ประสิทธิผลการใช้แนวทางปฏิบัติ (PICES model) เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย โรงพยาบาลนครพนม
คำสำคัญ:
คำสำคัญ: ความดันในกระเปาะลมท่อช่วยหายใจ, แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของหลอดลมผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย, การวัดและติดตามความดันลมในกระเปาะลมท่อช่วยหายใจ, การให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายบทคัดย่อ
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาประสิทธิผลการใช้แนวทางปฏิบัติ (PICES model) เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย แผนกวิสัญญี 2) เปรียบเทียบอุบัติการณ์การบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายก่อนและหลังใช้ PICES model 3) เพื่อศึกษาร้อยละความพึงพอใจของวิสัญญีพยาบาลต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล วัสดุและวิธีการศึกษา การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) รูปแบบ Historical controlled design ในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย โรงพยาบาลนครพนม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) ผู้ป่วยที่มารับบริการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายและได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึก แผนกวิสัญญี โรงพยาบาลนครพนม โดยแบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึก หลังใช้ PICES model ระหว่าง เดือนตุลาคม พ.ศ.2567 ถึง เมษายน พ.ศ. 2568 จำนวน 62 คน และกลุ่มควบคุม คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกซึ่งได้จากการศึกษาเวชระเบียนผู้ป่วยแบบย้อนหลังก่อนใช้ PICES model เดือนตุลาคม พ.ศ.2566 ถึง เดือนกันยายน พ.ศ.2567 จำนวน 62 คน และวิสัญญีพยาบาลที่ปฏิบัติงานที่กลุ่มงานการพยาบาลวิสัญญี โรงพยาบาลนครพนม 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาลตามขั้นตอนของ PICES model ในการป้องกันการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบตรวจสอบเวชระเบียน แบบบันทึกข้อมูลผลการศึกษา แบบบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก แบบเฝ้าระวังการบาดเจ็บหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายและแบบประเมินความพึงพอใจของวิสัญญีพยาบาล ตรวจสอบความตรง ความสอดคล้องตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน เท่ากับ 0.90, 0.95 ,0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ independent t-test,สถิติไคว์สแคว์ (Chi-square)และสถิติ fisher’s exact probability test และ multivariable logistic regression ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ(PICES model) มีอุบัติการณ์บาดเจ็บของหลอดลมหลังได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายเมื่อประเมินที่ห้องพักฟื้นน้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value <0.001 เมื่อเยี่ยมประเมินการบาดเจ็บของหลอดลมหลังได้รับยาระงับความรู้สึก 24 ชั่วโมง พบว่า หลังใช้แนวปฏิบัติ PICES model พบอุบัติการณ์น้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value <0.001 คะแนนเฉลี่ยอาการเจ็บคอในกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ พบว่าน้อยกว่ากลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value <0.001 เมื่อควบคุมความแตกต่างของตัวแปรเชิงซ้อนในการศึกษา พบว่าค่าเฉลี่ยความดันภายใน cuff ท่อช่วยหายใจในกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติฯ เพิ่มความเสี่ยงการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย 6.7 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value = 0.002 และจำนวนครั้งการใส่ท่อหายใจที่ >2 ครั้งขึ้นไป ของกลุ่มก่อนใช้แนวปฏิบัติฯ เพิ่มปัจจัยเสี่ยงการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย 11.33 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มหลังใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value = 0.006 ความพึงพอใจของวิสัญญีพยาบาลต่อการใช้แนวปฏิบัติ พบว่า มีความพึงพอในระดับสูง ( =3.87) ข้อสรุป ผลการใช้แนวปฏิบัติ(PICES model) เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจขณะได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย เช่น การประเมินความเสี่ยงการบาดเจ็บหลอดลมคอก่อนระงับความรู้สึก การเลือกและใช้อุปกรณ์ช่วยใส่ท่อช่วยหายใจ การใช้เทคนิคเติมลมกระเปาะท่อหายใจ loss of resistance syringe , การประเมินถอดท่อหายใจ ตาม extubation guideline ของวิสัญญี และการบันทึกแรงดัน cuff pressure อาการไม่พึงประสงค์หลังถอดท่อหายใจ จึงลดอุบัติการณ์บาดเจ็บของหลอดลมในผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกายได้
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง
Farzad Rahmani, Hassan Soleimanpour, Ali Zeynali, et al,.Comparison of
tracheal tube cuff pressure with two techniques: fixed volume
versus pilot balloon palpation. J Cardiovasc Thorac Res. 2017; 9(4):
-99.doi: 10.15162/jcvtr.2017.34 http://jcvtr.tbzmed.ac.ir.
Hu B, Bao R, Wang X. The Size of Endotracheal Tube and Sore Throat after Surgery:
A Systematic Review and Meta-Analysis. PloS one. 2013;8:74467
Kovacs G, Law JA. Airway management in emergencies. New York: The McGraw-
Hill Companies; 2008:18-31.
Liu Q ,Wang Y , Zhuang R , Bao L, Zhu L, Zhou Y. Implementation of Evidence
in Preventing Postoperative Sore Throat of Patients Undergoing
General Anesthesia Intubation Using the i-PARIHS Framework.
Computational Intelligence and Neuroscience. Volume 2022, Article
ID 3151423: 1-9. https://doi.org/10.1155/2022/3151423
McHardy FE, Chung F. Postoperative sore throat: cause, prevention and
treatment. Anaesthesia. 1999;54(5):444-453.
Redden RJ. Anatomic airway considerations in anesthesia. In, Hagberg CA, ed.
Handbook of difficult airway management. Philadelphia: Churchill
Livingstone; 2000:1-13.
Schwartz SR, Cohen SM, Dailey SH, et al. Clinical practice guideline: hoarseness
(dysphonia). Otolaryngol Head Neck Surg. 2009;141(3 suppl 2):S10.
วรภา สุวรรณจินดา, อังกาบ ปราการรัตน์. ตำราวิสัญญีวิทยา. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการ
พิมพ์.2556.
อังกาบ ปราการรัตน์, วรภา สุวรรณจินดา. ตำราวิสัญญีวิทยา. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์
กรุงเทพเวชสาร.2558.
ยอดยิ่ง ปัญจสวัสดิ์วงศ์ และ ธนู หินทอง. วิจัยการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทางวิสัญญีใน
ประเทศไทยและการค้นหาปัจจัยเกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันเชิงระบบ.
โครงการวิจัยร่วมสหสถาบัน สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์.2548.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพนม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
- บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ โรงพยาบาลนครพนม
- ข้อความหรือข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการ