบฯ ไปใช้เพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น</p>
2025-02-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม