Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r Mahidol R2R e-Jornal Mahidol University th-TH Mahidol R2R e-Journal 2392-5515 <p><img src="/public/site/images/modmur2r/GO-01.jpg"></p> การศึกษาตัวทำละลายที่เหมาะสมสำหรับการละลายไทมอลเพื่อใช้ในทางทันตกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/255972 <p><strong> </strong>ไทมอลมีฤทธิ์ต้านจุลชีพอย่างกว้างขวาง จากคุณสมบัติทางชีวภาพดังกล่าว คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงนำมาเตรียมเป็นผลิตภัณฑ์ไทมอลความเข้มข้น 0.1% (น้ำหนัก/ปริมาตร) เพื่อเก็บรักษาตัวอย่างฟันสำหรับงานวิจัย เนื่องจากไทมอลละลายน้ำได้ค่อนข้างน้อย การเตรียมผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงใช้เวลานาน ทำให้เกิดความขาดแคลนผลิตภัณฑ์ในบางช่วงเวลา งานวิจัยนี้จึงมุ่งที่จะลดระยะเวลาสำหรับการเตรียมผลิตภัณฑ์ โดยยังคงคุณสมบัติและตัวยาสำคัญ รวมถึงค้นหาความเข้มข้นที่เหมาะสมของตัวทำละลายสำหรับไทมอล และความเข้มข้นของไทมอลภายหลังการละลาย</p> <p><strong> </strong>การศึกษานี้วิเคราะห์ระยะเวลาสำหรับเตรียมสารละลาย 0.1% ไทมอล และปริมาณที่น้อยที่สุดของ EtOH (55%, 75%, 95% และ absolute) ซึ่งใช้เป็นตัวทำละลายสำหรับไทมอล และใช้เครื่อง High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เพื่อหาปริมาณของสารประกอบสำคัญของสารละลายไทมอลปริมาตรน้อยที่สุดสำหรับ EtOH ณ ความเข้มข้นต่าง ๆ ที่ใช้ละลายไทมอลได้อย่างสมบูรณ์ คือ 3 มล. (ต่อปริมาตรรวม 100 มล.) นอกจากนี้การวิเคราะห์ด้วย HPLC แสดงให้เห็นว่า ปริมาณไทมอลในสารละลายที่เตรียมไว้ คือ 0.079%, 0.089%, 0.087%, 0.087% และ 0.086% ของ DIW, 55%, 75%, 95% และ Absolute alcohol ตามลำดับ</p> <p><strong> </strong>สรุปผลงานวิจัย คือ สารละลาย 0.1% ไทมอลที่เตรียมจาก EtOH ความเข้มข้นต่าง ๆ มีปริมาณของไทมอลสูงกว่าแบบที่เตรียมจาก DIW สูตรเตรียมสารละลายไทมอลนี้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอด เพื่อนำไปใช้ในอนาคตได้</p> ธนัฏฐา วุตติหาสะ ศรุต ไทยรัตน์ พีรพงษ์ ตัวงาม สุภาวิดา ขุนลึก Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 1 12 10.14456/jmu.2024.25 สถานการณ์การดำเนินงานและความต้องการการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันการหกล้ม: กรณีศึกษาเทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/260151 <p> ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย ซึ่งคาดว่าสัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และพบว่าการหกล้มเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจ การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาสถานการณ์ปัญหาและความต้องการการดูแลผู้สูงอายุเพื่อเป็นข้อมูลในการป้องกันการหกล้มในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างในการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม ในอาสาสมัครจำนวน 79 คน เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าการคัดกรองความเสี่ยงต่อการหกล้มยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ อีกทั้งยังไม่มีการส่งเสริมหรือป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุในชุมชน สำหรับความต้องการในการดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ การประเมินความเสี่ยงด้านการคัดกรองต่อการหกล้ม การส่งเสริมในการให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักต่อการเสี่ยงหกล้ม รวมทั้งการสร้างแกนนำชุมชนในการดูแล ส่งเสริม และป้องกันการหกล้ม ดังนั้น การมีส่วนร่วมทั้งทีมสุขภาพและชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งการให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุ ญาติ และผู้ดูแล เกี่ยวกับวิธีการป้องกันการหกล้ม ส่งเสริมสมรรถนะในการดูแลตนเองในการป้องกันการหกล้ม พร้อมทั้งการให้คำแนะนำด้านที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสมแก่ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงในการหกล้มทั้งที่บ้านและในชุมชนถือว่าเป็นบทบาทสำคัญ</p> จิรวัฒน์ ทิววัฒน์ปกรณ์ ชาทัส สวัสดิกุล กนกชล พูนธีรากร ทวีศักดิ์ วงศ์กีรติเมธาวี สินีนาฎ สุขอุบล จิรวัฒน์ วัฒนปัญญาเวชช์ นิตยา ทองขจร Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 12 24 10.14456/jmu.2024.26 เปรียบเทียบการทดสอบน้ำมันและไขมันในน้ำเสียสังเคราะห์ ระหว่างการสกัดด้วยกรวยแยกกับการสกัดด้วยซอกฮ์เลต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261010 <p> การพัฒนางานประจำเป็นงานวิจัย (Routine to Research) ในรูปแบบการวิจัยเชิงทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบน้ำมันและไขมันในน้ำด้วยวิธีวิธีการสกัดด้วยกรวยแยกและวิธีการสกัดด้วยซอกฮ์เลต ผู้วิจัยทดลองด้วยตัวอย่างน้ำเสียสังเคราะห์ที่มีน้ำมันเข้มข้น 20 mg/L จำนวน 3 ซ้ำ ทดสอบน้ำมันและไขมันด้วยวิธีห้องปฏิบัติการที่ประยุกต์จากคู่มือ Standard Methods for the Examination of Water and Wastewater 22<sup>nd</sup> edition และคู่มือมาตรฐานวิธีทดสอบมลพิษทางน้ำของกรมโรงงานอุตสาหกรรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ความเข้มข้นน้ำมันในตัวอย่างน้ำเสียสังเคราะห์ระหว่างวิธีการสกัดด้วยซอกฮ์เลตกับการสกัดด้วยกรวยแยกมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 20.00±0.01 mg/L และ 13.73±0.92 mg/L ตามลำดับ วิธีการสกัดน้ำมันและไขมันละลายน้ำด้วยซอกฮ์เลตให้ผลการทดสอบที่ดีกว่าวิธีสกัดด้วยกรวยแยกในด้านคุณภาพและความแม่นยำ ได้แก่ ค่า Relative Difference ไม่เกิน 10% และ ค่า %recovery อยู่ในช่วง 80-120% จึงควรพิจารณาเลือกใช้วิธีการสกัดน้ำมันและไขมันละลายน้ำด้วยซอกฮ์เลตในการให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำที่มีน้ำมันและไขมันปนเปื้อนต่อไป</p> สิทธิชัย ใจขาน สุภาณี จันทร์ศิริ สมเจตน์ ทองดำรงธรรม อนุสรา สารักษ์ ไพเราะ แสนหวัง Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 25 35 10.14456/jmu.2024.27 การพัฒนาเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport สำหรับยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าสอบ TCAS รอบที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2565 ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261247 <p><strong> </strong>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความต้องการและความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport 2) เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport สำหรับยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าสอบ TCAS รอบที่ 2 และ 3) เพื่อศึกษาคุณภาพของเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport สำหรับยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าสอบ TCAS รอบที่ 2 โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย เว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport แบบประเมินคุณภาพเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport และแบบประเมินความต้องการและความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ จำนวน 364 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในการพัฒนาเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport สำหรับยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าสอบ TCAS รอบที่ 2 พบว่า นักเรียนที่เข้าสอบสามารถดาวน์โหลดบัตร e-Passport เพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบหมายเลขห้องสอบ เลขที่นั่งสอบ วันที่สอบ อาคารที่จัดสอบ และนำไปใช้ยืนยันตัวตนในการเข้าห้องสอบตามอาคารเรียนต่าง ๆ ที่ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กำหนดเป็นสถานที่จัดสอบได้ ส่วนในด้านการบริหารจัดการจำนวนผู้เข้าสอบ TCAS ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. สามารถแก้ไขความแออัด ณ บริเวณ จุดยืนยันตัวตนผู้มีสิทธิเข้าสอบ TCAS ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากนักเรียนที่เข้าสอบ จะสามารถเข้าอาคารสถานที่จัดสอบได้ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรเท่านั้น ซึ่งนักเรียนที่เข้าสอบในแต่ละห้องสอบ จะเข้าอาคารเรียนในเวลาที่แตกต่างกัน</p> <p> โดยผลการวิเคราะห์ความต้องการและความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport พบว่า มีความต้องการและความพึงพอใจในการใช้งานบัตร e-Passport อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.79, SD = 0.39) ผลการวิเคราะห์คุณภาพเว็บไซต์ระบบรับบัตร e-Passport พบว่า คุณภาพทางด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.65, SD = 0.35) คุณภาพทางด้านเทคนิคการผลิตสื่ออยู่ในระดับดีมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.55, SD = 0.45)</p> ชาคริต เทียนทอง Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 36 48 10.14456/jmu.2024.28 การพัฒนาระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/263443 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของบุคลากร และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน กับความพึงพอใจต่อระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา คณะผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลและปัญหาจากสภาพปัจจุบันเพื่อนำไปสร้างระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ โดยนำเทคโนโลยีมาพัฒนาและใช้งานในระบบออนไลน์ผ่านเว็บเพจของคณะทันตแพทยศาสตร์ และระบบคิวอาร์โค้ด นำระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ที่ได้มาประเมินความพึงพอใจโดยบุคลากร คณะทันตแพทยศาสตร์ โดยใช้แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอด้วย ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประเมินความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.46, SD = 0.02)</p> <p> ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน กับความพึงพอใจต่อระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์จากการศึกษา พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน กับความพึงพอใจต่อระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ ระบบการแจ้งซ่อมออนไลน์ ที่พัฒนาขึ้นมีความสะดวกในการใช้งาน สามารถลดขั้นตอนการทำงาน เนื่องจากมีความสะดวกในการจัดเก็บเป็นไฟล์เอกสาร ลดเวลาของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการแจ้งซ่อม ประมวลผลและสรุปผลได้ถูกต้องแม่นยำเป็นตัวเลขและกราฟ ข้อมูลที่จัดเก็บสามารถใช้ในรูปแบบออนไลน์กับคอมพิวเตอร์และผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงมีประโยชน์เหมาะสมที่จะนำมาใช้ให้บริการ</p> วสุ สุริยะ ปภาอร เขียวสีมา พรพัฒน์ ธีรโสภณ Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 49 62 10.14456/jmu.2024.29 การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจพฤติกรรมบริการแบบเอื้ออาทรผู้สูงอายุ ของบุคลากรโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/263745 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจพฤติกรรมบริการแบบเอื้ออาทรผู้สูงอายุของบุคลากรของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามประเภทของกลุ่มปฏิบัติงาน บุคลากรสายสนับสนุน ประกอบด้วย กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล ได้แก่ ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานการแพทย์ พนักงานเวรเปล และกลุ่มเจ้าหน้าที่บริการโรงพยาบาล จำนวน 478 คน ระหว่าง กุมภาพันธ์ 2564 ถึง เมษายน 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป และแบบประเมินพฤติกรรมการบริการเอื้ออาทรผู้สูงอายุตามกลุ่มปฏิบัติงาน 4 ฉบับมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับเท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นอยู่ในช่วง 0.88-0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 74.5) อายุระหว่าง 20 -30 ปี (ร้อยละ 31.2) ประสบการณ์ทำงานที่โรงพยาบาล 1-5 ปี (ร้อยละ 40.2) มีประสบการณ์ดูแลผู้สูงอายุ (ร้อยละ 65.9) ไม่เคยผ่านการอบรมการดูแลผู้สูงอายุ (ร้อยละ 79.5) มีความเชื่อมั่นในการบริการแบบเอื้ออาทรผู้สูงอายุของตนเองทั้งระดับมากและระดับมากที่สุด (ร้อยละ 35.4 และ 35.4) โดยมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมบริการแบบเอื้ออาทรผู้สูงอายุของบุคลากรทั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล และกลุ่มเจ้าหน้าที่บริการโรงพยาบาลในภาพรวมอยู่ในระดับบ่อยครั้ง โดยเรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปน้อย ผู้ช่วยพยาบาล (M = 4.38, SD =0.53) พนักงานเวรแปล (M = 4.34, SD =0.43) พนักงานการแพทย์ (M = 4.20, SD =0.52) และเจ้าหน้าที่บริการโรงพยาบาล (M = 4.04, SD =0.82) ตามลำดับ</p> <p> บทสรุป พฤติกรรมบริการแบบเอื้ออาทรผู้สูงอายุตามการรับรู้ของบุคลากร พบว่ามากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผลการศึกษานี้ควรใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะการบริการเอื้ออาทรผู้สูงอายุของบุคลากรของโรงพยาบาลต่อไป</p> <p><strong> </strong></p> สมสมัย ศรีประไหม มยุรี ลี่ทองอิน อุไรวรรณ ใจจังหรีด กนกกาญจน์ กองพิธี เฉลิมชาติ แก้วอุดม สุภาภรณ์ รูปหล่อ Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 63 74 10.14456/jmu.2024.30 การประยุกต์ใช้แนวคิดลีนในการบริหารกระบวนงานการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 สาขากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/258887 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนงานการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 ของส่วนงานสนับสนุน การจัดการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดลีน เพื่อกำจัดความสูญเปล่า เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพของระบบงาน คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเก็บข้อมูลประกอบด้วย 1) กระบวนงานการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 2) แบบฟอร์มการวิเคราะห์ความสูญเปล่าด้วยแนวคิดลีน แบบ DOWNTIME 3) แบบฟอร์มการวิเคราะห์คุณค่ากิจกรรมของกระบวนการ 4) แบบบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ผลโดยเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกระบวนงานที่พัฒนาใหม่และกระบวนงานเดิม โดยใช้สถิติเชิงบรรยาย การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ นำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนา ใช้ตารางโดยการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย</p> <p> จากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ขั้นตอนการจัดทำและระยะเวลารอคอยแก้ไขเอกสารตั้งแต่กิจกรรมแรกถึงกิจกรรมสุดท้ายใช้ระยะเวลานาน เกิดความสูญเปล่าทั้งค่าใช้จ่าย ระยะเวลา ระยะทาง ในการทำกิจกรรมที่ซ้ำซ้อน เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนงาน โดยการใช้แนวคิดและเครื่องมือของลีนร่วมกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ รวมทั้งเพิ่มขั้นตอนการสื่อสาร ให้มีประสิทธิภาพระหว่างบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบงาน ส่งผลให้กระบวนงานการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 ที่พัฒนาใหม่นั้น ลดจำนวนกิจกรรมจาก 23 กิจกรรมเหลือ 17 กิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 26.09 ลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานต่อรายวิชา จาก 42.5 ชั่วโมงต่อรายวิชาเหลือ 35.5 ชั่วโมงต่อรายวิชา คิดเป็นร้อยละ 16.47 ค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารและระยะทางในกระบวนงานลดลงร้อยละ 100</p> <p> ซี่งผลจากการวิจัยสามารถนำมาเป็นแนวปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติงานการจัดทำ มคอ.3 - มคอ.6 ของคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และนำไปประยุกต์ใช้กับหลักสูตรอื่น ๆ ทั้งในระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษาได้</p> อนุศักดิ์ สวัสดี Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 75 85 10.14456/jmu.2024.31 ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/263982 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยเปรียบเทียบความคิดเห็นของนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลาตามแผนการศึกษาและนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาเกินระยะเวลาแผนการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจจากผู้สำเร็จการศึกษาปีการศึกษา 2560 – 2564 จำนวน 205 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคำนวณค่าทางสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาของการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโท) เป็นปัจจัยที่เป็นปัญหาในระดับมาก ทั้ง 5 ด้าน โดยเรียงตามลำดับมากที่สุดไปถึงน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์และความสะดวกในการติดต่อหรือช่องทางการติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.49) รองลงมาด้านนักศึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.45) ด้านการดำเนินการทำวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์และการเผยแพร่ผลงานของนักศึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.36) ด้านการบริหารจัดการหลักสูตร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.26) และด้านการบริการแหล่งค้นคว้าทางวิชาการ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.16) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลาตามแผนการศึกษาและเกินแผนการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยทางสถิติระดับ 0.05 ประกอบด้วย 1) ประสบการณ์ในการทำวิจัยก่อนเข้าศึกษาระดับปริญญาโท 2) ด้านการบริการแหล่งค้นคว้าทางวิชาการ 3) ด้านการทำวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์และการเผยแพร่ผลงานของนักศึกษา</p> <p> ผลจากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบระบบการสนับสนุนและติดตามความก้าวหน้าของนักศึกษาเพื่อให้สำเร็จการศึกษาตามแผนการศึกษาของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา</p> <p><strong> </strong></p> นิภา ภิญโญเสริมรัตน์ กชพร บุญก่อสร้าง นงนุช พันธุตา ฉัตรชัย เหมือนประสาท Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 86 100 10.14456/jmu.2024.32 การวิเคราะห์ผลการประเมินตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdPEx) ประจำปีการศึกษา 2564 กรณีศึกษา : คณะหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261125 <p> การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษา 1) ผลการศึกษาวิเคราะห์ผลคะแนนการดำเนินงานด้านกระบวนการและผลลัพธ์ ทั้ง 7 หมวด ประจำปีการศึกษา 2564 ของคณะหน่วยงานที่จัดการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พบว่า มีคณะหน่วยงานที่ได้คะแนนผลประเมินภาพรวม (หมวด 1-7) สูงสุด ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ 175 คะแนน คณะเทคโนโลยี 159 คะแนน คณะวิทยาการสารสนเทศ 145 คะแนน คณะเภสัชศาสตร์ 143 คะแนน และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ 136 คะแนน มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 128 คะแนน และมีระดับคุณภาพอยู่ในระดับ Band 1 2) ผลการศึกษาวิเคราะห์การดำเนินงานจุดแข็งและการปรับปรุงด้านกระบวนการและผลลัพธ์จากผลประเมินด้วยเกณฑ์ EdPEx พบว่า 2.1) จุดแข็งด้านกระบวนการและด้านผลลัพธ์ คณะหน่วยงานเริ่มแสดงให้เห็นถึงการนำองค์กรที่เป็นระบบ มีกำหนดวิสัยทัศน์และค่านิยมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยและรองรับการเปลี่ยนแปลง แสดงถึงความมุ่งมั่นในการนำเกณฑ์ EdPEx ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ 2.2) การปรับปรุงด้านกระบวนการและผลลัพธ์ คณะหน่วยงานควรแสดงการดำเนินงานของกระบวนการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกันในทิศทางเดียวกัน เช่น การวางระบบการติดตามผลการดำเนินงานโดยวางระบบลำดับชั้นของการติดตามผลความถี่ของการติดตามที่ประกอบไปด้วยตัววัดผลที่ครอบคลุมทุกพันธกิจ (3) การศึกษาแนวทางการกำหนดแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของคณะหน่วยงานในการยกระดับผลคะแนนการประเมินประกันคุณภาพเพื่อการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (EdpEx) พบว่า คณะหน่วยงานควรมีการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาขององค์กร ใน 4 รูปแบบ คือ แบบที่ 1: แผนรวม (Master Plan) แบบที่ 2: แผนเฉพาะด้าน (Specific Area Plan) แบบที่ 3: แผนวัตถุประสงค์เดียว (Single Purpose Plan) และ แบบที่ 4: แผนกิจกรรมการปรับปรุง (Improvement Plan) ที่ช่วยให้คณะหน่วยงานมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายด้านกระบวนการและผลลัพธ์ หมวดที่ 1 – 7 ที่ก้าวสู่เป้า EdPEx200 ต่อไป</p> ชยภร ศิริโยธา Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 101 115 10.14456/jmu.2024.33 การวิเคราะห์ผลงานวิชาการระดับสากลของภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/262988 <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลงานวิชาการระดับสากลของภาควิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขอบเขตการวิจัยคือ ผลงานวิชาการของบุคลากรภาควิชาเคมีอุตสาหกรรมที่ได้รับการเผยแพร่ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2561-2565 ในฐานข้อมูลสากล Scopus เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ โปรแกรมค้นหาของฐานข้อมูล (search engine) ด้วยขอบเขตข้อมูลสังกัด (affiliation) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ เรียงลำดับข้อมูล แสดงผลด้วยกราฟและตาราง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลงานวิชาการของบุคลากรภาควิชาเคมีอุตสาหกรรมที่ได้รับการเผยแพร่ในฐานข้อมูลสากล Scopus มีจำนวน 80 เรื่อง ผลงานได้รับการอ้างอิงต่อเรื่องคิดเป็นร้อยละ 5.2 ส่วนใหญ่เป็นบทความวิจัยในวารสาร สูงสุดร้อยละ 56.25 เป็นงานในสาขาวิชาวัสดุศาสตร์กลุ่มแบตเตอรี่ลิเธียม นิยมตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับดัชนีคุณภาพกลุ่มกลาง - ล่าง (Q3) และกลุ่มล่าง (Q4) ร่วมกับนักวิจัยภายในภาควิชาเดียวกันและกับหน่วยงานอื่นภายในคณะวิทยาศาสตร์และภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่วนความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นสูงสุดคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไม่พบผลงานสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม หรือทรัพย์สินทางปัญญา</p> ทัศน์วรรณ เทพสุวรรณ์ พิเชษฐ์ เทพสุวรรณ์ Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 116 126 10.14456/jmu.2024.34 การพัฒนาระบบบริหารจัดการความร่วมมือด้านต่างประเทศและเครือข่าย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/262182 <p> งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการความร่วมมือด้านต่างประเทศและเครือข่าย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่สามารถจัดเก็บ ติดตาม ตรวจสอบ และค้นหาข้อมูลคู่ความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศที่มีความสะดวก รวดเร็ว และแจ้งเตือนการต่ออายุคู่ความร่วมมือแบบอัตโนมัติให้สามารถเตรียมการได้อย่างทันท่วงที ซึ่งง่ายต่อการนำข้อมูลมาใช้ในการบริหารจัดการและสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารเพื่อช่วยสร้างความเป็นนานาชาติและการยกระดับสถาบันให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้ โดยใช้ขั้นตอนการพัฒนาเป็นไปตามกระบวนการวงจรพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle: SDLC) ในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) และทำการประเมินประสิทธิภาพของระบบ ออกเป็น 4 ด้านคือ ด้านความถูกต้องในการทำงานของระบบ (Functional Test) ด้านความยากง่ายในการใช้งาน (Usability Test) ด้านสมรรถนะในการทำงานของระบบ (Performance Test) และด้านความปลอดภัย (Security Test)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับความร่วมมือและกิจกรรมความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบจากผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบ การพัฒนาระบบและการบริหารจัดการงานวิเทศสัมพันธ์ พบว่ามีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> =4.37, S.D.=0.49) สรุปได้ว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานจริงได้</p> อัญชลี พัฒนพันธ์ชัย จิตติมา โพธิ์เสนา สุนิสา มีเสน Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 127 141 10.14456/jmu.2024.35 ภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลในมุมมองของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/255312 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามุมมองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่อภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) และเปรียบเทียบทัศนะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล จำแนกตามเพศ หลักสูตรของโรงเรียนที่กำลังศึกษา และหลักสูตรที่ต้องการศึกษาต่อ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 410 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา Independent Sampling t-test และ One-way ANOVA</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง (ร้อยละ 72.68) นักเรียนส่วนใหญ่ศึกษาในหลักสูตรไทย (ร้อยละ 52.44) และสนใจเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยนานาชาติในหลักสูตรธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business) มากที่สุด (ร้อยละ 17.32) ในส่วนของภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติ ในภาพรวมจัดอยู่ในระดับดีมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า นักเรียนมีทัศนะเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติในระดับดีมากทุกด้าน โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดในด้านคุณภาพ (ค่าเฉลี่ย = 4.65) รองลงมาคือด้านชื่อเสียง/การยอมรับ (ค่าเฉลี่ย= 4.63) และด้านบรรยากาศ (ค่าเฉลี่ย = 4.62) ผลเปรียบเทียบภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติตามทัศนะของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีต่อภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติ จำแนกตามเพศ หลักสูตรการศึกษาที่เรียน และหลักสูตรที่สนใจเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยนานาชาติ ไม่แตกต่างกัน</p> <p> สรุปได้ว่าภาพลักษณ์ของวิทยาลัยนานาชาติอยู่ในระดับดีมาก ดังนั้นการรักษาภาพลักษณ์ให้คงอยู่และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำให้นักเรียน ผู้ปกครอง หรือ บุคคลภายนอกเชื่อมั่นในวิทยาลัยนานาชาติ และเลือกวิทยาลัยนานาชาติเป็นสถาบันแรกที่เข้ารับการศึกษาต่อ อีกทั้งผลการศึกษานี้ สามารถนำข้อมูลการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อองค์กรมากที่สุด</p> รสสุคนธ์ พระเนตร Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 11 3 142 154 10.14456/jmu.2024.36