วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah <p>วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ (J Nurs Sci Health) เป็นวารสารวิชาการด้านพยาบาลศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพของ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (peer review) อย่างน้อย 2 ท่านที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเนื้อหานั้น ๆ และด้านระเบียบวิธีวิจัย (ในกรณีที่ผู้เขียนต้องการนำบทความไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการตามเงื่อนไขเฉพาะราย หากต้องการผู้ทรงคุณวุฒิอ่านบทความจำนวน 3 ท่าน ตามเงื่อนไข สามารถแจ้งรายละเอียดได้ร่วมกับการส่งบทความเพื่อรับการพิจารณาการตีพิมพ์) โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อของแต่ละฝ่าย </p> <p><strong>ISSN 2822-1133 (Online)</strong></p> <p><strong><em>กำหนดการออก ราย 3 เดือน (ปีละ 4 ฉบับ)</em></strong></p> <ul> <li class="show">ฉบับ 1 มกราคม-มีนาคม</li> <li class="show">ฉบับ 2 เมษายน-มิถุนายน</li> <li class="show">ฉบับ 3 กรกฎาคม-กันยายน</li> <li class="show">ฉบับ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</li> </ul> th-TH <p> วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ผลงานที่ตีพิมพ์ห้ามผู้ใดนำบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพไปเผยแพร่ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ การนำบทความไปเผยแพร่ออนไลน์ การถ่ายเอกสารบทความเพื่อกิจกรรมที่ไม่ใช่การเรียนการสอน การส่งบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ที่อื่น ยกเว้นเสียแต่ได้รับอนุญาตจากวารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ</p> journal.nu@gmail.com (Prof. Dr. Darunee Jongudomkarn) journal.nu@gmail.com (Miss Chananchida Apichokhiran) Mon, 29 Sep 2025 16:39:42 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282817 admin admin ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282817 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 สารบัญ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282818 admin admin ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282818 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ญี่ปุ่นกับการดูแลผู้สูงอายุและการจัดการภัยพิบัติ: การบูรณาการวัฒนธรรม เทคโนโลยี และระบบบริการสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282828 <p>บทความรับเชิญนี้ มุ่งนำเสนอประสบการณ์ภาพรวมของแนวคิดและระบบการดูแลผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความโดดเด่นด้านการบูรณาการระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิม เทคโนโลยีสมัยใหม่ และระบบบริการสุขภาพ ที่มีคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับแนวทางการเตรียมพร้อมและจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้บริบทของ สังคมสูงวัย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านโครงการ Sakura science exchange program ณ เมืองชิสุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกรณีศึกษาของการจัดการแบบบูรณาการที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน สะท้อนถึงรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุและการจัดการภัยพิบัติที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุและ การบริหารจัดการภัยพิบัติในบริบทของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยและเผชิญภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ</p> สมรภพ บรรหารักษ์, อรุณณี ใจเที่ยง, สุภาวดี เที่ยงธรรม, สุพันธ์ อุ่นใจ, ประกายแก้ว ศิริพูล, ณิชกุล ขันบุตรศรี, ชนาพร ปิ่นสุวรรณ, รัตนาภรณ์ อัศวเมฆิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/282828 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายความเครียดหลังคลอดในโรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278576 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบทำนาย เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความเครียดของมารดาหลังคลอดใน 48-72 ชั่วโมงหลังคลอด กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาหลังคลอดในโรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 306 คน ดำเนินการวิจัยตั้งแต่ 30 กรกฎาคมถึง 30 ตุลาคม 2566 เครื่องมือวิจัยที่ใช้เป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1 และแบบประเมินความเครียด ST5 ได้ค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.8 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา สถิติไคสแควร์และการวิเคราะห์ ถดถอยโลจีสติกแบบ 2 กลุ่ม<br />ผลการวิจัย พบความเครียดของมารดาหลังคลอด ระดับปานกลางถึงระดับมาก ร้อยละ 15.7 แยกเป็นระดับปานกลาง ร้อยละ 13.7 ระดับมาก ร้อยละ 2.0 ปัจจัยทำนายความเครียดหลังคลอด ได้แก่ มีประวัติเคยถูกทำร้ายทางจิตใจ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;OR_{adj}" alt="equation" />=18.4, p=0.002) มีภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;OR_{adj}" alt="equation" />=17.4, p&lt;0.001) ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;OR_{adj}" alt="equation" />=5.4, p&lt;0.001) ระยะเวลาที่ตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ น้อยกว่า 6 เดือน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;OR_{adj}" alt="equation" />=4.3, p=0.002) และมีความวิตกกังวลระหว่างตั้งครรภ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?&amp;space;OR_{adj}" alt="equation" />=3.1, p=0.011) โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนของความเครียดหลังคลอด ได้ร้อยละ 42 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?R^{2}" alt="equation" />=0.42, p&lt;0.001)<br />สรุป ควรคัดกรองและประเมินความเครียดมารดาหลังคลอดทุกรายก่อนการจำหน่าย เพื่อให้มารดาได้รับการดูแล ช่วยเหลือที่รวดเร็ว ป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดความเครียดหลังคลอดที่รุนแรง</p> สร้อย อนุสรณ์ธีรกุล, พงษ์ศักดิ์ จันทร์งาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278576 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ต่อความรู้ ทัศนคติ ทักษะการปฏิบัติ และความพึงพอใจของทหาร ณ กรมทหารราบแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277477 <p>การฝึกภาคสนามของทหารมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายต่อชีวิต การฝึกปฐมพยาบาลเบื้องต้นและช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานจึงจำเป็น เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นในสถานการณ์ฉุกเฉิน<br />บทความนี้นำเสนอผลของการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานต่อความรู้ ทัศนคติ ทักษะ การปฏิบัติ และความพึงพอใจ โดยประยุกต์ใช้ theory and practice เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นทหารกรมทหารราบแห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จำนวน 121 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยมี 2 ส่วน ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย หุ่นปฏิบัติช่วยฟื้นคืนชีพ และเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ และ 2) เครื่องมือที่ใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ แบบประเมินทัศนคติ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ การทดสอบทีแบบจับคู่ (paired t-test)<br />ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ โดยรวม (p&lt;.001) และค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติ (p&lt;.001) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับก่อนเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกอบรม ด้านทักษะการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานถูกต้องมากกว่า ร้อยละ 80 (ร้อยละ 94.85-100) และมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการฝึกอบรมในภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด (M=4.86, SD=.34) ตามลำดับ<br />ผลการวิจัยสรุปได้ว่า โปรแกรมการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน สามารถเพิ่มความรู้ ทัศนคติ ทักษะการปฏิบัติ และสร้างความพึงพอใจให้แก่ทหาร ณ กรมทหารราบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในอนาคตจึงควรมีการศึกษาในกลุ่มประชากรอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เห็นผลการศึกษาที่ชัดเจน และเป็น การพัฒนาความรู้และทักษะการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม</p> สุขุมาล หอมวิเศษวงศา, ชนิกา วรสิษฐ, อรวี ช่างเรือง , ดลวิวัฒน์ แสนโสม , มะลิวรรณ ศิลารัตน์, วาสนา รวยสูงเนิน, บุษบา สมใจวงษ์, ณิชาภัตร พุฒิคามิน, ปาริชาติ วงศ์ก้อม, วิภาวดี โพธิโสภา, จีรวรรณ เอกอุ, สุพันธ์ อุ่นใจ, พิเชษฐ เรืองสุขสุด , ชัจคเณค์ แพรขาว, นงลักษณ์ เมธากาญจนศักดิ์, ก้องหล้า แสนพันธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277477 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการจัดการความปวดโดยไม่ใช้ยา สำหรับผู้สูงอายุโรคมะเร็งในหอผู้ป่วยอายุกรรม โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277006 <p>การวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการความปวด โดยไม่ใช้ยาสำหรับผู้สูงอายุโรคมะเร็ง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ ว่าเป็นโรคมะเร็งเข้ารับการรักษาภายในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิง 4ค โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จำนวน 38 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 19 คน และกลุ่มทดลอง 19 คน กลุ่มทดลองได้รับการดูแลตามโปรแกรมการจัดการความปวดฯ ที่พัฒนาขึ้น และกลุ่มควบคุมได้รับการดูแล ตามมาตรฐานของหน่วยงาน<br />เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) เครื่องมือคัดกรองกลุ่มตัวอย่างเข้าศึกษา ได้แก่ แบบประเมินภาวะซึมเศร้า แบบทดสอบสมรรถภาพสมองไทย และแบบนวัตกรรมประเมินความปวดสำหรับผู้สูงอายุที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 2) เครื่องมือดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมการจัดการความปวดโดยไม่ใช้ยา สำหรับผู้สูงอายุที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และ 3) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความปวด brief pain inventory ฉบับภาษาไทย (BPI-T) แบบนวัตกรรมประเมินความปวดสำหรับผู้สูงอายุ และแบบบันทึกโปรแกรมการจัดการความปวด โดยไม่ใช้ยาสำหรับผู้สูงอายุ ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (content validity index: CVI) ของแบบนวัตกรรมประเมินความปวดสำหรับผู้สูงอายุ โปรแกรมในการจัดการความปวดโดยไม่ใช้ยาสำหรับผู้สูงอายุ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบบันทึกโปรแกรมการจัดการความปวดโดยไม่ใช้ยาได้ เท่ากับ 0.83, 0.83, 1.0 และ 1.0 ตามลำดับ ตรวจสอบความเชื่อมั่นแบบประเมิน BPI-T ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างกลุ่ม ด้วยสถิติ chi square test, fisher’s exact test และ independent t test ทดสอบการกระจายของข้อมูล โดยใช้สถิติ shapiro wilk test พบว่า ข้อมูลตัวแปรตามมีการกระจายข้อมูลแบบโค้งปกติ จึงเปรียบเทียบค่าคะแนนความปวดก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่ม ด้วยสถิติ paired t-test เปรียบเทียบคะแนน ความปวดก่อนการทดลอง คะแนนความปวดหลังการทดลอง รวมทั้งค่าเฉลี่ยผลต่างคะแนนความปวดก่อนและหลังการทดลอง ระหว่างกลุ่ม ด้วยสถิติ independent t-test<br />ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลองค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดในกลุ่มทดลอง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=1.56<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />1.30) น้อยกว่าก่อน การทดลอง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.44<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />1.63) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.001) ค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดในกลุ่มควบคุม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=1.96<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />1.63) น้อยกว่าก่อนการทดลอง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.37<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />1.97) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.001) ผลต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความปวด ในกลุ่มทดลอง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=2.88<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />.80) มากกว่ากลุ่มควบคุม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=2.40<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />.61) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.024) ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรม การจัดการความปวดฯ ที่พัฒนาขึ้นสามารถลดความปวดได้มากกว่าการดูแลตามมาตรฐานเดิม จึงควรนำโปรแกรมการจัดการความปวดฯ ไปประยุกต์ใช้ในผู้สูงอายุโรคมะเร็ง และผู้ป่วยกลุ่มอื่นที่มีบริบทใกล้เคียงกัน</p> ศิริพร ในพิมาย, ลดาวัลย์ พันธุ์พาณิชย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277006 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพต่อความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ จังหวัดพิษณุโลก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278132 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนหลังการทดลอง (two group pre-posttest design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพต่อความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 70 คน ในอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ที่คัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด คือ มีอายุระหว่าง 60-69 ปี และคะแนน ADL มากกว่า 11 คะแนน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพตามแนวคิดของเพนเดอร์ ประกอบด้วย 1) การสร้างเสริมสุขภาพตามภูมิปัญญาและประสบการณ์ 2) การเรียนรู้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพผ่านชุดการเรียนรู้ 3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อลดอุปสรรคในการปฏิบัติ 4) การติดตามการปฏิบัติพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามเจตคติ และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความแตกต่างข้อมูลทั่วไปของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติไคว์สแควร์ และวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยด้วยสถิติ independent และ dependent t-test<br />ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพตาม แนวคิดของเพนเดอร์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้ เจคติ และพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-12.79, p&lt;.001) และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=14.43, p&lt;.001) แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพตามแนวคิดของเพนเดอร์สามารถช่วยเพิ่มความรู้ เจตคติ และส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุได้ จึงควรมีการนำโปรแกรมฯ ไปใช้เป็นแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุต่อไป อย่างไรก็ตามควรมีการติดตามผลลัพธ์ด้านสุขภาพในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง</p> ปภาดา ชมภูนิตย์, ฐิติพร แสงพลอย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278132 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการบำบัดและให้คำปรึกษาโดยใช้สติเป็นฐานต่อความเครียด ภาวะซึมเศร้าและระดับสติในผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพังในชุมชนเขตเทศบาลเมืองชุมเห็ด จังหวัดบุรีรัมย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278375 <p>ปัจจุบันผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพังในชุมชน มีแนวโน้มประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความเครียดและภาวะซึมเศร้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำรงชีวิตประจำวัน การส่งเสริมทักษะทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับปัญหาทางอารมณ์และจิตใจได้อย่าง มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการบำบัดและ ให้คำปรึกษา โดยใช้สติเป็นฐาน (mindfulness-based counseling program) ต่อระดับความเครียด ภาวะซึมเศร้าและระดับสติของผู้สูงอายุที่อยู่เพียงลำพังในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุที่อยู่ เพียงลำพังในชุมชน จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการบำบัดและให้คำปรึกษาโดยใช้สติเป็นฐาน ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการให้คำปรึกษาด้าน จิตสังคมทั่วไป เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเครียด แบบประเมินภาวะซึมเศร้าและ แบบประเมินระดับสติ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .86, .84 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ independent t-test<br />ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมการบำบัดและให้คำปรึกษาโดยใช้สติเป็นฐานกลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียด ค่าเฉลี่ยคะแนนภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) และมีค่าเฉลี่ยคะแนน ระดับสติสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) ดังนั้น ควรสนับสนุนให้ทีมสุขภาพนำโปรแกรมนี้ ไปประยุกต์ใช้ในงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ในผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการกับความคิดและอารมณ์ ลดความทุกข์ทรมาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระยะยาว</p> ณิชาภัทร มณีพันธ์, ศรินรัตน์ จันทพิมพ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278375 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้และทักษะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278419 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความรู้และทักษะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาลของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 44 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม กลุ่มละ 22 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล ซึ่งพัฒนาขึ้นจากทฤษฎีของแบนดูรา ประกอบด้วย 1) การเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและอารมณ์ 2) การใช้ตัวแบบหรือการสังเกตประสบการณ์ผู้อื่น 3) การสนับสนุนให้มีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง และ 4) การใช้คำพูดชักจูงและให้คำแนะนำ ระยะดำเนินกิจกรรม 4 สัปดาห์<br />เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล และแบบสังเกตทักษะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล ตรวจสอบความเที่ยงของแบบวัดความรู้การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) ได้เท่ากับ .85 ตรวจสอบความเที่ยงของแบบสังเกตทักษะการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.89<br />วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบที ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรม ค่าเฉลี่ยความรู้ของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=9.57, p&lt;0.00) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=15.42, p&lt;0.00) ค่าเฉลี่ยทักษะของกลุ่มทดลองสูงกว่า ก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=28.94, p&lt;0.00) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=27.70, p&lt;0.00) ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฯ สามารถนำไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมสมรรถนะของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและประชาชนในการเป็นแหล่งประโยชน์ของผู้ป่วยฉุกเฉินนอกโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต ลดความพิการและการเสียชีวิต</p> จิรานุวัฒน์ ชาญสูงเนิน, กนกพรรณ พรหมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278419 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาโปรแกรมต้นแบบและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพ ต่อพฤติกรรมและผลลัพธ์สุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชนขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277754 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมต้นแบบและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนขุนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใต้กรอบแนวคิดความรอบรู้สุขภาพของนัทบีม ซึ่งประกอบด้วย 3 ระดับ ได้แก่ ความรอบรู้ขั้นพื้นฐาน ขั้นปฏิสัมพันธ์ และขั้นวิจารณญาณ ครอบคลุม 5 องค์ประกอบ คือ การเข้าถึงข้อมูล การรู้เท่าทันสื่อ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวิเคราะห์-ตัดสินใจ และการจัดการสุขภาพตนเอง โดยบูรณาการร่วมกับพฤติกรรมสุขภาพ 5 ด้านตามแนวทาง “3อ 2ส” ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ งดสูบบุหรี่ และงดเสพสุรา เพื่อมุ่งสู่ผลลัพธ์สุขภาพที่เป็นรูปธรรม คือ “ไม่ล้ม ไม่ลืม ไม่ซึมเศร้า กินข้าวอร่อย และนอนหลับสนิท”<br />กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชุมชนขุนทะเล จำนวน 100 คน คัดเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เก็บข้อมูลก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม โดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น ตามกรอบแนวคิด ได้รับการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค ตั้งแต่ .846 ถึง .917 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test และ wilcoxon signed-rank test<br />ผลการวิจัย พบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรม ผู้สูงอายุมีระดับความรอบรู้สุขภาพในทุกระดับและองค์ประกอบเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) พฤติกรรมสุขภาพในด้านอาหาร ออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน (p&lt;0.001) ส่วนการงดบุหรี่และสุราไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่เหมาะสมอยู่แล้ว นอกจากนี้ ผลลัพธ์สุขภาพ ทั้ง 5 ด้าน มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะด้านการนอนหลับ การป้องกันการหกล้ม และความจำ (p&lt;0.001)<br />สรุปได้ว่า โปรแกรมต้นแบบที่พัฒนาภายใต้แนวคิดความรอบรู้สุขภาพ และกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน มีประสิทธิผลในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้สูงอายุในการดูแลตนเองอย่างเป็นระบบ และสามารถขยายผลสู่ชุมชนอื่นได้</p> รชยา ยิกุสังข์, ดลรวี สิมคำ, วีณา ลิ้มสกุล, กมลชนก ทองเอียด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277754 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยโรคเรื้อรังหลายโรคร่วมกันที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ในเขตพื้นที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277554 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างเสริมความรอบรู้ ด้านสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยโรคเรื้อรังหลายโรคร่วมกัน ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ในเขตพื้นที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 34 คน จาก 4 องค์กรหลักในชุมชน ได้แก่ ภาคประชาชน จำนวน 12 คน ผู้นำชุมชน จำนวน 6 คน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 7 คน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 9 คน รวมทั้งหมด เลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง รวบรวมข้อมูลด้วยการใช้ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เปรียบเทียบความเหมือน ความต่างของข้อมูล แบ่งประเภทของปรากฏการณ์ จำแนก และจัดหมวดหมู่<br />ผลการวิจัย พบว่า ภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพในชุมชนมีบทบาทหน้าที่ให้การช่วยเหลือ ดูแลสุขภาพผู้ป่วย โรคเรื้อรัง ให้ความรู้ ตรวจคัดกรองโรค เยี่ยมบ้าน สนับสนุนงบประมาณ และอุปกรณ์ต่าง ๆ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้ป่วยว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ อยู่บ้านเพียงลำพัง ลูกหลานต้องทำงานไกลบ้าน ทำให้ขาดคนดูแล มีข้อจำกัดเรื่อง การประกอบอาชีพ การหารายได้ และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพด้วยการใช้เทคโนโลยี ผู้ร่วมวิจัยส่วนใหญ่รับรู้โรคหลอดเลือดหัวใจว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ความยากลำบากในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางอย่างไรก็ตามผู้ป่วย ส่วนมากให้ความร่วมมือในการดูแลสุขภาพ เชื่อฟังบุคลากรสุขภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้นำชุมชน ส่วนการพัฒนางานในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในพื้นที่ มีข้อเสนอแนะว่า ระดับบุคคลผู้ป่วยควรได้รับ การพัฒนาทักษะในการดูแลตนเอง ส่วนระดับชุมชนควรค้นหาแกนนำด้านสุขภาพในชุมชน เพื่อเป็นต้นแบบ ในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และมีข้อเสนอแนะว่าบุคลากรด้านสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย ควรร่วมกันเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพ สำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังด้วยการให้ความรู้ด้านสุขภาพเพิ่มเติมในกลุ่มที่ยังขาดความรู้ กลุ่มที่ข้อจำกัด เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ควรปรับกลยุทธ์การสื่อสารด้านสุขภาพให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับคำแนะนำด้านโภชนาการและ การไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้มีความรู้ในการป้องกันโรคที่ดีและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มทักษะแก่บุคลากรให้เพียงพอ เพิ่มการบริการเชิงรุก และมีการคืนข้อมูล สะท้อนข้อมูลให้แก่พื้นที่</p> อัฐญา ธงพรรษา, นิศาชล บุบผา, สุรดา โพธิ์ตาทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277554 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277223 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง ในผู้ป่วยโรคเบาหวานและมีโรคร่วม ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเลือดสูง รับบริการที่คลินิกโรคเรื้อรังที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คน กลุ่มตัวอย่างทุกคนใช้โทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชันไลน์ได้ มีสติสัมปชัญญะดี และสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มทดลอง คือ ผู้รับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซึม และกลุ่มควบคุม คือ ผู้รับบริการ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมะค่าระเว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง กลุ่มทดลองได้รับการส่งเสริมความรู้และการรับรู้ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ใช้เวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ซึ่งมีค่าความตรงตามเนื้อหา 0.80-1.00 2) แบบสอบถามเรื่องความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง หาค่าความเชื่อมั่น ด้วยวิธี คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20) ได้เท่ากับ 0.86 3) แบบสอบถามการรับรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองหาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.78 และ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมลดความเสี่ยงการเกิด โรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง หาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา (ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ) chi-square test, wilcoxon signed-rank test และ mann whitney u test ผลการศึกษา พบว่า หลังการทดลองผู้กลุ่มทดลองที่เข้าร่วมโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อ ด้านสุขภาพต่อการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง มีค่าคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งประกอบด้วย การรับรู้โอกาสเสี่ยงของการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์การป้องกันโรค การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค และการรับรู้ความสามารถของตนต่อการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุม มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น โปรแกรมการประยุกต์ แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ในกลุ่มเสี่ยง สามารถส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองมีความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง และการรับรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองดียิ่งขึ้น จึงส่งผลให้เกิดการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างเหมาะสม</p> ณัจฉรียา แช่มพุทรา, กิตติภูมิ ภิญโย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277223 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาต้นแบบแอปพลิเคชันการจัดการคิวสำหรับห้องตรวจผู้ป่วยนอก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277392 <p style="margin-bottom: 12.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;">การบริหารจัดการคิวในโรงพยาบาลเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการให้บริการและระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการคิวสามารถช่วยลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานของระบบบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยเชิงพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบแอปพลิเคชันคิว สำหรับห้องตรวจผู้ป่วยนอก ตลอดจนประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจของผู้ให้บริการและผู้รับบริการต่อการใช้งานต้นแบบแอปพลิเคชันดังกล่าว ดำเนินการระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม พ.ศ. 2567 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะก่อนพัฒนา 2) ระยะพัฒนา และ 3) ระยะประเมินผล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ห้องตรวจเวชศาสตร์ฟื้นฟู จำนวน 10 ราย โดยเลือกแบบเจาะจง และผู้รับบริการ จำนวน 392 ราย จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้ระบบคิวแบบเดิมของผู้ให้และผู้รับบริการ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบบันทึกผลการประชุม และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้ต้นแบบแอปพลิเคชันคิวของผู้ให้และผู้รับบริการ<br />เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และผลการตรวจสอบความเที่ยงของแบบสอบถามความพึงพอใจต่อระบบคิวแบบเดิมของผู้ให้บริการ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อระบบคิวแบบเดิมของผู้รับบริการ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้ต้นแบบแอปพลิเคชันระบบคิวของผู้ให้บริการ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้ต้นแบบแอปพลิเคชันระบบคิวของผู้รับบริการ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.83, 0.87, 0.88 และ 0.80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติพรรณนาหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัย พบว่า ต้นแบบแอปพลิเคชันคิว สำหรับห้องตรวจผู้ป่วยนอกเป็นระบบออนไลน์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้รับบริการในการลงทะเบียนรับคิวผ่านเว็บไซต์ พร้อม QR code สำหรับติดตามสถานะคิวแบบเรียลไทม์ และรับการแจ้งเตือนผ่าน LINE หรือ SMS ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการสามารถจัดการคิวผ่านแดชบอร์ด ที่ใช้งานง่าย มีระบบแสดงหมายเลข สี และเสียงเรียกอัตโนมัติ ผลการวิเคราะห์พบว่าระยะเวลารอคอยเฉลี่ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) เมื่อเปรียบเทียบกับระบบคิวแบบเดิม และความคิดเห็นของผู้ให้บริการต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการคิวเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) ระดับความพึงพอใจของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ อยู่ในระดับมาก (<br />=4.48<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />0.60 และ 4.46<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\pm&amp;space;" alt="equation" />0.70 ตามลำดับ)<br />ข้อเสนอแนะ ควรพัฒนาเพิ่มระบบจองคิวออนไลน์เพื่อให้ผู้รับบริการจองคิวได้ด้วยตนเองและตามเวลา ที่ต้องการ</p> สุดถนอม กมลเลิศ, รัศมี ภะวะพินิจ, ภาสกร เงางาม, บุษบา บุญกระโทก, เตือนใจ พิทยาวัฒนชัย, โฉมพิไล นันทรักษา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/277392 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการดำเนินงานคลินิกผู้สูงอายุในสถานบริการ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1-12 ในบริบทประเทศไทย: การวิจัยแบบผสานวิธีเชิงลำดับ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/275464 <p>การวิจัยแบบผสานวิธีเชิงลำดับนี้ เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินงานคลินิกผู้สูงอายุในสถานบริการทุกระดับ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1-12 ในบริบทประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ เป็นกลุ่มผู้รับผิดชอบคลินิกผู้สูงอายุ ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ กลุ่มตัวอย่างศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเป็นผู้บริหาร/ผู้กำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติงานในคลินิกผู้สูงอายุ และผู้รับบริการ พื้นที่ศึกษาคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนการผ่านเกณฑ์มาตรฐานคลินิกผู้สูงอายุ ที่ร้อยละ 50 และสัดส่วนของสถานบริการแต่ละระดับ รวม 450 แห่ง เป็นสถานบริการ 1) ระดับ โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ (A, S) จำนวน 45 แห่ง 2) ระดับ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก และโรงพยาบาลชุมชน (M1, M2) จำนวน 66 แห่ง; และ 3) ระดับ โรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง และโรงพยาบาลขนาดเล็ก (F1, F2, F3) จำนวน 339 แห่ง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้างและการสนทนากลุ่มด้วย แนวคำถามแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาตามประเด็นการวิจัย<br />ผลการวิจัยพบว่า สถานบริการสุขภาพให้ข้อมูลผ่านการตอบแบบสอบถาม จำนวน 397 แห่ง ได้แก่ สถานบริการสุขภาพระดับ โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ (A, S) จำนวน 55 แห่ง ระดับ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก และโรงพยาบาลชุมชน (M1, M2) จำนวน 63 แห่ง และระดับโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่ โรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง และโรงพยาบาลขนาดเล็ก (F1, F2, F3) จำนวน 279 แห่ง มีการดำเนินงานจัดตั้งคลินิกผู้สูงอายุ ร้อยละ 99.5 รูปแบบ การจัดบริการในคลินิกผู้สูงอายุอย่างเดียว มีร้อยละ 59 จัดบริการร่วมกับงานคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ร้อยละ 2.62 และจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุเคลื่อนที่ไปในชุมชน ร้อยละ 17.04<br />ผู้รับบริการสะท้อนว่า พึงพอใจต่อบริการโดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากทีมสหวิชาชีพและต้องการเข้ามารับบริการมากขึ้น ส่วนผู้ปฏิบัติงานมีทัศนคติที่ดีต่อผู้สูงอายุที่มารับบริการ โดยดูแลผู้สูงอายุเสมือนดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวของตนเอง และผู้เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้เห็นว่าควรขับเคลื่อนนโยบายอย่างต่อเนื่อง และควรเพิ่มมาตรฐานการจัดบริการ ให้มีคุณภาพ ถือเป็นงานสำคัญและขานรับนโยบายขับเคลื่อนบริการในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาสามารถ นำประเด็นไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานและจัดบริการคลินิกผู้สูงอายุ สามารถนำไปปรับใช้ดำเนินการได้ ในทุกระดับสถานบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นช่องทางให้บริการที่ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึงเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้สูงอายุไทย</p> บุษกร โลหารชุน, อรวรรณ์ คูหา , ขวัญฤดี มีผิว , พิบูลวงศ์ โพล้งวงศ์, ณัฐพล ใหม่เฟย , ธีราพร อุ่นบาง , ปนิตา มุ่งกลาง , พัณณ์ชิตา แก้วกุลเศรษฐ์ , นัดดา คำนิยม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/275464 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก และสงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ในหน่วยผู้ป่วยนอกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265249 <p>การวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของระยะเวลาเฉลี่ยในแต่ละขั้นตอน อันเป็นผลจากการพัฒนารูปแบบแนวปฏิบัติการพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกและสงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันขึ้นมาใช้ในผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอกและเข้ารับบริการในห้องฉุกเฉิน มุ่งเน้น ทุกขั้นตอนตั้งแต่ (1) การซักประวัติอาการเจ็บหน้าอกที่เฉพาะเจาะจง (2) การติดป้ายสัญลักษณ์ “alert chest pain” (3) การย้ายผู้ป่วยเข้าห้องกู้ชีพทันที (4) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและแพทย์ อ่านผล ภายใน 10 นาที (5) การเจาะเลือดส่งตรวจเอนไซม์หัวใจทันทีตามแผนการรักษาของแพทย์ (6) การส่งเลือดตรวจ ด้วยถุงซิปล็อคที่ติดข้อความสื่อสาร “alert chest pain” (7) การให้กิจกรรมการพยาบาลบำบัดเสริมในระหว่างผู้ป่วยรอผลตรวจเอนไซม์หัวใจ (8) การรายงานผลตรวจเอนไซม์หัวใจ (9) แพทย์ทำการวินิจฉัยสุดท้าย และ (10) การจำหน่ายผู้ป่วยออกจากห้องฉุกเฉิน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 50 คน แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 25 คน กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามแนวทางปฏิบัติทางการพยาบาล ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติก่อนใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจาก เวชระเบียน วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การทดสอบทีแบบอิสระเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม<br />ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองใช้ระยะเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงการตรวจและ อ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เฉลี่ย 16.60, 2.40 นาที ตามลำดับ ระยะเวลาเฉลี่ยที่ได้รับรายงานผลตรวจเอนไซม์หัวใจ 81.36, 56.52 นาที ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่า มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p&lt;.005) สามารถจำหน่ายผู้ป่วยกลุ่มทดลอง ภายในเวลา 3 ชั่วโมง ได้มากกว่ากลุ่มควบคุม ผู้ป่วย ที่ได้รับการดูแลตามแนวปฏิบัตินี้ สามารถเข้าถึงการตรวจและอ่านผลคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้เร็วขึ้นจากเดิม และได้รับผลตรวจเอนไซม์หัวใจเร็วขึ้น ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและตัดสินใจการรักษาได้ทันที ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และเพิ่มโอกาสรอดชีวิต นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจำหน่ายออกจากห้องฉุกเฉินได้เร็วขึ้น ลดเวลารอคอยและภาวะแออัดในห้องฉุกเฉิน<br />สรุปได้ว่า การนำแนวปฏิบัติการพยาบาลนี้ไปใช้จริง จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการโดยตรง ทำให้ การดูแลผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นระบบ รวดเร็ว ปลอดภัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล</p> สุนทราพร วันสุพงศ์, นิภา อุดรจรัส, พงษ์ลัดดา ปาระลี, ธนัญพร ชัยศรี, วาสนา รวยสูงเนิน, แพรว โคตรุฉิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265249 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเยี่ยมบ้าน เครื่องมือและเทคนิคการพยาบาลที่บ้านในอดีต: สู่การสร้างข้อเสนอสำหรับการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/279712 <p>การเยี่ยมบ้านมีความสำคัญและมีความต้องการมากขึ้น ในบริบทที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์และมีการเข้าถึงบริการเยี่ยมบ้านมากขึ้น จากนโยบายการให้ภาคเอกชนร่วมบริการเยี่ยมบ้าน ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดังนั้น การเยี่ยมบ้านที่มีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญและท้าทายในการพัฒนา บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการเยี่ยมบ้านด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลสุขภาพ<br />ขอบเขตเนื้อหา ประกอบด้วย 1) หลักการสำคัญสำหรับการเยี่ยมบ้านที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ ประสิทธิภาพ การพยาบาลทางไกล และสุขภาพองค์รวม 2) กิจกรรมการเยี่ยมบ้านที่มีโครงสร้าง เช่น การวางแผนและการเตรียมการ การปฏิบัติการพยาบาลระหว่างการเยี่ยมบ้าน การปฏิบัติหลังการเยี่ยม การสรุปการเยี่ยมบ้าน 3) ความสามารถที่จำเป็นของพยาบาลเยี่ยมบ้าน 4) บทบาทของพยาบาล ในการเยี่ยมบ้าน ได้แก่ การประเมิน การวางแผนการดูแลที่บ้านและการส่งต่อ การให้การพยาบาล การประเมินผลและส่งต่อ และ 5) แนวทางการบูรณาการการเยี่ยมบ้านกับเทคโนโลยีดิจิทัลสุขภาพ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาล</p> สุรีย์ ธรรมิกบวร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/279712 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700