Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r Mahidol R2R e-Jornal Mahidol University th-TH Mahidol R2R e-Journal 2392-5515 <p><img src="/public/site/images/modmur2r/GO-01.jpg"></p> การสำรวจภาวะสุขภาพของบุคลากร โรงพยาบาลรามาธิบดี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/270637 <p> การพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยเพื่อศึกษาภาวะสุขภาพ และปัจจัยทำนายความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของบุคลากร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่ได้รับการตรวจสุขภาพในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 จำนวน 5,429 ราย และ 5,440 ราย เก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลในโปรแกรม Electronic Medical Records (EMR) ICheck up ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล พฤติกรรมสุขภาพ ผลการตรวจร่างกาย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Fisher’s extract, Pearson’s Correlation Coefficient และ Logistic Regression ผลการศึกษาพบว่า ในปีงบประมาณ 2564 และ 2565 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 85.74 และร้อยละ 85) มีอายุเฉลี่ย 36.47 และ 36.75 ปี พฤติกรรมสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดีทุกด้าน ยกเว้น การออกกำลังกาย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีผลการตรวจดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ความดันโลหิตตัวบนและตัวล่าง อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ร้อยละ 50.36, ร้อยละ 51.73; ร้อยละ 58.89, ร้อยละ 62.06; ร้อยละ 94.47, ร้อยละ 93.55; ร้อยละ 95.10, ร้อยละ 94.89 ตามลำดับ)</p> <p> กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและเอกซเรย์ทรวงอกปกติ ยกเว้น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 98.30, 98.61) และพบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับเพศ อายุ ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ความดันโลหิตตัวบนและตัวล่าง น้ำตาลในเลือด ไขมันตัวดี ไขมันตัวร้าย ไตรกลีเซอไรด์ และอัตราการกรองไต (p &lt;.01 ) นอกจากนี้ ปัจจัยทำนายความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศชาย (OR=27.64, OR=70.61) อายุ (OR=3.05, OR=3.62) ความดันโลหิตตัวบน (OR=1.35, OR=1.38) ไขมันเอชดีแอล (OR=0.74, OR 0.73) และไขมันแอลดีแอล (OR=1.04, OR= 1.05) ผลการศึกษามีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรเพศชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ความดันโลหิตตัวบน และไขมันแอลดีแอลสูง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเชิงรุก ทั้งด้านการรับประทานอาหาร โดยลดอาหารหวาน มัน เค็ม ลดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และเพิ่มการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลดการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด</p> สุนันท์ วงศ์วิศวะกร วิมานแมน คงกำแพง แสงทอง ธีระทองคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 1 15 10.14456/jmu.2025.29 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการล้ม ในชุมชนสุริยกานต์ โรงพยาบาลสุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/267289 <p><strong> </strong>ปัญหาการหกล้มในผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่พบบ่อยเนื่องจากความเสื่อมถอยของร่างกายตามวัย โดยทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งมากและน้อย กรณีเลวร้ายที่สุดคือการเสียชีวิต การหกล้มในผู้สูงอายุป้องกันได้ด้วยการให้ความรู้และการเพิ่มสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรง <strong>วั</strong><strong>ตถุประสงค์</strong><strong> :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุต่อการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ<strong> รูปแบบและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and development) จากการให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชน โดยเป็นการศึกษาแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อน-หลัง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันการหกล้มในชุมชนสุริยกานต์ ระยะเวลาดำเนินการ มิถุนายน - สิงหาคม 2566 ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษานำร่องในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน รูปแบบกิจกรรม 1) ให้ความรู้ในการป้องกันการหกล้ม 2) สาธิตท่าออกกำลังกาย ได้แก่ การเพิ่มความแข็งแรงของรยางค์แขน-ขา การทรงตัวและการฝึกเดินในรูปแบบต่าง ๆ 3) จัดทำโปรแกรมการออกกำลังกายในรูปแบบแอปพลิเคชัน Line Official ( line OA) เพื่อให้ผู้สูงอายุได้นำไปฝึกต่อเนื่องที่บ้าน และ 4) ให้คำแนะนำและถามตอบปัญหาทางด้านสุขภาพผ่านระบบแอปพลิเคชัน Line Official (line OA) ใช้เวลาในการฝึก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ วัดผลโดยใช้การทดสอบความสามารถในการทรงตัว ได้แก่ การทดสอบ Five times sit to stand test (FTSST) และการทดสอบ Timed up and go test (TUG) วิเคราะห์สถิติโดยใช้ Wilcoxon test และการแจกแจงความถี่ร้อยละ</p> <p><strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบว่าผู้สูงอายุที่ได้เข้ารับการฝึกการออกกำลังกายตามโปรแกรมการป้องกันการหกล้มใช้เวลาเฉลี่ยในการทดสอบ FTSST ลดลงน้อยกว่า 12 วินาที และใช้เวลาเฉลี่ยในการทดสอบ TUG น้อยกว่า 13 วินาที โดยเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.01) <strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ดังนั้นในการศึกษาในครั้งนี้สรุปว่าผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการล้ม สามารถเป็นทางเลือกสำหรับให้ผู้สูงอายุในชุมชนได้ฝึกการทำกิจกรรมเพื่อป้องกันการหกล้มในชุมชน</p> สุวรรณี บุญพูนเลิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 16 25 10.14456/jmu.2025.30 การพัฒนาระบบการจัดตารางสอนแบบออนไลน์ด้วยแอปฟลิเคชัน Google Calendar https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/269152 <p> ในการวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ออกแบบและพัฒนาระบบการจัดตารางสอนออนไลน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Google Calendar วงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การวางแผน (Plan: P) การปฏิบัติตามแผน (Do: D) การตรวจสอบ (Check: C) และการปรับปรุงการดำเนินการ (Act: A) และหลักการลดความสูญเปล่าในการดำเนินงาน (Waste) 4 ประการ คือ การกำจัด (Eliminate: E) การรวมกัน (Combine: C) การจัดใหม่ (Rearrange: R) และการทำให้ง่ายขึ้น (Simplify: S) โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) การพัฒนาระบบการจัดตารางสอนออนไลน์โดยการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Google Calendar 2) การศึกษาประสิทธิภาพของการพัฒนาระบบการจัดตารางสอนออนไลน์ โดยการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน และ 3) การวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงานโดยใช้หลักการ ECRS การลดความสูญเปล่าในการดำเนินงาน (Waste)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าการพัฒนาระบบการจัดตารางสอนออนไลน์โดยการประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Google Calendar และการดำเนินงานตามหลักวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ทำให้ระบบการจัดตารางสอนมีประสิทธิภาพ เกิดการปรับปรุงและพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจ ซึ่งผลการประเมินระดับความพึงพอใจของผู้ใช้งานจากแบบประเมินออนไลน์ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.25, SD = 0.15) และเมื่อวิเคราะห์ขั้นตอนการปฏิบัติงานโดยใช้หลักการ ECRS <br /> การลดความสูญเปล่าในการดำเนินงาน (Waste) พบว่า ขั้นตอนลดลงจากเดิม 9 ขั้นตอน เหลือ 6 ขั้นตอน ลดลง 3 ขั้นตอน คิดเป็นร้อยละ 33.33 ระยะเวลาในการทำงานลดลง จากเดิม 4,200 นาที เหลือ 2,940 นาที ลดลง 1,260 นาที คิดเป็นร้อยละ 30.00 ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการจัดตารางสอนออนไลน์โดยประยุกต์ใช้แอปพลิเคชัน Google Calendar ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าระบบเดิม</p> ธันยาภรณ์ ไกรน้อย ศิรินภา โชติกมาศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 26 39 10.14456/jmu.2025.31 การประยุกต์ใช้ Google Apps Script ร่วมกับ Google Sheet กรณีศึกษา: ระบบคำของบประมาณของมหาวิทยาลัยขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/269388 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและประยุกต์ใช้ Google Apps Script สำหรับสร้างโฟลเดอร์ สร้างฟอร์ม ดำเนินการให้สิทธิ์ผู้รับผิดชอบบันทึกข้อมูล และส่งอีเมลแจ้งเตือนอัตโนมัติ ในการพัฒนาระบบคำของบประมาณผ่าน Google Sheet และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งาน และผู้ดูแลระบบคำของบประมาณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีการดำเนินการ 2 ลักษณะ คือ การพัฒนาระบบโดยอาศัยแนวคิดวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle : SDLC) และการวัดประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบและผู้ดูแลระบบ ใช้เครื่องมือในการวิจัย 2 ชนิด ประกอบด้วย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ ประชากร คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลคำของบประมาณจากส่วนงานในมหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 138 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) จำนวน 46 คน และใช้แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ดูแลระบบคำของบประมาณ ประชากร คือ กลุ่มผู้ดูแลระบบ จำนวน 3 คน เพื่อให้ผู้ดูแลระบบ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ</p> <p>สรุปผลการวิจัย พบว่า สามารถพัฒนาระบบฯ ได้ตามวัตถุประสงค์ และจากผลการวัดประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งาน พบว่ามีความพึงพอใจปัจจัยคุณภาพระบบ (System Quality) ระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.34 และ S.D.=0.69) ปัจจัยคุณภาพของการบริการ (Service Quality) ระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.46 และ S.D.=0.68) และปัจจัยความพึงพอใจของผู้ใช้งาน (User Satisfaction) ระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.46 และ S.D.=0.59) และความพึงพอใจของผู้ดูแลระบบ พบว่า มีความพึงพอใจต่อคำสั่งที่สร้างขึ้น โดยมีข้อเสนอแนะบางส่วนเพื่อปรับปรุงระบบฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งที่ควรพัฒนาในอนาคต คือ การพัฒนาคำสั่ง Google App Script ให้สามารถรองรับความต้องการอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่ได้วิจัยมาแล้ว</p> มัณฑนา ขาวพิมาย รุจิราลัย หิมะธนะสุวรรณ เนตรนภา ดวงจันทร์ เอกชัย คนคิด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 40 49 10.14456/jmu.2025.32 การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตาย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/272859 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตาย โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ 2) ประเมินประสิทธิภาพการใช้งานโปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตาย กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้โปรแกรม ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่นิติเวช และเจ้าหน้าที่เวชระเบียน จำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตายที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและแบบประเมินประสิทธิภาพการใช้งานโปรแกรม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และความเที่ยงโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า โปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตายที่พัฒนาขึ้น สามารถนำไปใช้งานได้ดี โดยบันทึกในระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ลดขั้นตอนในการออกเลขที่หนังสือโรงพยาบาล ลดขั้นตอนการบันทึกของเจ้าหน้าที่เทศบาล ข้อมูลหนังสือรับรองการตายสามารถส่งเข้าไปยังฐานข้อมูลกรมการปกครองโดยตรง จากเดิมที่ต้องผ่านจากโรงพยาบาล ไปยังสำนักงานเทศบาลเพื่อบันทึกข้อมูลไปยังกรมการปกครองอีกชั้นหนึ่ง ส่วนผลการประเมินประสิทธิภาพการใช้งานโปรแกรมประยุกต์การออกหนังสือรับรองการตาย ทั้งด้านประสิทธิภาพการใช้งาน ด้านการออกแบบระบบ ด้านการบริการ ด้านการนำไปใช้งาน อยู่ในระดับมากทุกด้าน (M=4.18, SD=0.70; M=4.14, SD=0.61; M=4.06, SD=0.67; M=4.20, SD=0.66 ตามลำดับ)</p> เฉลิมพงษ์ เรืองเกียรติกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 50 63 10.14456/jmu.2025.34 การพัฒนาแพลตฟอร์มผ่านเว็บแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ กำกับติดตามโครงการภายใต้แผนงบประมาณประจำปีของวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/267295 <p>การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาแพลตฟอร์มผ่านเว็บแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการกำกับติดตามโครงการภายใต้แผนงบประมาณประจำปีของวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มผ่านเว็บแอปพลิเคชันในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการกำกับติดตามโครงการภายใต้แผนงบประมาณประจำปีของวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น และศึกษาความพึงพอใจในการใช้งานแพลตฟอร์มผ่านเว็บแอปพลิเคชันในการกำกับติดตามโครงการภายใต้แผนงบประมาณประจำปีของวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างได้แก่ คณะผู้บริหาร และบุคลากรสายสนับสนุนสังกัดวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งหมด 26 คน ผลการศึกษาพบว่า ระบบที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพในการกำกับติดตามโครงการของวิทยาลัยฯ เป็นอย่างดี กล่าวคือ ทำให้ข้อมูลเป็นเอกภาพ มีความถูกต้อง จัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย สามารถเรียกดูข้อมูลรายการโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือยังไม่ได้ดำเนินการได้เป็นปัจจุบัน และข้อมูลการใช้จ่ายเงินงบประมาณของแต่ละโครงการ ผลการศึกษาความพึงพอใจจากผู้ใช้งานระบบ พบว่า ความพึงพอใจด้านการเข้าถึงระบบทำได้ง่ายและรวดเร็วอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.60, SD= 0.50) ด้านความเหมาะสมของรูปแบบรายงานอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.08, SD= 0.86) ด้านการนำไปใช้ประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการและผู้มีส่วนได้เสียอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.12, SD= 0.67) ด้านความพึงพอใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.20, SD= 0.76) และผลคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.25, SD= 0.69)</p> <p>ข้อเสนอแนะของงานวิจัยนี้ สามารถนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดระบบแพลตฟอร์มดังกล่าว เพื่อให้เชื่อมโยงกับระบบการเงิน บัญชี และพัสดุ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นระบบที่แยกส่วนกันอยู่ และให้มีการออกแบบระบบการเบิกจ่ายเงินแบบออนไลน์แทนการใช้กระดาษหรือการแนบเอกสารที่มีจำนวนมาก ๆ ให้อยู่ในระบบเดียวกันทั้งหมด</p> เฉลิมพงษ์ พงษ์ประชา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 64 78 10.14456/jmu.2025.33 การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการสถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/269700 <p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการสถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงปีงบประมาณ 2561-2565 โดยเก็บข้อมูลจากการใช้งานเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในการเรียนการสอนตามคู่มือปฏิบัติการในแต่ละห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ ห้องปฏิบัติการสรีรวิทยา ห้องปฏิบัติการชีวเคมี และห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา นำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ความคุ้มค่าที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้งานเครื่องมือวิทยาศาสตร์ โดยการคำนวณทางสถิติ หาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยและร้อยละ ด้วยโปรแกรม Microsoft Excel</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมดในห้องปฏิบัติการสถานวิทยาศาสตร์พรีคลินิก จำนวน 314 รายการ มีการใช้งานด้านการเรียนการสอนจริง 206 รายการ คิดเป็นร้อยละ 69.36 ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยามีการใช้งานเครื่องมือวิทยาศาสตร์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 81.43 แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่ามากที่สุดด้านจัดการห้องปฏิบัติการตามวัตถุประสงค์เฉพาะเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีอายุเกินเกณฑ์ของครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ 5 ปี ร้อยละ 93.69 และพบว่า กล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด มีอายุการใช้งาน 15 ปี ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนของนักศึกษาในกลุ่มศูนย์สุขศาสตร์ ใช้งบประมาณในการจัดซื้อและซ่อมบำรุง คิดเป็นอัตราเฉลี่ยรายจ่าย 69.03 บาทต่อคน จากข้อมูลที่ได้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ทำให้ทราบถึงความคุ้มประโยชน์ของการใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ในแต่ละห้องปฏิบัติการและนำมาใช้ในการบริหารจัดการงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากคณะแพทยศาสตร์ในจัดซื้อเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใหม่หรือทดแทนเครื่องเก่าที่มีอยู่รวมถึงการบำรุงรักษาเครื่องมือวิทยาศาสตร์ในแต่ละห้องปฏิบัติการต่อไป</p> สุนทรี สวนทับทิม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 79 88 10.14456/jmu.2025.35 การปรับปรุงกระบวนการรายงานผลตามแผนปฏิบัติการ ด้วยหลักการ ECRS คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/270355 <p> การวิจัยในครั้งนี้เพื่อปรับปรุงกระบวนการรายงานผลตามแผนปฏิบัติการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยรวบรวมและบันทึกกิจกรรมการรายงานผลตามแผนปฏิบัติการ คณะศิลปศาสตร์ ในตารางบันทึกข้อมูล กำหนดคุณค่าของกิจกรรมการปฏิบัติงาน วิเคราะห์ปัญหาด้วย 5W1H และวิเคราะห์ความสูญเปล่าด้วย 7 Waste จากนั้นนำเสนอแนวทางการปรับปรุงด้วยหลักการลดความสูญเปล่า ECRS ร่วมกับการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และสรุปผลการปรับปรุงกระบวนการทำงาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การปรับปรุงกระบวนการรายงานผลตามแผนปฏิบัติการ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพต่อการรายงาน 1 ครั้ง โดยหลังการปรับปรุงสามารถลดกิจกรรมการปฏิบัติงานลงจากเดิม 29 กิจกรรม คงเหลือ 18 กิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 37.93 สามารถลดระยะเวลาการทำงานลงจากเดิม 1,050 นาที คงเหลือ 550 นาที คิดเป็นร้อยละ 47.62 สามารถลดจำนวนการใช้กระดาษลงจากเดิม 164 แผ่น คงเหลือ 3 แผ่น คิดเป็นร้อยละ 98.17 และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้กระดาษลงจากเดิม 77.08 บาท คงเหลือ 1.41 บาท คิดเป็นร้อยละ 98.17</p> <p> ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการปรับปรุงกระบวนการทำงานด้วยหลักการ ECRS ร่วมกับการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน สามารถลดกิจกรรมการปฏิบัติงาน ลดระยะเวลาการทำงาน ลดการใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่าย สามารถนำไปสู่การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการรายงานผลตามแผนปฏิบัติการ และขยายผลแนวทางการปรับปรุงกระบวนการทำงาน ไปยังกระบวนการทำงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรต่อไป</p> วรรณวิมล วงศ์ถาวร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 89 101 10.14456/jmu.2025.36 การวิเคราะห์ผลการจัดอบรมความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/270846 <p> การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลของแต่ละปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินโครงการและเสนอแนวทางในการจัดอบรมความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยศึกษาข้อมูลจากผลการจัดอบรมในช่วงปีงบประมาณ 2559 ­ 2563 และปีงบประมาณ 2566 ทำการแยกแยะปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอบรมโดยใช้แผนผังก้างปลา บันทึกและวิเคราะห์ผลของแต่ละปัจจัยด้วยสถิติเชิงพรรณนาโดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอบรม มี 8 ปัจจัย คือ วิทยากร ผู้เข้าอบรม หัวข้อการอบรม รูปแบบการจัดอบรม ระยะเวลาการอบรม งบประมาณ การวัดและประเมินผล และสภาพแวดล้อม โดยปัจจัยวิทยากร ผลประเมินความพึงพอใจในภาพรวมระดับดีมาก คะแนนเฉลี่ย 4.55±0.18 คะแนน ปัจจัยผู้เข้าอบรม กำหนดให้นักศึกษาทุกคนที่ใช้ห้องปฏิบัติการเข้าอบรม ซึ่งต่อไปผู้ที่เคยผ่านการอบรมหากสอบผ่านเกณฑ์ไม่ต้องเข้าอบรมแต่ใช้วิธีสังเกตพฤติกรรมในห้องปฏิบัติการ ปัจจัยหัวข้อการอบรม 6 หัวข้อ มีคะแนนประเมินความรู้ก่อนการอบรมในแต่ละหัวข้อในระดับดี คะแนนประเมิน 3.3-3.6 คะแนน และมีคะแนนประเมินความรู้หลังการอบรมในระดับดีมาก คะแนนประเมิน 4.5-4.6 คะแนน ปัจจัยรูปแบบการจัดอบรมเน้นการบรรยายและเปิดวีดีโอประกอบการบรรยายทั้งการจัดแบบออนไซต์และแบบออนไลน์ ควรเพิ่มการสาธิตและฝึกปฏิบัติจะทำให้ผู้เข้าอบรมมีการเรียนรู้แบบสนุกสนานและเข้าใจได้ง่าย ปัจจัยระยะเวลาการอบรม มีผลประเมินในระดับดีมาก คะแนนเฉลี่ย 4.33±0.23 คะแนน ปัจจัยด้านงบประมาณขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัด ปัจจัยการวัดและประเมินผล ควรมีแบบทดสอบทั้งก่อนอบรมและหลังอบรม เน้นความเข้าใจมากกว่าความจำ และปัจจัยสภาพแวดล้อมมีผลประเมินในระดับดีมาก คะแนนประเมินเฉลี่ยห้องบรรยาย โสตทัศนูปกรณ์ 4.40±0.42 คะแนน อาหารและเครื่องดื่ม 4.49±0.21 คะแนน</p> นุชรีย์ ชมเชย เพชรดาพัชญ์ บุญสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 102 116 10.14456/jmu.2025.37 การวิเคราะห์โครงการวิจัยทางคลินิกที่ได้รับทุนจากแหล่งทุนภายนอก ประเภทการรับจ้างวิจัยในงบประมาณปี 2562-2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/272079 <p> กองบริหารงานวิจัย สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับมอบหมายจากมหาวิทยาลัยมหิดล ในการเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการวิจัยทางคลินิก ตั้งแต่งบประมาณปี 2562 ถึงปัจจุบัน โดยที่ผ่านมายังไม่มีการวิเคราะห์โครงการวิจัยทางคลินิกดังกล่าว ดังนั้น ผู้จัดทำจึงรวบรวม จัดหมวดหมู่ และจำแนกรายละเอียดโครงการวิจัยทางคลินิก เพื่อสรุปให้เห็นภาพรวมของโครงการวิจัยทางคลินิกที่ได้ดำเนินการไปแล้วและสรุปแนวทางในการพัฒนาโครงการวิจัยทางคลินิกในอนาคต</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า โครงการวิจัยทางคลินิกที่ได้รับทุนจากแหล่งทุนภายนอกในงบประมาณปี 2562-2566 มีจำนวน 710 โครงการ ซึ่งเป็นลักษณะการรับจ้างวิจัยจำนวน 629 โครงการ โดยการจ้างวิจัยแบ่งได้ 8 ประเภท และเรียงลำดับจำนวนจากมากไปน้อย ดังนี้ การวิจัยด้านยา 452 โครงการ, การวิจัยด้านวัคซีน 48 โครงการ, การวิจัยด้านเครื่องมือแพทย์ 36 โครงการ, การวิจัยด้านแนวทางเวชปฏิบัติ 27 โครงการ, การจัดทำทะเบียนข้อมูล 26 โครงการ, การทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ 24 โครงการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหาร/เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ/ความงาม , การวิจัยด้านอื่น ๆ 10 โครงการ และการวิจัยด้านการแพทย์แม่นยำ 6 โครงการ การวิจัยสามประเภทแรกเป็นการวิจัยเกี่ยวข้องกับโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญในการตายในประเทศไทย ซึ่งระบุอยู่ในรายงานสถิติการสาธารณสุข พ.ศ. 2565 และแหล่งทุนมีวัตถุประสงค์หลักในการจ้างวิจัย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขึ้นทะเบียนและจำหน่ายออกสู่ท้องตลาด</p> ชนินาถ สุริยะลังกา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 117 130 10.14456/jmu.2025.38 การส่งเสริมการสร้างงานวิจัย R2R ของบุคลากร สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/252071 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้บุคลากรสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) ให้ความสำคัญทำงานวิจัยจากงานวิจัยที่พัฒนาจากงานประจำ (Routine to Research: R2R) และเพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการส่งเสริมการทำงานวิจัย R2R กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นบุคลากร สคอ. ที่เป็นข้าราชการและพนักงานราชการ จำนวน 43 คน</p> <p> การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะหลักคือ ระยะที่ 1 คือ การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้บุคลากร สคอ. ให้ความสำคัญทำงานวิจัย R2R เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาเครื่องมือและกิจกรรมในการส่งเสริมการสร้างงานวิจัยภายในหน่วยงาน 2 ประการ ได้แก่ การจัดทำคู่มือแนวทางการส่งเสริมการสร้างงานวิจัย R2R ของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ระยะที่ 2 คือ การประเมินความพึงพอใจต่อการส่งเสริมการทำงานวิจัย R2R วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาณการทดสอบอันดับเครื่องหมายของวิลคอกซัน และการทดสอบของฟิสเชอร์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ระยะที่ 1 เหตุผลสำคัญที่ทำให้สนใจทำงานวิจัยคือ ความสนใจใคร่รู้ ความต้องการทำผลงานเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ และตระหนักว่าเป็นภาระหน้าที่ (ร้อยละ 53.5, 34.9 และ 32.6 ตามลำดับ) แต่เหตุผลที่จะไม่ทำงานวิจัยเพราะมีภาระงานมาก ขาดความรู้และประสบการณ์ทำวิจัย และมีขั้นตอนในการทำงานวิจัยที่ยุ่งยาก (ร้อยละ 48.8, 48.8 และ 39.5 ตามลำดับ) และปัจจัยที่ส่งผลให้บุคลากร สคอ. ให้ความสำคัญทำงานวิจัย R2R มีหลากหลายด้านทั้งปัจจัยและแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการทำงานวิจัย และปัจจัยที่เอื้อต่อการทำงานวิจัย ซึ่งมีความเห็นด้วยในระดับปานกลาง ในระยะที่ 2 จากข้อมูลที่ได้นำมาสร้างเป็นเครื่องมือและกิจกรรมส่งเสริมการสร้างงานวิจัย R2R ของ สคอ. ผลการศึกษาที่ได้กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจในระดับมากในลักษณะรูปเล่ม การใช้ภาษา และเนื้อหาสาระของคู่มือแนวทางการส่งเสริมการสร้างงานวิจัย R2R ของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมากที่สุดในเรื่องของความรู้ความสามารถของวิทยากรที่บรรยายและฝึกปฏิบัติ ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการทำงานวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทำให้สามารถเพิ่มโครงร่างงานวิจัยได้ถึง 12 เรื่อง อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการนำความรู้จากการได้อ่านได้ใช้คู่มือแนวทางฯ ไปใช้จริง การร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพฯ กับโอกาสในการเป็นผู้วิจัยหลักพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน</p> อภิชาติ โชติชูศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 131 145 10.14456/jmu.2025.39 แนวทางการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนางานวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/269676 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันในการพัฒนางานวิจัย 2) ศึกษาแรงจูงใจในการพัฒนางานวิจัย และ 3) ศึกษาแนวทางในการสร้างแรงจูงใจในการทำวิจัย ของบุคลากรสายสนับสนุน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ บุคลากรสายสนับสนุน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จํานวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์กลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการพัฒนางานวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุน มีความรู้ความสามารถในการทำวิจัย ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 2.76, S.D. = 1.14) มีการสนับสนุนการทำวิจัย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.03, S.D. = 1.13) และมีแรงจูงใจในการทำวิจัย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 3.54, S.D. = 1.09) 2) แรงจูงใจในการพัฒนางานวิจัยของบุคลากรสายสนับสนุน นั้น ต้องมีนโยบายสนับสนุนการทำวิจัย กระตุ้นให้บุคลากรสามารถพัฒนางานวิจัยให้สำเร็จตามแนวทางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ต้องสนับสนุนงบประมาณและสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัย โดยบุคลากรนำผลงานวิจัยมาประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานในแต่ละวงรอบได้ และ 3) แนวทางในการสร้างแรงจูงใจในการทำวิจัย ประกอบด้วย (1) จัดให้มีพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษางานวิจัย (2) จัดโครงการ/กิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนให้บุคลากรทำงานวิจัย เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอตำแหน่งงานที่สูงขึ้น (3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรทำวิจัยเป็นทีม (4) สร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากรที่ทำงานวิจัยสำเร็จ โดยการยกย่องชมเชย หรือให้รางวัลตอบแทน และ (5) จัดสรรทุนสนับสนุนการทำวิจัยให้บุคลากรเพียงพอกับการทำวิจัย</p> อังคณา แทนออมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 146 160 10.14456/jmu.2025.40 การศึกษาความคาดหวังของผู้ปกครองและความพึงพอใจของนิสิตปัจจุบัน ในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/271513 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้ปกครองและความพึงพอใจของนิสิตปัจจุบันในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร</p> <p> ผลการศึกษาความคาดหวังของผู้ปกครองพบว่า มีความคาดหวังในระดับมากในทุกด้าน ได้แก่ ความคาดหวังต่อการเรียนการสอน (ค่าเฉลี่ย 3.77±0.84) ความคาดหวังต่อผู้สอน (ค่าเฉลี่ย 4.07±0.88) ความคาดหวังต่อสวัสดิการ (ค่าเฉลี่ย 3.99±0.89) และความคาดหวังหลังสำเร็จการศึกษา (ค่าเฉลี่ย 4.10±0.95) การศึกษาความพึงพอใจของนิสิตปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในแต่ละด้านอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจในระดับปานกลาง ได้แก่ ความเหมาะสมของรายวิชาเฉพาะเลือก การศึกษาดูงานนอกสถานที่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทุนการศึกษา หรือแหล่งทุนการศึกษาให้แก่นิสิต บริการรถรับ-ส่ง ในกรณีไม่มีหอพักในวิทยาเขต สถานที่และอุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม นันทนาการ หรือชมรม กิจกรรมสร้างรายได้แก่นิสิตระหว่างเรียน</p> <p> จากผลการศึกษาข้างต้น ทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากผู้มีส่วนได้ส่วยเสียของหลักสูตรโดยตรง ซึ่งทางหลักสูตรนำประเด็นต่างๆ มาพัฒนาในการจัดทำหลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับโครงสร้างหลักสูตร และการปรับรายวิชาเฉพาะเลือกที่มีความทันสมัย เปิดโอกาสให้นิสิตได้เลือกเรียนในรายวิชาที่สนใจมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดทำแผนการดำเนินงานของหลักสูตรเพื่อออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพของนิสิตให้ตรงตามความประสงค์ของผู้เรียน และความคาดหวังของผู้ปกครองต่อไป</p> กรกนก หาญมนตรี สาธินี ศิริวัฒน์ นริฏา ฟักแก้ว นิรวรรณ แสนโพธิ์ รพีพรรณ ยงยอด ไกรวิชญ์ เรืองฤาหาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 161 175 10.14456/jmu.2025.41 ความแตกต่างระหว่างหลักสูตรที่ศึกษาของนิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกงาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/268577 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบของการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกงานของนิสิต คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามหลักสูตรที่ศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากนิสิตชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 489 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกงานจำแนกตามหลักสูตรที่นิสิตศึกษาด้วยสถิติความแปรปรวนพหุคูณ (MANOVA) </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นิสิตส่วนใหญ่เลือกฝึกงานในองค์กรภาคเอกชนมากที่สุดร้อยละ 52.352 ความคิดเห็นของนิสิตทุกหลักสูตร ตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกงานจากองค์ประกอบด้านการรับรู้ภาพลักษณ์ ด้านแรงจูงใจ ด้านความคาดหวังต่ออาชีพในอนาคต ด้านบุคลิกภาพและการพัฒนาตนเองอยู่ในระดับมาก โดยระดับความคิดเห็นด้านการรับรู้ภาพลักษณ์ของสถานประกอบการ มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.187-4.554 ด้านแรงจูงใจต่อสถานประกอบการ มีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.128-4.60 ด้าน ความคาดหวังต่ออาชีพในอนาคต มีค่าเฉลี่ยอยู่ ระหว่าง 4.000-4.362 ด้านบุคลิกภาพและการพัฒนาตนเองมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.218-4.585 แต่เมื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกงานจำแนกตามหลักสูตรที่ศึกษา พบว่าองค์ประกอบด้านการรับรู้ภาพลักษณ์ และด้านแรงจูงใจมีความแตกต่างกันตามหลักสูตรที่ศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ขณะที่องค์ประกอบด้านความคาดหวังต่ออาชีพในอนาคต ส่วนด้านบุคลิกภาพและการพัฒนาตนเอง ไม่แตกต่างกัน</p> วรรณประภา เอี่ยมฤทธิ์ พุลพงศ์ สุขสว่าง พรทิพย์ พันธ์ยุรา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-11 2025-11-11 12 3 176 186 10.14456/jmu.2025.42