The ผลของการรักษานิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลายโดยใช้พลังงานเลเซอร์ โรงพยาบาลนครพนม

ผู้แต่ง

  • ไพรัตน์ กิติศรีวรพันธุ์ โรงพยาบาลนครพนม
  • อนันตพร นิธิเดชวิศิษฏ์ โรงพยาบาลนครพนม

คำสำคัญ:

คำสำคัญ: ผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานเลเซอร์, ผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานแรงลมอัดกระแทก, นิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลาย, การผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะ

บทคัดย่อ

บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงประสิทธิผล therapeutic research รูปแบบ historical controlled intervention design ในผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะ(Uretero-renoscopelitholapaxy;URSL) แผนกผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลนครพนม มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการรักษาและภาวะแทรกซ้อนทางคลินิกของการรักษานิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลายโดยใช้พลังงานเลเซอร์ วัสดุและวิธีการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นนิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลาย (middle and distal calculi )ที่ต้องผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานเลเซอร์ (Laser lithotripter; LL) แผนกผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลนครพนม ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2567 ถึง มีนาคม พ.ศ.2568 จำนวน 60 คน และกลุ่มควบคุมเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นนิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลาย (middle and distal calculi ) ที่ต้องผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานแรงลมอัดกระแทก (Pneumatic lithotripter; PL) จากเวชระเบียนผู้ป่วยแบบย้อนหลัง ปี 2563 จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ วิธีผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานแรงลมอัดกระแทก (Pneumatic lithotripter; PL) และการสลายนิ่วพลังงานเลเซอร์ (Laser lithotripter; LL) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบตรวจสอบเวชระเบียน  และ แบบบันทึกข้อมูลผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ independent t-test,สถิติไคว์สแคว์ (Chi-square)และสถิติ fisher’s exact probability test, univariable และ multivariable risk regression ผลการศึกษา พบว่า การสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์ทำให้จำนวนผู้ป่วยปลอดนิ่วหลังการรักษาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.33 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P-value 0.023  และเมื่อควบคุมความแตกต่างของตัวแปรเชิงซ้อน พบว่า กลุ่มสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์ใช้ระยะเวลาการทำให้นิ่วแตกหมดเร็วกว่า 1.04 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มสลายนิ่วด้วยพลังงานแรงลมอัดกระแทก P-value 0.012 และระยะเวลาที่ปลอดนิ่วหลังการรักษาของกลุ่มสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P-value <0.001 และภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษานิ่วในท่อไตหลังควบคุมความแตกต่างของตัวแปรเชิงซ้อน พบว่า กลุ่มสลายนิ่วด้วยพลังงานแรงลมอัดกระแทกเพิ่มโอกาสนิ่วย้ายตำแหน่งสูงขึ้น ร้อยละ 60  เทียบกับกลุ่มสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P-value 0.026 และการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด 2.01 เท่า เมื่อเทียบกับการสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ P-value <0.001 ข้อสรุป ในการผ่าตัดรักษานิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลายโดยวิธีส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะควรใช้พลังงานในการสลายนิ่วด้วยพลังงานเลเซอร์ซึ่งมีประสิทธิภาพในการสลายนิ่วสูง โดยเพิ่มอัตราปลอดนิ่วภายหลังการรักษานิ่วในท่อไตได้ พร้อมทั้งลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการรักษาดีกว่าการสลายนิ่วพลังงานแรงลมอัดกระแทก

คำสำคัญ: ผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานเลเซอร์, ผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะร่วมกับการใช้ตัวกำเนิดการสลายนิ่วพลังงานแรงลมอัดกระแทก, นิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลาย, การผ่าตัดเอานิ่วออกจากท่อไตโดยวิธีส่องกล้องทางท่อปัสสาวะ

เอกสารอ้างอิง

Bamroongya, M. Efficacy Comparison between Laser Lithotripsy (LL) and Pneumatic Lithotripsy

(PNL) for Distal Ureteric Calculi.Journal of Health Science.September - October

;22(5):758-64.

Koju R, et al. Comparative Study Between Pneumatic and Laser Lithotripsy for Proximal Ureteric

Calculus. J. Lumbini. Med. Coll.Jan-June 2020;8(1)

https://doi.org/10.22502/jlmc.v8i1.303.

Iqbal, N., et al.Comparison of ureteroscopic pneumatic lithotripsy and extracorporeal shock

wave lithotripsy for the management of proximal ureteral stones: A single center

experience.Turk J Urol 2018; 44(3): 221-7. DOI:10.5152/tud.2018.41848.

Nour, H.H., et al. Pneumatic vs laser lithotripsy for mid-ureteric stones: Clinical and cost

effectiveness results of a prospective trial in a developing country. Arab Journal of

urology.2020;18(3):181–86.https://doi.org/10.1080/2090598X.2020.1749800. ISSN:

(Print) (Online) Journal homepage: www.tandfonline.com/journals/taju20.

Wicaksono, DM., M. Soebadi, D., Djatisoesanto, W., Rizaldi, F. Comparison of efficacy between

laser and pneumatic lithotripsy for ureteral stone management : A

Systematic review and meta-analysis. Indonesian Journal of Urology.July

;28(2):187–93.

Seong SJ, Ji-Hwan H, Kyu SL. A comparison of holmium : Yag laser with lithoclast lithotripsy in

Ureteral calculi fragmentation. Int J Urol 2005;12:544.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-09-29

รูปแบบการอ้างอิง

1.
กิติศรีวรพันธุ์ ไ, นิธิเดชวิศิษฏ์ อ. The ผลของการรักษานิ่วในท่อไตส่วนกลางและส่วนปลายโดยใช้พลังงานเลเซอร์ โรงพยาบาลนครพนม. Nakhonphanom Hosp J [อินเทอร์เน็ต]. 29 กันยายน 2025 [อ้างถึง 6 ธันวาคม 2025];12(2):E 278649. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nkpjournal_9/article/view/278649

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ