https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/issue/feed วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ 2024-06-26T23:59:06+07:00 Prof. Dr. Darunee Jongudomkarn journal.nu@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ เป็นวารสารวิชาการด้านพยาบาลศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพของ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (peer review) อย่างน้อย 2 ท่านที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเนื้อหานั้น ๆ และด้านระเบียบวิธีวิจัย (ในกรณีที่ผู้เขียนต้องการนำบทความไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการตามเงื่อนไขเฉพาะราย หากต้องการผู้ทรงคุณวุฒิอ่านบทความจำนวน 3 ท่าน ตามเงื่อนไข สามารถแจ้งรายละเอียดได้ร่วมกับการส่งบทความเพื่อรับการพิจารณาการตีพิมพ์) โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อของแต่ละฝ่าย </p> <p><strong>ISSN 2822-1133 (Online)</strong></p> <p><strong><em>กำหนดการออก ราย 3 เดือน (ปีละ 4 ฉบับ)</em></strong></p> <ul> <li class="show">ฉบับ 1 มกราคม-มีนาคม</li> <li class="show">ฉบับ 2 เมษายน-มิถุนายน</li> <li class="show">ฉบับ 3 กรกฎาคม-กันยายน</li> <li class="show">ฉบับ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</li> </ul> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/272068 คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น: ความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติสำหรับพยาบาลผู้ให้บริการสุขภาพ 2024-06-24T21:17:23+07:00 ดารุณี จงอุดมการณ์ darjon@kku.ac.th <p>สภาการพยาบาลร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกันก่อกำเนิด “คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น” ให้เป็นหน่วยคู่สัญญาในการให้บริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ครอบคลุมการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สำหรับบุคคลครอบครัวในชุมชน มาตั้งแต่ พ.ศ. 2563 บทความนี้ จึงนำเสนอแนวคิด ความรู้ที่จำเป็น สำหรับการปฏิบัติภาระกิจคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่นให้สัมฤทธิผล นอกเหนือจากงานเวชปฏิบัติ คือ การดูแลบุคคลครอบครัวแบบองค์รวมที่ยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลางและให้ชุมชนมีส่วนร่วมตามคุณลักษณะการดูแลระดับปฐมภูมิที่ประกอบด้วย สร้างความเชื่อใจ ไว้ใจให้ดูแลด่านหน้า มาพบง่าย มุ่งหมายเบ็ดเสร็จ สำเร็จบูรณาการ ประสานต่อเนื่อง และคุยเรื่องปรึกษา-หารือส่งต่อ รวมถึงได้นำเสนอ กรณีตัวอย่าง การบูรณาการปฏิบัติการตามแนวคิดดังกล่าว เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจต่อไป</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/272131 บทบรรณาธิการ 2024-06-26T23:34:41+07:00 admin admin journal.nu@gmail.com 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/267351 ประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาลต่อการเข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมด้วยการฝึกสติ: การวิจัยประเมินผลโครงการ 2023-11-28T15:54:43+07:00 เนตรชนก แก้วจันทา knetch@kku.ac.th นิลุบล รุจิรประเสริฐ nilruj@kku.ac.th ขวัญสุดา บุญทศ kwaboo@kku.ac.th สมพร รุ่งเรืองกลกิจ somrun@kku.ac.th ชมพูนุท กาบคำบา chompoo@kku.ac.th <p>นักศึกษาพยาบาลเผชิญกับความเครียดระหว่างขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนคลินิก โดยเฉพาะการขึ้นฝึกปฏิบัติการพยาบาลจิตเวช เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยจิตเวช ทำให้นักศึกษาพยาบาลขาดความมั่นใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย วิตกกังวลกับการฝึกปฏิบัติงานและปริมาณงานที่ได้รับมอบหมาย การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผลโครงการเชิงบรรยาย (descriptive research) เพื่อศึกษาประสบการณ์ของนักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 3 ต่อการเข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมด้วยการฝึกสติ เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้ในตนเองและการจัดการความเครียด ก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติการพยาบาลจิตเวช เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประเมินโครงการเตรียมความพร้อมด้วยการฝึกสติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ตามแนวคิดของ Colaizzi ผลการศึกษาวิจัยพบประเด็นที่สำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่ 1) มีสมาธิและทักษะการตระหนักรู้ในตนเอง 2) เรียนรู้ทักษะการจัดการความเครียดที่หลากหลาย 3) นำความรู้ที่ได้ไปแนะนำผู้ป่วยให้ฝึกปฏิบัติ และ 4) ฟังอย่างมีสติช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จากผลการศึกษาครั้งนี้อาจารย์พยาบาลสามารถนำกิจกรรมจากโครงการเตรียมความพร้อมสำหรับนักศึกษาพยาบาลไปประยุกต์ใช้กับนักศึกษา เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีทักษะการตระหนักรู้ในตนเองและทักษะการจัดการความเครียดที่เหมาะสม ก่อนขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนคลินิก</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/266442 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรายงานและติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาล 2023-10-18T10:21:27+07:00 สุดถนอม กมลเลิศ ksudthanom@kku.ac.th ภาสกร เงางาม ksudthanom@kku.ac.th บุษบา บุญกระโทก ksudthanom@kku.ac.th จงกล พลตรี ksudthanom@kku.ac.th นิภาพรรณ ฤทธิรอด ksudthanom@kku.ac.th <p>องค์กรพยาบาลต้องพิจารณากำหนดตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนผลลัพธ์การบริหารองค์กร เพื่อยกระดับคุณภาพบริการการพยาบาลสู่ความเป็นเลิศ ผู้บริหารสามารถติดตาม ประเมินผลได้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบสารสนเทศในการรายงานและติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาล 2) ศึกษาความคิดเห็นของพยาบาลระดับบริหาร และพยาบาลสารสนเทศประจำหอผู้ป่วย (IT ward nurse : ITWN) ต่อประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อรายงานและติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของพยาบาลระดับบริหาร และ ITWN ต่อการใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อรายงาน และติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้น ดำเนินการเป็น 2 วงรอบ ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นการวางแผน ขั้นปฏิบัติ ขั้นการสังเกต และขั้นการสะท้อนผล ระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน พ.ศ. 2565</p> <p>กลุ่มตัวอย่าง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้บริหารทางการพยาบาล จำนวน 40 คน และกลุ่มผู้วิจัยร่วม ประกอบด้วย ITWN ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 53 คน จาก 21 งานการพยาบาล เครื่องมือที่ใช้วิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกผลการประชุม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อประสิทธิภาพระบบฯ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบฯ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ การทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อประสิทธิภาพของระบบฯและแบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานระบบฯ เท่ากับ 0.95 และ 0.97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา วิเคราะห์เนื้อหาและจัดหมวดหมู่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าระบบสารสนเทศเพื่อรายงานและติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นเป็นระบบออนไลน์และรายงานผลทันเวลา ความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อการใช้ระบบของพยาบาลระดับบริหารและ ITWN ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.35, SD=0.498 และ <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.32, SD=0.512) ตามลำดับ ผลการวิจัยให้ข้อเสนอแนะว่าควรเผยแพร่ระบบสารสนเทศเพื่อรายงานและติดตามตัวชี้วัดทางการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นจากการวิจัยนี้และเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ภายในโรงพยาบาลหรือระดับคณะ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้ข้อมูลร่วมกันมากที่สุด</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265209 ช่องว่างของการรับรู้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ระหว่างสตรีตั้งครรภ์อายุมากกับพยาบาลวิชาชีพ: การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบเฉพาะประเด็น 2023-12-06T14:05:00+07:00 มนฤดี มโนรัตน์ monrka@kku.ac.th ดารุณี จงอุดมการณ์ darjon@kku.ac.th สมสกูล นีละสมิต somsne@kku.ac.th ขวัญสุดา บุญทศ kwaboo@kku.ac.th ศุภจิรา สืบสีสุข somsne@kku.ac.th <p>การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบเฉพาะประเด็นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายการรับรู้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์และการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก ในจังหวัดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ผู้ให้ข้อมูลเป็นสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี (N=17) ครอบครัวสตรีฯ (N-17) และ พยาบาลวิชาชีพ (N-16) รวม 50 คน รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม บันทึกภาคสนาม การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสรุปแก่นความคิด ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยการตรวจสอบสามเส้า ดำเนินการรวบรวมข้อมูล ตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563-เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าการรับรู้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ของสตรีตั้งครรภ์และพยาบาลวิชาชีพ มีความแตกต่างกัน โดยมุมมองของผู้ประกอบวิชาชีพรับรู้ว่า สตรีตั้งครรภ์อายุมากมีความเสี่ยงสูง จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม ในขณะที่สตรีตั้งครรภ์อายุมากและครอบครัวรับรู้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ใน 2 ลักษณะ คือ 1) เป็นความเสี่ยงที่พร้อมจะยอมรับ ไม่ว่าผลของการตั้งครรภ์จะเป็นอย่างไร และ 2) เป็นความเสี่ยงเพื่อแลกกับความสุขของครอบครัว ความสุขที่ครอบครัวมีลูกมาเติมเต็ม ความสุขที่รู้สึกมีคุณค่า ความสุขที่สัมพันธภาพสามีภรรยามีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น การตั้งครรภ์อายุมากมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสู่การสร้างข้อเสนอแนะในการปฏิบัติการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมากสำหรับหน่วยบริการสุขภาพเพื่อส่งเสริมคุณภาพการตั้งครรภ์และการคลอดเฉพาะกลุ่มได้</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/269818 การพัฒนารูปแบบการติดตามผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยในโรงพยาบาล จังหวัดมหาสารคาม 2024-03-25T15:07:53+07:00 วันทนา กลางบุรัมย์ wantkl9270@gmail.com กรรณิการ์ ตฤณวุฒิพงษ์ wantkl9270@gmail.com สถิตย์ เรียนพิศ wantkl9270@gmail.com ปรีญานงค์ ดงหงษ์ wantkl9270@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบปฏิบัติ เพื่อพัฒนารูปแบบการติดตามผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยในโรงพยาบาล ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565–กันยายน พ.ศ. 2566 กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจงจากแพทย์ พยาบาล นักวิชาการผู้รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม และ อสม. รวม 50 คน กำหนดขั้นตอนการพัฒนา 3 ระยะ ระยะที่ 1 เตรียมการ วิเคราะหสถานการณ์และระบุปัญหา ระยะที่ 2 ดำเนินการ ครอบคลุมการวางแผน ปฏิบัติ สังเกตการณ์ และสะท้อนผลลัพธ์ ระยะที่ 3 สรุปและประเมินผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการติดตามผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยในโรงพยาบาล เป็นการสร้างระบบการส่งต่อผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ตรวจพบครั้งแรกที่โรงพยาบาล โดยแพทย์แจ้งพยาบาลแผนกผู้ป่วยนอก เพื่อส่งผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไปที่คลินิกโรคไม่ติดต่อ เพื่อให้คำแนะนำ และส่งต่อข้อมูลให้ รพ.สต. และ อสม. ติดตามวัดความดันโลหิตที่สถานีสุขภาพในชุมชน และส่งผู้ที่มีความดันโลหิตสูงกลับมาตรวจวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาล ภายใน 7 วัน การพัฒนาครั้งนี้ได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ออฟฟิเชียล แอคเคาท์ ข้อมูลได้รับการนำส่งต่อระหว่างเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รพ.สต. และ อสม. ที่เป็นปัจจุบันตลอดเวลา และแจ้งเตือนทันทีที่พบว่ามีความดันโลหิตสูง พร้อมส่งคำแนะนำในการปฏิบัติตัวผ่านไลน์ อสม. เพื่อให้คำแนะนำผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและติดตามบุคคลดังกล่าวไปรับการตรวจยืนยันที่โรงพยาบาล เพื่อรับการวินิจฉัยขึ้นทะเบียนรักษาตามระบบ จากการประเมินผลหลังการใช้งานรูปแบบนี้ เป็นเวลา 10 เดือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจ ร้อยละ 100 จากการประเมินสถานการณ์จากฐานข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข พบผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยในโรงพยาบาล (ไม่นับรวมแผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน) จำนวน 1,365 ราย ได้รับการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงและขึ้นทะเบียนรักษาภายใน 7 วัน จำนวน 338 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.76</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265743 ผลของการพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อแพร่กระจายที่มีโรคร่วมในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม 2023-10-02T13:44:45+07:00 ปภัสรา แปลงอาวุธ prapatsara.c@kkumail.com ณิชาภัตร พุฒิคามิน thithi@kku.ac.th <p>การวิจัยในรูปแบบกรณีศึกษาเชิงทดลอง เพื่อศึกษาผลของการนำแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อแพร่กระจายที่มีโรคร่วมไปใช้ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ อุบลราชธานี ระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 สุ่มตัวอย่างแบบต่อเนื่อง จนครบระยะเวลาที่กำหนด จำนวน 21 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 11 ราย กลุ่มทดลอง จำนวน 10 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย คู่มือแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อแพร่กระจายที่มีโรคร่วมพัฒนาโดยผู้วิจัย แบบประเมินและคัดกรองปัจจัยเสี่ยง แบบบันทึกการดูแลตามแนวทางการพยาบาล และแบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยและผลลัพธ์การดูแล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและสถิติฟิชเชอร์ ผลการศึกษาพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ อุบัติการณ์เกิด septic shock (p=0.024) และอุบัติการณ์เกิด MODS (p=0.035) แต่อุบัติการณ์การเสียชีวิตไม่แตกต่างกัน (p=0.476) ผู้วิจัยได้ให้ ข้อเสนอแนะสำหรับพยาบาลหรือหอผู้ป่วยวิกฤตในการนำไปปฏิบัติและข้อเสนอแนะงานวิจัยครั้งต่อไป จึงควร นำแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อแพร่กระจายนี้ไปใช้และควรมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบคุณภาพแนว ปฏิบัตินี้</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/269745 ผลของโปรแกรมการดูแลช่องปากต่อสุขภาพช่องปาก ความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเอง และการติดเชื้อแผลผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่ได้รับการผ่าตัด 2024-03-15T17:00:54+07:00 หนึ่งฤทัย แรงน้อย raengnoi1234@gmail.com บุษบา สมใจวงษ์ bussom@kku.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการดูแลช่องปากต่อสุขภาพช่องปาก ความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเอง และการติดเชื้อแผลผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่ได้รับการผ่าตัด ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2566 โดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 50 ราย กลุ่มควบคุม จำนวน 25 ราย และกลุ่มทดลอง จำนวน 25 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินสุขภาพช่องปาก แบบประเมินความสามารถในการดูแลช่องปาก และแบบประเมินการติดเชื้อแผลผ่าตัดในช่องปาก ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ได้ค่าเท่ากับ 0.94, 1.00 และ 1.00 ตามลำดับ ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือระหว่างผู้ประเมิน (inter-rater reliability) ได้เท่ากับ 0.91, 0.94 และ 0.97 ตามลำดับ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการดูแลช่องปากประกอบด้วย วิดีทัศน์ และแผ่นพับการดูแลความสะอาดช่องปากด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล โดยสถิติเชิงบรรยาย เปรียบเทียบค่าคะแนนสุขภาพช่องปาก คะแนนความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเอง ก่อนและหลังทดลองภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ Wilcoxon matched pairs signed ranks test เปรียบเทียบค่าคะแนนสุขภาพช่องปาก คะแนนความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเองก่อนและหลังทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ Mann-Whitney U test เปรียบเทียบการติดเชื้อแผลผ่าตัด ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ fisher’s exact test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีปัญหาสุขภาพช่องปากน้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) 2) หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีปัญหาสุขภาพช่องปากน้อยกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) 3) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) 4) หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีความสามารถในการดูแลช่องปากด้วยตนเอง สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และ 5) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีการติดเชื้อแผลผ่าตัดน้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/268018 การศึกษารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ จังหวัดนราธิวาส 2024-01-21T14:46:18+07:00 พีรวรรณ ชีวัยยะ peewanc@gmail.com ยามีละ มุซอ peewanc@gmail.com <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในจังหวัดนราธิวาส 2) ประเมินความคิดเห็นต่อความเหมาะสมของรูปแบบฯ และ 3) ศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนในการดำเนินงานรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 การทบทวน-วิเคราะห์เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบและรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ส่วนที่ 2 วิจัยเชิงปริมาณ ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบฯ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 178 คน โดยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามสำรวจความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่อระดับความเหมาะสมของรูปแบบฯ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาแบบสอบถามโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (index of item objective congruence: IOC) ระหว่าง 0.67-1.00 และ ตรวจสอบความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ส่วนที่ 3 การสนทนากลุ่ม ศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพถึงปัจจัยขับเคลื่อนการดำเนินงานรูปแบบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 170 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกสรุปประเด็น ตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลหาความถูกต้องและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ขับเคลื่อนภายใต้นโยบายชราธิวาส ประกอบด้วย การคัดกรองสุขภาพแบบบูรณาการ 9 ด้าน ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ คลินิกผู้สูงอายุสะดวก คลินิกชราธิวาสเคลื่อนที่ การใช้ digital health และ telemedicine การส่งต่อแบบไร้รอยต่อ การดูแลผู้ป่วยระยะกลาง การเชื่อมโยงบริการปฐมภูมิ ด้วย 3 หมอ การส่งเสริมพฤติกรรมพึงประสงค์ให้แก่ผู้สูงอายุ การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสูงอายุระดับจังหวัด บันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding: MOU) ของภาคีเครือข่าย 7 กระทรวง และคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุระดับอำเภอ</p> <p>ผลการประเมินแบบฯ พบว่า รูปมีความเหมาะสมในภาพรวม ระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.89, SD=0.81) โดยด้านที่มีระดับความเหมาะสมสูงสุด คือ ด้านการอำนวยการ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.01, SD=0.79) และ ด้านระบบบริการ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=4.01, SD=0.78) รองลงมา คือ ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.99, S.D=0.79) และด้านการจัดองค์กร (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=3.96, SD=0.81) ตามลำดับ ปัจจัยขับเคลื่อนการดำเนินงานรูปแบบที่สำคัญ คือ นโยบายที่ชัดเจน การกำหนดทิศทางเป็นในแนวทางเดียวกัน กระบวนการติดตามงานที่เป็นรูปธรรม การจัดบริการสุขภาพที่มีมาตรฐานแบบบูรณาการโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบรายงาน การตรวจรักษาด้วย telemedicine ระบบการส่งต่อแบบไร้รอยต่อ การมี MOU ของภาคีเครือข่าย 7 กระทรวง และการจัดมหกรรมชราธิวาสอย่างต่อเนื่อง </p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/268222 ผลของการใช้นวัตกรรมสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงต่อความรู้และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ ในการดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง 2024-01-09T14:20:26+07:00 จิตรัดดา มุนมิน jitrmu@kku.ac.th ชลิดา ธนัฐธีรกุล warinee@kku.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลซ้ำนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้นวัตกรรมสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงต่อความรู้ และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลเด็กโรคมะเร็ง ที่ได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (PICC) โดยใช้กรอบแนวคิดการเรียนรู้ของบลูม กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาล ในหอผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง จำนวน 14 คน เลือกแบบเฉพาะ เจาะจง ระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566</p> <p>เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ นวัตกรรมสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริง ประกอบด้วย 1) คู่มือ การดูแลผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการใส่สายหลอดเลือดดำส่วนกลาง 9 ด้าน ดังนี้ 1.1) คำจำกัดความของ PICC line 1.2) ประโยชน์ของ PICC line 1.3) ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สาย PICC line 1.4) การปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการทำแผล 1.5) การปฏิบัติเมื่อบริหารยาและสารน้ำ 1.6) การปฏิบัติเมื่อเปลี่ยนถุงสารอาหารทางหลอดเลือดดำ 1.7) การปฏิบัติเมื่อเก็บตัวอย่างเลือดจากสาย PICC line 1.8) การปฏิบัติเพื่อป้องกัน PICC line เกิดลิ่มเลือดอุดตันสำหรับ lumen ที่ไม่ได้ใช้ 1.9) การบันทึกและรายงานแพทย์ และ 2) วีดีโอเรื่อง PICC safety for nurse (CVI=.99) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามความรู้ของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการใส่สาย PICC line (CVI=.96, KR-20=.89) และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรม (CVI=1.00, Cronbach’s alpha coefficient=.96) วัดผลความรู้ก่อนใช้นวัตกรรม ขณะใช้นวัตกรรม และหลังใช้นวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ Friedman test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มีความแตกต่างของความรู้ก่อนใช้นวัตกรรม (วันที่ 1) ขณะใช้นวัตกรรม (วันที่ 21) และหลังใช้นวัตกรรม (วันที่ 28) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (X<sup>2</sup>=20.83, p=.001) โดยพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างความรู้ของพยาบาลวิชาชีพในวันที่ 21 กับวันที่ 1 ของการทดลอง และในวันที่ 28 กับวันที่ 1 ของการทดลอง (p=.003 และ p=.001 ตามลำดับ) นอกจากนี้ยังพบว่าความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้นวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />=38.00, SD=2.83) สรุปได้ว่านวัตกรรมสื่อเทคโนโลยีเสมือนจริงมีความเหมาะสมในการถ่ายทอดความรู้ให้กับพยาบาลวิชาชีพในการดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการใส่สาย PICC line</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265812 ผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลการดูแลผู้สูงอายุบาดเจ็บไขสันหลังที่มีปัญหาการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ 2023-10-31T15:21:10+07:00 ชลาลัย ปานเพชร Chalala_ph@kkumail.com ลดาวัลย์ พันธุ์พาณิชย์ ladpan@kku.ac.th สุทธินันท์ สุบินดี ssuttin@kku.ac.th สมรภพ บรรหารักษ์ sbanharak@kku.ac.th สุทิน ชนะบุญ sutinchanabun@gmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลการดูแลผู้สูงอายุบาดเจ็บไขสันหลังที่มีปัญหาการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ กลุ่มตัวอย่าง 38 คน สุ่มตัวอย่างแบบต่อเนื่องตามคุณสมบัติเข้าศึกษา (consecutive sampling) แล้วแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองตามช่วงเวลา กลุ่มละ 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) เครื่องมือคัดกรองกลุ่มตัวอย่างเข้าศึกษา ได้แก่ แบบประเมินความรุนแรงการถ่ายอุจจาระผิดปกติเกิดจากระบบประสาท (neurogenic bowel dysfunction score; NBDS) ฉบับภาษาไทย แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2 คำถาม (2Q) แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คำถาม (9Q) และแบบประเมินสมรรถภาพการรู้คิด 6 ข้อ (6CIT) 2) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยเป็นแนวปฏิบัติการพยาบาล การดูแลปัญหาการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติในผู้สูงอายุบาดเจ็บไขสันหลัง ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 3) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป ข้อมูลสุขภาพการเจ็บป่วยและการตรวจร่างกาย แบบประเมิน NBDS และแบบประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ที่บาดเจ็บไขสันหลังสันที่มีความลำบากในการจัดการปัญหาการขับถ่ายอุจจาระ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ดำเนินการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิก่อนนำไปใช้ในงานวิจัย ผลการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของ 1) แนวปฏิบัติฯ 2) แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปฯ และ 3) แบบประเมินคุณภาพชีวิตฯ ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเป็น 0.86, 0.90 และ 0.96 ตามลำดับ ผลการตรวจสอบความเที่ยงของแบบประเมินคุณภาพชีวิตฯ ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.96</p> <p>วิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลทั่วไปฯ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ chi-square และ fisher’s exact พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน (p&gt;0.05) ยกเว้น วิธีการหลักในการถ่ายอุจจาระ และขั้นตอนการดูแลการขับถ่ายอุจจาระ ใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในประเด็นถ่ายอุจจาระปกติ (p.=038) ต้องใช้แรงเบ่งถ่ายอุจจาระมาก (p.=046) และการรับประทานอาหารที่มีกากใยในช่วง 3 วันที่ผ่านมา (p=.049) เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่าง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ independent t-test และ Mann-Whitney U test เปรียบเทียบผลลัพธ์ภายในกลุ่ม ด้วยสถิติ paired t-test และ Wilcoxon signed rank test</p> <p>ผลการศึกษาสรุปได้ว่า แนวปฏิบัติฯ ที่พัฒนาขึ้น ไม่มีผลต่อระดับคะแนน NBDS แต่มีผลดีต่อคะแนนคุณภาพชีวิตฯ คือ หลังการทดลองคะแนนระดับคุณภาพชีวิตฯ ของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.003) และผลต่างคะแนนระดับคุณภาพชีวิตฯ ในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=.002) จึงควรมีการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติฯ นี้ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุบาดเจ็บไขสันหลังที่มีปัญหาการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของแนวปฏิบัตินี้ โดยใช้ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/265350 มุมมองเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการดูแลเท้าเพื่อป้องกันแผลเบาหวานที่เท้า - การทบทวนความรู้อย่างเป็นระบบเชิงคุณภาพ 2023-11-14T13:45:01+07:00 หวังเฉียว ซู zhwangqiao@kkumail.com ขนิษฐา นันทบุตร Khanitta@kku.ac.th ซู่หลาน หลอง zhwangqiao@kkumail.com <p>โรคเบาหวานมีผลต่อทุกส่วนของร่างกาย แต่มักมีผลต่อเท้าก่อนเสมอ การดูแลเท้าด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันแผลเบาหวานที่เท้า (DFU) แม้ว่ามีความพยายามอย่างมากในการป้องกันแผลเบาหวานที่เท้า แต่ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการดูแลเท้าตนเองซึ่งควรคำนึงหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการที่เฉพาะส่วนบุคคล สภาพแวดล้อมในชุมชน รวมถึงบริบททางวัฒนธรรมเฉพาะ วัตถุประสงค์ของการทบทวนความรู้ครั้งนี้ เพื่อสังเคราะห์ความรู้ในมิติของปัจจัยที่มีผลต่อการดูแลเท้าเพื่อป้องกันแผลที่เท้า ด้วยวิธีเชิงคุณภาพแล้วสังเคราะห์แก่นสาระสำคัญ โดยมีบทความนำเข้าสู่การวิเคราะห์รวม 25 เรื่อง มีผลการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญได้ 3 ประการ ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการป้องกันแผลเบาหวานที่เท้า แรงจูงใจในการส่งเสริมการปฏิบัติเพื่อป้องกันแผลเบาหวานที่เท้า โดยพบจุดเน้น คือ ปัจจัยที่เป็นทั้งอุปสรรคและเอื้ออำนวยต่อการดูแลเท้าโดยผู้ป่วยเองซึ่งมีองค์ประกอบที่เป็นอุปสรรคทางกายภาพ ความกังวลด้านจิตใจ ข้อจำกัดในการให้บริการด้านสุขภาพ และการปฏิบัติเชิงวัฒนธรรม มีความเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับการดูแลเท้าด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิผล กล่าวได้ว่าการศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเท้าด้วยตนเองมากขึ้นและสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการดูแลเท้าด้วยตนเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างเหมาะสมต่อไปในอนาคต</p> 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/272132 สารบัญ 2024-06-26T23:40:13+07:00 admin admin journal.nu@gmail.com 2024-06-26T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ