https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/issue/feed วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ 2025-03-24T14:41:44+07:00 Prof. Dr. Darunee Jongudomkarn journal.nu@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ (J Nurs Sci Health) เป็นวารสารวิชาการด้านพยาบาลศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพของ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่ผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (peer review) อย่างน้อย 2 ท่านที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านเนื้อหานั้น ๆ และด้านระเบียบวิธีวิจัย (ในกรณีที่ผู้เขียนต้องการนำบทความไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการตามเงื่อนไขเฉพาะราย หากต้องการผู้ทรงคุณวุฒิอ่านบทความจำนวน 3 ท่าน ตามเงื่อนไข สามารถแจ้งรายละเอียดได้ร่วมกับการส่งบทความเพื่อรับการพิจารณาการตีพิมพ์) โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อของแต่ละฝ่าย </p> <p><strong>ISSN 2822-1133 (Online)</strong></p> <p><strong><em>กำหนดการออก ราย 3 เดือน (ปีละ 4 ฉบับ)</em></strong></p> <ul> <li class="show">ฉบับ 1 มกราคม-มีนาคม</li> <li class="show">ฉบับ 2 เมษายน-มิถุนายน</li> <li class="show">ฉบับ 3 กรกฎาคม-กันยายน</li> <li class="show">ฉบับ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</li> </ul> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/273255 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 2024-09-09T21:50:57+07:00 สุธาสินี พิมพาชาติ sp_sutasinee@kkumail.com สมจิตร เมืองพิล sompha@kku.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จำนวน 143 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด รวบรวมข้อมูลโดยกลุ่มตัวอย่างตอบคำถามด้วยตนเอง ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินความเชื่อด้านสุขภาพ ในการป้องกันโรคโควิด-19 3) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะในการป้องกันโรคและการรับรู้สิ่งกระตุ้นเตือน 4) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะในการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 และ 5) แบบประเมินพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งแบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ และทดสอบความเที่ยง มีค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค เท่ากับ 0.80, 0.90, 0.80 และ 0.80 ตามลำดับ</p> <p>วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ซึ่งการนำตัวแปรเข้าสู่สมการด้วยวิธีแบบขั้นตอน ผลการศึกษา พบว่า หญิงตั้งครรภ์มีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ในระดับดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.06 SD±0.59) คิดเป็นร้อยละ 81.20 การรับรู้สมรรถนะในการป้องกันการติดเชื้อ โควิด-19 และการรับรู้การกระตุ้นเตือนหรือสนับสนุนจากสมาชิกในครอบครัว สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ของหญิงตั้งครรภ์ ได้ร้อยละ 33.00 (adjusted <span class="fontstyle0"><img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?R^{2}" alt="equation" /></span>=0.33, p&lt;0.01) ดังนั้น พยาบาลผดุงครรภ์ ควรส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะของตนเองในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการกระตุ้นเตือนหรือสนับสนุนการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์ต่อไป</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/271342 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะตกเลือดในระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด ณ หอผู้ป่วยหลังคลอดและทารกแรกเกิด 2ข โรงพยาบาลศรีนครินทร์: การศึกษาความเป็นไปได้ 2024-09-06T10:47:33+07:00 รจนา กุลนิตย์ rotjanaku@kkumail.com นิตยา พันธ์งาม nittapa@kku.ac.th รัตนา คำวิลัยศักดิ์ nittapa@kku.ac.th นิตยา ปานเพชร nittapa@kku.ac.th สุธิดา ยาทองไชย nittapa@kku.ac.th <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาความเป็นไปได้ของแนวปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะตกเลือดในระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดของไอโอวาโมเดลในการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล ซึ่งประกอบด้วย 1) คัดเลือกปัญหาที่ต้องการแก้ไข 2) จัดตั้งทีม 3) สืบค้นหลักฐาน เชิงประจักษ์และการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 4) วิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย และ 5) พัฒนาร่าง แนวปฏิบัติการพยาบาลและศึกษานำร่อง กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ มารดาหลังคลอดที่คลอดทาง ช่องคลอดในเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2566 จำนวน 20 ราย และพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยหลังคลอดและทารกแรกเกิด 2ข โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จำนวน 9 ราย กระบวนการที่ใช้ในการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ 2) การทบทวนเวชระเบียนและสถิติ 3) การทบทวนแนวปฏิบัติการพยาบาลและการสังเคราะห์งานวิจัย และ 4) การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลและแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล ผลการตรวจสอบเครื่องมือวิจัย ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (content validity index: CVI) ของแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะ ตกเลือดและแบบบันทึกผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เท่ากับ 1 ค่า ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงระหว่างผู้สังเกต (inter-rater reliability) ของแบบบันทึกผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เท่ากับ 0.578 (95%CI: 0.328-0.745) ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคของแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ได้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดในระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) การบันทึกข้อมูลสุขภาพมารดาหลังคลอดตามเทคนิคไอเอสบาร์ 2) การคัดกรองความเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด และ 3) แนวทางการดูแลมารดาหลังคลอดตามระดับความเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด ผลการทดลองใช้นำร่อง พบว่า มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 85 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.85) และพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติมีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 75 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.75) และผลลัพธ์ทางคลินิก พบว่า มีมารดาตกเลือดหลังคลอด 1 ราย แต่ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะตกเลือดในระยะ 2-24 ชั่วโมงหลังคลอด สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดูแลมารดาหลังคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะตกเลือด หลังคลอด และควรนำแนวปฏิบัติการพยาบาลไปใช้จริงในหน่วยงานอย่างต่อเนื่องระยะยาว</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/270599 การพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมความรู้ของมารดาในการดูแลทารก ที่มีภาวะตัวเหลืองที่ได้รับการส่องไฟรักษา 2024-04-27T16:00:53+07:00 อังคนา พร้อมสมบูรณ์ ungkhana.p@kkumail.com จุฬาภรณ์ ตั้งภักดี jurtan@kku.ac.th <p>ภาวะตัวเหลืองเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่พบบ่อยในทารก การรักษาจะได้ผลดีต้องอาศัยความร่วมมือของมารดา การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมมารดาในการดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลืองที่ได้รับการส่องไฟรักษาให้มีความรู้เพิ่มขึ้นและปฏิบัติการดูแลทารกได้อย่างถูกต้อง ตามกรอบการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะ แห่งตนภายใต้แนวคิดของแบนดูรา มีกระบวนการพัฒนาเครื่องมือวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนาโปรแกรมฯ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ทบทวนปัญหาจากการปฏิบัติงาน ขั้นตอนที่ 2 สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ได้งานวิจัย จำนวน 18 เรื่อง ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณภาพงานวิจัย ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนาโปรแกรมฯ นำผลการวิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหาจากงานวิจัยในการให้ความรู้ภาวะ ตัวเหลือง ระยะที่ 2 การสร้างโปรแกรมฯ มีดังนี้ 1) พัฒนาคลิปวิดีโอชุดความรู้ภาวะตัวเหลือง ทั้งหมด 6 คลิป คลิปละประมาณ 3 นาที 2) พัฒนาเนื้อหาทำคู่มือสื่ออินโฟกราฟิกส์ความรู้ภาวะตัวเหลือง 3) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจโปรแกรมฯ ระยะที่ 3 การประเมินผลของความเป็นไปได้ในการนำใช้โปรแกรมฯ</p> <p>เครื่องมือนี้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน และทดลองใช้ในกลุ่มตัวอย่าง ที่คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เป็นมารดาและทารกที่มีภาวะตัวเหลืองที่ได้รับการส่องไฟรักษา ณ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 10 ราย วิธีการทดลองใช้เครื่องมือวิจัย โดยให้มารดาเปิดดูคลิปวิดีโอชุดให้ความรู้ภาวะตัวเหลืองผ่านสื่อติ๊กต็อก ศึกษาคู่มืออินโฟกราฟิกส์ความรู้ ภาวะตัวเหลือง 5 ภาพ โดยให้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้มารดาประเมินแบบสอบถามความ พึงพอใจโปรแกรมฯ และเสนอแนะความคิดเห็นเกี่ยวกับคลิปวิดีโอ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ผลการประเมินคุณภาพของโปรแกรมฯ ได้ค่า ความสอดคล้องของเนื้อหากับวัตถุประสงค์ เท่ากับ 0.98 และความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.97 2) ความพึงพอใจโปรแกรมฯภาพรวม 4 ด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ เนื้อหาสั้นกระชับครอบคลุม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.9, SD=0.31) การใช้ภาษาและการสื่อสาร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.7, SD=0.48) 3) ภาพบรรยายและเสียงเพลงประกอบ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.8, SD=0.42) 4) ระยะเวลา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=5.00, SD=0.00) ผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมฯ นำไปสู่กระบวนการวิจัย เพื่อทดสอบผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้ของมารดาในการดูแลทารกที่มีภาวะตัวเหลืองที่ได้รับการส่องไฟรักษา</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/271431 คุณภาพชีวิตและผลกระทบจากการใช้กัญชาในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง 2024-08-03T17:00:51+07:00 ธนเมศวร์ แท่นคำ pwijit@kku.ac.th ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ pwijit@kku.ac.th บัณฑิต ชุมวรฐายี pwijit@kku.ac.th ภูชิต ดาบภูเขียว pwijit@kku.ac.th พนิดา พิทยกิตติวงศ์ pwijit@kku.ac.th ธนพล ศรีวงษ์ pwijit@kku.ac.th สาธิตา เรืองสิริภคกุล pwijit@kku.ac.th กัญญาภัค ศิลารักษ์ pwijit@kku.ac.th ขจรศักดิ์ สีวาที pwijit@kku.ac.th กัลยา ปังประเสริฐ pwijit@kku.ac.th วิจิตรา เสนา pwijit@kku.ac.th <p style="text-indent: .25in;">ความเจ็บปวด เหนื่อยล้า วิตกกังวล เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ความรู้สึกไม่สบายกายและใจ เป็นอาการ ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองลดลง ปัจจุบันกัญชา ถูกนำมาใช้อย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการวิจัยตามหลักฐาน เชิงประจักษ์เพียงพอ</p> <p style="text-indent: .25in;">การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกัญชาต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง โดยใช้วิธีการวิจัยแบบศึกษาไปข้างหน้า ผู้เข้าร่วมคือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง จำนวน 49 คน คัดเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จากโรงพยาบาล 6 แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ดำเนินการวัดคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยใช้เครื่องมือ EQ-5D-5L และวัดความไม่สุขสบาย โดยใช้เครื่องมือ Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ Wilcoxon signed ranks test</p> <p style="text-indent: .25in;">ผลการวิจัย พบว่า กัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวด เหนื่อย/อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึมเศร้า ง่วงซึม/สะลึมสะลือ เบื่ออาหาร และรู้สึกสบายกายและใจมากขึ้น (p&lt;0.05) คะแนนอรรถประโยชน์เพิ่มขึ้นจาก 0.86 ในการประเมินวันที่ 1 เป็น 0.96 ในวันที่ 30 และคะแนนระดับสุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 80 (p&lt;0.05)</p> <p style="text-indent: .25in;">ข้อเสนอแนะ ควรส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ทางสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ออกมาตรการควบคุมในประเด็นที่สังคมห่วงใยให้ได้อย่างเข้มข้น น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/273427 ผลของกิจกรรมการพยาบาลการจัดการรายกรณีต่อผลลัพธ์ที่คัดสรรในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว 2024-08-28T21:56:06+07:00 อนุพงศ์ อิศดิศัย anupong.o@kkumail.com นงลักษณ์ เมธากาญจนศักดิ์ nonchu@kku.ac.th <p>การวิจัยเชิงทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมการพยาบาลการจัดการรายกรณีต่อผลลัพธ์ ที่คัดสรรในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่มีการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว โดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมใช้ โดยวิธี simple random sampling การจับฉลากแบบไม่คืน มีการสุ่มจับฉลาก 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 นำรายชื่อผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์มาสุ่มจับฉลากแบบไม่คืน ให้ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 ราย และครั้งที่ 2 นำรายชื่อผู้ป่วยของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 ราย มาจับแบบไม่คืน เข้ากลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย ระยะเวลาดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และแบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม เครื่องมือผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน และคำนวณค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.81 ตรวจสอบความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.84 2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 2.1) แนวทางกิจกรรมการพยาบาลการจัดการรายกรณีในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่มีการทำงานของไตลดลง อย่างรวดเร็ว (clinical pathway) 2.2) กิจกรรมการพยาบาลการจัดการรายกรณีในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ที่มีการทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว 2.3) แบบประเมินปัจจัยเสี่ยงการเกิดอัตราการกรองของไตลดลงอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง 2.4) แบบฟอร์มบันทึกการส่งต่อผู้ป่วยปรึกษาทีมสุขภาพ 2.5) คู่มือการจัดการตนเอง สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพื่อชะลอไตเสื่อม และ 2.6) แบบบันทึกการจัดการรายกรณี สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ที่มีภาวะไตเสื่อมอย่างรวดเร็ว (สำหรับพยาบาล) ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือ 2.2-2.6 ได้ เท่ากับ 0.82, 1.00, 0.84 และ 1.00 ตามลำดับ</p> <p>วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลโดยสถิติเชิงบรรยาย เปรียบเทียบค่าคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเอง เพื่อชะลอไตเสื่อม ค่าอัตราการกรองของไต และค่าไมโครอัลบูมินในปัสสาวะระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ด้วยสถิติ mann-whitney u test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังได้รับกิจกรรมการพยาบาลการจัดการรายกรณี กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยตัวแปรตาม (คะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อม ค่าอัตราการกรองของไต และค่าไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ) แตกต่างจากกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.01) แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการพยาบาลการจัดการ รายกรณีฯ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีพฤติกรรมการจัดการตนเอง เพื่อชะลอไตเสื่อมส่งผลต่อผลลัพธ์ ทางคลินิกที่ดีขึ้น</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/273354 การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการเตรียมตัวสำหรับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทางทวารหนัก แบบผู้ป่วยนอกในผู้สูงอายุ : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ 2024-09-20T15:05:45+07:00 เนาวรัตน์ แก้วตา nouwarat.k@kkumail.com สมรภพ บรรหารักษ์ sbanharak@kku.ac.th ธัญญา อภิชาติวัลลภ sbanharak@kku.ac.th <p>ปัจจุบันยังพบว่า การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ในผู้สูงอายุมีการเตรียมลำไส้ที่ไม่เพียงพอ ส่งผลเสียต่ออัตราการตรวจพบรอยโรค และตัวบ่งชี้อื่น ๆ ของคุณภาพของการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ เช่น ระยะเวลาการใส่กล้องลำไส้ใหญ่นานขึ้นและระยะเวลาโดยรวมของกระบวนการที่นานขึ้น จากการศึกษาวิจัยจำนวนมาก ที่เกี่ยวกับโปรแกรมหรือกิจกรรมการพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมลำไส้ของผู้สูงอายุที่เข้ารับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทางทวารหนักแบบผู้ป่วยนอก พบว่า ยังไม่มีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับโปรแกรมหรือกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทางทวารหนักแบบผู้ป่วยนอกสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ซึ่งผู้สูงอายุมีข้อจำกัดหลายประการและต้องการการเตรียมการที่สอดคล้องกับข้อจำกัดดังกล่าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะเตรียมลำไส้ การศึกษาครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับโปรแกรมหรือกิจกรรมการพยาบาล สำหรับผู้สูงอายุที่ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทางทวารหนักแบบผู้ป่วยนอก โดยสืบค้นงานวิจัยย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2560-2565 (ค.ศ. 2017-2022) จาก 6 ฐานข้อมูล ได้งานวิจัยทั้งสิ้น 10,788 เรื่อง หลังจากคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด คงเหลืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 12 เรื่อง เป็นงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มี กลุ่มควบคุม จำนวน 5 เรื่อง งานวิจัยกึ่งทดลอง จำนวน 6 เรื่อง และงานวิจัยและพัฒนา จำนวน 1 เรื่อง</p> <p>ผลการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ พบว่า โปรแกรมหรือกิจกรรมการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพในการช่วยผู้สูงอายุเตรียมลำไส้ ได้แก่ การให้ความรู้ คำแนะนำรายบุคคล การติดตามผลทางโทรศัพท์ การใช้แอปพลิเคชันไลน์ โซเชียลมีเดีย คู่มือและสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์และภาพพลิก เป็นต้น ผลจากการใช้โปรแกรมหรือกิจกรรมเหล่านี้ พบว่า ผู้สูงอายุมีความรู้มากขึ้น สามารถปฏิบัติตัวในการเตรียมลำไส้ได้อย่างถูกต้อง ความสะอาดของลำไส้ดีขึ้น สามารถจัดการกับอาการไม่พึงประสงค์ขณะเตรียมลำไส้ ได้ดีขึ้น และระยะเวลาที่ใช้ในการส่องกล้องลดลง</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/273232 การพัฒนาแบบคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุไทย แบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 5 ข้อคำถาม (ฉบับปรับปรุง) 2024-08-19T17:52:02+07:00 อรวรรณ์ คูหา nutda@kku.ac.th นัดดา คำนิยม nutda@kku.ac.th จารุณี วิทยาจักษุ์ nutda@kku.ac.th ดาวชมพู นาคะวิโร nutda@kku.ac.th พัฒน์ศรี ศรีสุวรรณ nutda@kku.ac.th <p>การวิจัยเพื่อพัฒนาแบบคัดกรองภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุไทย และตรวจสอบคุณสมบัติการวัดตามมาตรฐานของเครื่องมือของแบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 5 ข้อคำถาม (ฉบับปรับปรุง) เปรียบเทียบกับแบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 14 ข้อคำถาม (ต้นฉบับ) และเกณฑ์การวินิจฉัยของแพทย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป อาศัยในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 765 คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 14 ข้อคำถาม (ต้นฉบับ) และ 5 ข้อคำถาม (ฉบับปรับปรุง) แบบทดสอบสมรรถภาพสมองเบื้องต้น ฉบับภาษาไทย (MMSE-Thai 2002) แบบทดสอบสมรรถภาพสมอง (MoCA test) ฉบับแปลเป็นภาษาไทย และการวินิจฉัยของแพทย์ตามเกณฑ์ DSM-5 criteria วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาตรวจสอบการแจกแจงข้อมูล โดยใช้สถิติ Kolmogorov–Smirnov test และวิเคราะห์หาค่าความแม่นตรงตามเกณฑ์</p> <p>ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 70.20 ปี (SD=6.83) พบกลุ่มที่มีความผิดปกติด้านการรู้คิด ร้อยละ 15.24 ในกลุ่มนี้ได้รับการยืนยันการวินิจฉัย ว่ามีภาวะสมองเสื่อม ร้อยละ 6.78 และมีภาวะสมรรถภาพสมองบกพร่องระยะต้น ร้อยละ 87.29 ผลการทดสอบคุณสมบัติการวัดของแบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 5 ข้อคำถาม (ฉบับปรับปรุง) ที่จุดตัด 8 คะแนน พบค่า ความเชื่อมั่น 0.838 แบ่งเป็น (1) กลุ่มที่มีความผิดปกติด้านการรู้คิด มีค่าความไวค่อนข้างสูง (sensitivity 92.5) ค่าความจำเพาะและค่าความแม่นยำค่อนข้างต่ำ (specificity 8.83, accuracy 27.79) ค่าการพยากรณ์ผลบวก ค่อนข้างต่ำ (PPV 23.18) และการพยากรณ์ผลลบค่อนข้างสูง (NPV 78.79) และมีค่าพื้นที่ใต้โค้ง (AUC-ROC) เท่ากับ 0.502 (2) กลุ่มที่มีภาวะสมรรถภาพสมองบกพร่องระยะต้น มีค่าความไวค่อนข้างสูง (sensitivity 82.95) ค่าความจำเพาะและ ค่าความแม่นยำค่อนข้างต่ำ (specificity 13.24, accuracy 29.28) ค่าการพยากรณ์ผลบวกค่อนข้างต่ำ (PPV 22.22) และ การพยากรณ์ผลลบค่อนข้างสูง (NPV 77.22) และมีค่าพื้นที่ใต้โค้ง (AUC-ROC) เท่ากับ 0.481 และ (3) กลุ่มที่มีภาวะ สมองเสื่อม แบบทดสอบมีค่าความไวค่อนข้างต่ำมาก (sensitivity 9.09) ค่าความจำเพาะและค่าความแม่นยำค่อนข้างสูง (specificity 95.59, accuracy 75.69) ค่าการพยากรณ์ผลบวกค่อนข้างต่ำ (PPV 39.10) และการพยากรณ์ผลลบค่อนข้างสูง (NPV 77.87) และมีค่าพื้นที่ใต้โค้ง (AUC-ROC) เท่ากับ 0.523</p> <p>จากผลการวิจัย สรุปได้ว่า ผลการตรวจสอบคุณสมบัติการวัดของแบบทดสอบสมรรถภาพความจำ 5 ข้อคำถาม (ฉบับปรับปรุง) พบว่า เครื่องมือนี้อาจใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองภาวะสมองเสื่อมอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของสมรรถภาพสมองด้านการรู้คิดและผู้มีสมรรถภาพสมองบกพร่องระยะต้นได้ จากค่าความไวที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยข้อจำกัดของคุณสมบัติการวัดด้านอื่น ๆ ที่มีค่าค่อนข้างต่ำ จึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมก่อนนำใช้ และควรทำการศึกษาปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเครื่องมือให้สามารถค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีความผิดปกติของสมรรถภาพสมอง ด้านการรู้คิด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/272175 ปัจจัยทำนายการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม 2024-07-14T12:40:32+07:00 บุณณดา ลือจันดา boonnada.l@kkumail.com ชัจคเณค์ แพรขาว porpea@kku.ac.th <p>การวิจัยเชิงทำนายแบบศึกษาไปข้างหน้า มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมที่ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะที่นอนรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายน 2567 จำนวน 263 คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบเก็บข้อมูลปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ และแบบบันทึกการวินิจฉัยการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปและลักษณะของปัจจัยต่าง ๆ โดยใช้สถิติพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยทำนายการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ โดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทำนายการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม ได้แก่ ประวัติการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา (OR=11.74 [95%CI: 1.40, 98.72] p=.023) โรคเบาหวาน (OR=4.74 [95%CI: 1.86, 12.11] p=.001) การใส่สายสวนปัสสาวะซ้ำ (OR=25.73 [95%CI: 1.69, 390.86] p=.019) จำนวนวันนอนในหอผู้ป่วยวิกฤต (OR=1.60 [95%CI: 1.32, 1.94] p&lt;.001) ดังนั้น ทีมสุขภาพจึงควรเพิ่มความตระหนักและการเฝ้าระวัง การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรมที่มีประวัติ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะซ้ำ และผู้ป่วยที่นอนในหอผู้ป่วยวิกฤตเป็นระยะเวลานาน</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/274813 การพัฒนาโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ 2024-10-26T10:00:11+07:00 ก้องสยาม ลับไพรี kokong43@hotmail.com ภาณุพงศ์ ชีวพัฒนพงศ์ panupong.c@chandra.ac.th คณิน ประยูรเกียรติ khanin.p@chandra.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ 2) ศึกษาผลของการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ วิธีดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ร่างต้นแบบ และตรวจสอบคุณภาพของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ และ 2) ศึกษาผลการใช้โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ อาสาสมัครผู้สูงอายุที่มีอายุ 60-70 ปีจำนวน 68 คน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยการจับฉลาก (Simple Random Sampling) ในการคัดเลือกเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 34 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม ของผู้สูงอายุ (IOC 1.00) 2) แบบประเมินการทรงตัวของ Berg Balance test (IOC 0.95) ดำเนินการทดลอง โดยกลุ่มทดลองได้เข้าร่วมตามโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม ของผู้สูงอายุ และกลุ่มควบคุมกลุ่มที่ได้รับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน สถิติที่ใช้ในการวิเคราห์ผล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ ได้ค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ 1.00 ประกอบด้วย 1.1) หลักการออกกำลังกาย ได้แก่ ความบ่อย (สัปดาห์ละ 3 ครั้ง) ความเข้มข้น (50-70%MHR) ระยะเวลา (40 นาที/ครั้ง) และประเภท (แบบยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และการฝึกด้วยน้ำหนัก) 1.2) ขั้นตอนการออกกำลังกาย แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ อบอุ่นร่างกาย การออกกำลังกาย และ คลายอุ่น โดยขั้นอบอุ่นร่างกายและขั้นผ่อนคลายใช้ท่าฤาษีดัดตน 4 ท่า เป็นเวลา 10 นาที ประกอบด้วย ท่าเทพพนม ท่าชูหัตถ์วาดหลัง ท่าแก้เกียจ และ ท่านั่งนวดขา ส่วนขั้นการออกกำลังกายจะใช้ท่าฤาษีดัดตน 5 ท่า เป็นเวลา 20 นาที ประกอบด้วย ท่าดำรงกายอายุยืน ท่านางแบบ ท่าเต้นโขน ท่ายืนนวดขา และท่านอนคว่ำทับหัตถ์ 2) ผลของการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีผลการทดสอบความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุดีขึ้นกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่า กลุ่มทดลองมีผลการทดสอบความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุดีขึ้นดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/274473 พิมพ์เขียวรูปแบบการพยาบาลครอบครัวส่วนขยายเพื่อเพิ่มความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่บ้านจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน: การสังเคราะห์นวัตกรรมเชิงระบบจากข้อมูลวิจัยต่อเนื่อง 2024-10-28T08:45:42+07:00 ลดาวัลย์ พันธุ์พาณิชย์ ladpan@kku.ac.th ดารุณี จงอุดมการณ์ darjon@kku.ac.th อรวรรณ ดวงมังกร aurawan@kkumail.com ขวัญสุดา บุญทศ kwaboo@kku.ac.th สมสกูล นีละสมิต somsne@kku.ac.th มนฤดี มโนรัตน์ monrka@kku.ac.th ธิรากร มณีรัตน์ monrka@kku.ac.th <p>ความสำคัญ: ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงจากโรคเรื้อรังถือเป็นความท้าทายด้านสุขภาพระดับโลกที่สำคัญ การดูแลผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาอย่างมีประสิทธิภาพหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องมีการเตรียม ความพร้อมและเสริมพลังผู้ดูแลในครอบครัว บทความนี้นำเสนอผลการสังเคราะห์พิมพ์เขียวรูปแบบ การพยาบาลสุขภาพครอบครัว มข. ส่วนขยาย โดยเน้นการพัฒนาความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียงในกระบวนการดูแลต่อเนื่อง ทั้งที่โรงพยาบาลและในชุมชน</p> <p>วิธีการวิจัย: เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ป่วย ผู้ดูแล บุคลากรสุขภาพ และผู้นำชุมชน เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2566 และศึกษากรณีศึกษาผู้ป่วยติดเตียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนกรกฎาคม 2564-ธันวาคม 2565</p> <p>ผลการวิจัย: พิมพ์เขียวรูปแบบที่สังเคราะห์นี้ ประกอบด้วย กลยุทธ์ 3 เสาหลัก ได้แก่ 1) การประเมินปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยและผู้ดูแล 2) การคัดสรรผู้ดูแลที่เหมาะสมในครอบครัวตามความสามารถและความพร้อม 3) การฝึกอบรมและสาธิตวิธีดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง พร้อมคู่มือความรู้ที่เข้าใจง่าย เพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นให้กับผู้ดูแล กลยุทธ์ดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในหน่วยบริการสุขภาพ เพื่อเตรียมผู้ดูแลก่อนส่งต่อผู้ป่วยกลับสู่ครอบครัวในชุมชน แนวทางนี้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากทุนทางสังคมเพื่อการดูแลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p>สรุป: พิมพ์เขียวรูปแบบการพยาบาลสุขภาพครอบครัว มข. ส่วนขยายนี้ จะช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลในครอบครัวและสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาล ชุมชน และครอบครัว รูปแบบนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวในวงกว้างมากขึ้น</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/271813 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูงตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2024-07-14T11:59:35+07:00 อนินธิตา ชำนาญ aninch@kku.ac.th สมปรารถนา ดาผา somdapa@kku.ac.th <p>การวิจัยความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เก็บข้อมูลจากพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 235 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน และการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา ส่วนที่ 2 และ ส่วนที่ 3 ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.98 และ 0.98 ตามลำดับ การตรวจสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.98 และ 0.99 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพของศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.87, SD=0.71) ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ได้แก่ การทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์กรแบบปรับตัวและเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถร่วมกันทำนายการเป็นองค์กรสมรรถนะสูง ตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ ร้อยละ 86.00 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?R^{2}" alt="equation" />=0.86) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278252 สารบัญ 2025-03-24T14:41:44+07:00 admin admin journal.nu@gmail.com 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278021 บทบรรณาธิการ 2025-03-15T15:57:50+07:00 admin admin journal.nu@gmail.com 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nah/article/view/278124 การสร้างพิมพ์เขียวแนวคิดนวัตกรรมทางการพยาบาลจากการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ 2025-03-19T10:20:16+07:00 ดารุณี จงอุดมการณ์ darjon@kku.ac.th <p>บทความรับเชิญนี้มุ่งนำเสนอแนวทาง วิธีการสังเคราะห์ชุดข้อมูลที่ได้จากข้อมูลเชิงคุณภาพหลายชุด จนได้ผลลัพธ์เป็นความรู้ใหม่ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสู่การวิจัยต่อ จนได้ผลลัพธ์เป็นความรู้ใหม่ในอนาคต เป็นชุดความรู้ที่นำไปสูการประยุกต์ใหม่ ๆ เช่น เป็นคำอธิบายปรากฏการณ์ใหม่ ร่างพิมพ์เขียวนวัตกรรม กรอบแนวคิดการปฏิบัติ รูปแบบการปฏิบัติ ทฤษฎีการปฏิบัติ นอกจากนี้ มีอีกคำที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ในการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่ได้กล่าวรายละเอียดในบทความนี้ การสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เริ่มต้นจากการ ตั้งคำถามต่อผลลัพธ์ที่สนใจ เพื่อนำเสนอในหัวข้อหนึ่ง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการค้นหาคำตอบนั้น ๆ ตามด้วยการสังเคราะห์ชุดข้อมูลเชิงคุณภาพหลายชุด ในการรวมข้อมูลหรือผลลัพธ์ของการศึกษาหลายรายการเพื่อตอบคำถามที่กำหนด เพื่อศึกษาต่อ จนได้ผลลัพธ์เป็นความรู้ใหม่ตามที่กล่าวมา</p> 2025-03-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ