https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/issue/feed Mahidol R2R e-Journal 2024-08-28T13:42:48+07:00 เบญจมาศ มะหมัดกุล benchamas.mam@mahidol.ac.th Open Journal Systems Mahidol R2R e-Jornal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/254854 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ ในผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 2023-08-04T15:19:21+07:00 หนึ่งฤทัย อ่อนศรีทอง kanomapp@gmail.com สุนิสา ผ่องแผ้ว sunisa.pho@mahidol.ac.th กมลวรรณ เฉื่อยฉ่ำ kamolwan.chu@mahidol.ac.th <p> แผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์เป็นแผลกดทับที่มีโอกาสพบได้ในหอผู้ป่วยวิกฤตซึ่งสอดคล้องกับลักษณะผู้ป่วยคือมีความจำเป็นในการจำกัดการเคลื่อนไหวและการคาสายสวนเพื่อการวินิจฉัยและเพื่อการรักษา การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ (MDRPI) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ (MDRPI) โดยการเก็บข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 30 มิถุนายน 2563 กลุ่มตัวอย่าง 96 ราย เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิงอนุมานโดยใช้สถิติ fisher’s exact และ chi-square test อธิบายความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ในผู้ป่วยที่เข้ารักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล</p> <p> ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 96 ราย พบการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ (MDRPI) 8 ราย (ร้อยละ 8.30) จากการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ โดยใช้สถิติ fisher’s exact test และ chi-square test หาความสัมพันธ์ของปัจจัยพบว่า ระยะเวลาที่นอนรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤต ดัชนีโรคร่วมชาร์ลสัน และระยะเวลาที่ใช้ผ่าตัดมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) กับการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ (p=0.000), (p=0.019) และ (p=0.006) ตามลำดับ </p> <p> ผลการวิจัยนี้จะนำไปใช้ในการวางแผนให้การพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับจากการใส่อุปกรณ์การแพทย์ในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกต่อไป</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261027 การประเมินการใช้วงล้อลดไข้บรรเทาปวดเพื่อลดความคลาดเคลื่อนทางยา 2023-05-02T16:09:26+07:00 สุฑามาศ ตานะเศรษฐ suthamat.t@anamai.mail.go.th รัชนีพร เสไธสง suthamat.t@anamai.mail.go.th <p> ความคลาดเคลื่อนทางยาเป็นตัวชี้วัดในการประเมินด้านการจัดบริการระบบยา เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย ข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยาสามารถสะท้อนถึงความเชื่อมโยงในการทำงานของทีมสหสาขาวิชาชีพในโรงพยาบาลได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อสร้างเครื่องมือลดความคลาดเคลื่อนทางยา 2) เพื่อประเมินผลการลดความคลาดเคลื่อนทางยาในการสั่งจ่ายยาลดไข้บรรเทาปวดพาราเซตามอลจากการใช้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวด 3) เพื่อประเมินผลการลดระยะเวลาการคำนวณการสั่งจ่ายยาลดไข้บรรเทาปวดพาราเซตามอลจากการใช้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวด และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวด<a name="_Toc96468107"></a> การดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1) การสร้าง พัฒนาเครื่องมือและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ 2) การทดลองใช้เครื่องมือและ 3) การสรุปผลการดำเนินงาน ทำการศึกษาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากใบสั่งยาจำนวน 222 ใบ ของผู้มารับบริการฉีดวัคซีนพื้นฐานที่ได้รับยาน้ำลดไข้บรรเทาปวดพาราเซตามอล และเจ้าหน้าที่ให้บริการ จำนวน 5 คน ในคลินิกเด็กดีของศูนย์อนามัยที่ 6 ชลบุรี วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่หาจำนวนและร้อยละ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ได้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวดที่พัฒนามาจากวงล้อเสริมธาตุเหล็กเฟอร์โรคิ 2) การใช้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวดลดความคลาดเคลื่อนทางยาลดลง จากร้อยละ 34.54 เหลือเพียงร้อยละ 1.78 3) การใช้เครื่องมือวงล้อลดไข้บรรเทาปวดลดระยะเวลาในการคำนวณการจ่ายยาต่อเด็ก 1 รายลดลง จาก 7.24 วินาทีเหลือเพียง 3.13 วินาที และ 4) เจ้าหน้าที่มีความพึงพอใจต่อการใช้เครื่องมือในระดับมากที่สุดถึงร้อยละ 80 </p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/263871 คุณภาพการตรวจคริเอทีนินในห้องปฏิบัติการเคมีคลินิกไทย ปี 2564-2565 2023-07-07T10:19:54+07:00 สุภาวัลย์ ปิยรัตนวรสกุล supawan2510@gmail.com นาฏลดา ภาณุรัตน์ supawan2510@gmail.com ฤทัยชนก เพ็ญภู่ supawan2510@gmail.com <p> โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติ คนไทยเพียงร้อยละ 1.9 ที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคไต การตรวจค้นหาผู้ป่วยและดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังแต่เริ่มแรก จะช่วยป้องกันหรือชะลอไม่ให้เกิดโรคไตวายระยะสุดท้ายและลดอัตราการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ ในการประเมินสภาพการทำงานของไต นิยมใช้การประมาณอัตราการกรองของไต โดยนำค่าคริเอทีนินในน้ำเหลืองและค่าตัวแปรต่าง ๆ ไปคำนวณด้วยสูตร ซึ่งผลการตรวจคริเอทีนินที่ถูกต้อง จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การศึกษานี้เป็นการนำข้อมูลจากผลการรายงานการประเมินคุณภาพการตรวจวิเคราะห์คริเอทีนินของห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ.2564-2565 และนำเสนอระดับคุณภาพการตรวจวิเคราะห์ ด้วยคะแนน z-score เพื่อบ่งชี้ระดับคุณภาพและความสามารถในการตรวจคริเอทีนินของห้องปฏิบัติการในประเทศไทย</p> <p> ผลการศึกษา จากข้อมูลการประเมินคุณภาพการตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการโดยองค์กรภายนอกหรือการทดสอบความชำนาญ ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 จำนวน 772 ห้องปฏิบัติการ และปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จำนวน 797 ห้องปฏิบัติการ การศึกษาระดับคุณภาพการตรวจวิเคราะห์คริเอทีนินด้วยกลวิธีการเปรียบเทียบผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศไทย พบว่าห้องปฏิบัติการที่มีความสามารถตรวจวิเคราะห์คริเอทีนินถูกต้อง (Accuracy) ด้วยคะแนน Between-laboratories z-score น้อยกว่า 3 ในวัตถุทดสอบที่สารคริเอทีนินความเข้มข้นปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ 96.89 และสารคริเอทีนินความเข้มข้นสูงกว่าปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ 93.48 สำหรับความเที่ยงในการวิเคราะห์ (Precision) ชี้บ่งด้วย Within-laboratories z-score น้อยกว่า 3 ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์วัตถุทดสอบสารคริเอทีนินความเข้มข้นปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ 90.28 และสารคริเอทีนินความเข้มข้นสูงกว่าปกติผ่านเกณฑ์ร้อยละ 92.97 </p> <p> ในภาพรวมห้องปฏิบัติการมากกว่าร้อยละ 90 ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพการตรวจวิเคราะห์ แต่ห้องปฏิบัติการร้อยละ 3.11 ถึง ร้อยละ 6.52 ที่ผลการตรวจวิเคราะห์คริเอทีนินไม่ผ่านเกณฑ์ในประเด็นความถูกต้องของผลการวิเคราะห์และห้องปฏิบัติการร้อยละ 7.03 ถึง ร้อยละ 9.72 ที่ผลการตรวจวิเคราะห์คริเอทีนินไม่ผ่านเกณฑ์ในประเด็นความเที่ยงของผลการวิเคราะห์ โดยวิธีวิเคราะห์ด้วยหลักการ Jaffe reaction มีจำนวนห้องปฏิบัติการไม่ผ่านเกณฑ์สูงกว่าหลักการอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (P&lt;0.05) ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างระบบการควบคุมภายในที่ดีและส่งเสริมการพัฒนาระบบคุณภาพอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ระบบการประกันคุณภาพทางห้องปฏิบัติการมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/260978 การพัฒนาระบบธุรกิจอัจฉริยะเพื่อสนับสนุนกระบวนการติดตามและประเมินผลทางการเงินของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 2023-01-31T16:07:46+07:00 สาลินี คงทองวัฒนา sarinee.kon@mahidol.ac.th รัตนาวลี อภิบาลเกียรติ rattanawalee.apk@mahidol.ac.th อัญชิษฐา เสมาใหญ่ anchistha.sem@mahidol.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลด้านการเงินและบัญชีมาสร้างรายงานในระบบธุรกิจอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์และการวางแผนการบริหารงานด้านการเงิน และเพื่อให้ทราบความคิดเห็นของกลุ่มผู้ใช้ข้อมูลสำหรับการติดตามและประเมินผลทางการเงินต่อรายงานดังกล่าว วิธีการวิจัยได้มีการศึกษาการจัดทำรายงานในปัจจุบัน วิเคราะห์ช่องว่างระหว่างรายงานตามความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลร่วมกับรายงานตามหลักการวิเคราะห์งบการเงิน เปรียบเทียบกับรายงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากนั้นจึงออกแบบระบบ ทดสอบระบบ และประเมินความคิดเห็นของผู้ใช้ข้อมูลต่อรายงานที่ได้สร้างขึ้น โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจาก “คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้านการคลัง” จำนวน 14 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าต้องมีการพัฒนารายงานในระบบธุรกิจอัจริยะเพิ่มเติมจากเดิมอีก 11 รายงาน ผลการประเมินความคิดเห็นคณะกรรมการฯ มีความเห็นในระดับ “เห็นด้วยมาก” ว่ารายงานที่ได้พัฒนาขึ้นมีขั้นตอนการเข้าใช้งานง่าย รวดเร็ว รูปแบบรายงานมีข้อมูลสำคัญครบถ้วน สวยงาม ถูกต้องตามหลักการวิเคราะห์งบการเงิน สามารถนำมาใช้ในการวางแผนการบริหารงาน กำหนดค่าเป้าหมายทั้งในภาพรวมและระดับพันธกิจได้ อีกทั้งยังใช้ในการติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามค่าเป้าหมาย และนำไปใช้ในการวางแนวทางปรับปรุงผลการดำเนินงานได้</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/257963 การศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ระหว่าง บุคลากรในขอบเขตและบุคลากรที่อยู่นอกขอบเขตการบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล 2023-05-24T14:20:42+07:00 อนุกูล คำโมนะ anukool.kha@mahidol.edu ทศพล ปึงธนานุกิจ thossapon.pue@mahidol.edu <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้วัฒนธรรมองค์กรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศของบุคลากรศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และตามหน่วยงานที่อยู่ในขอบเขตและที่อยู่นอกขอบเขต การบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่ทำงานในศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จำนวน 308 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ และจัดกลุ่มบุคลากรโดยใช้เกณฑ์กลุ่มบุคลากรหน่วยงานในขอบเขตและบุคลากรที่อยู่นอกขอบเขตการบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยใช้โปรแกรม spss</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าภาพรวมบุคลากรศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกมีวัฒนธรรมองค์กรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอยู่ในระดับที่ผ่านเกณฑ์ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างบุคลากรในขอบเขตและบุคลากรที่อยู่นอกขอบเขต การบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/257406 การศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในเรื่องการจัดการความรู้ของบุคลากร ในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2022-12-08T09:05:06+07:00 ดารานิตย์ กิ่งวัน daranit.kin@mahidol.edu นภัสสร ลาภณรงค์ชัย napassorn.nar@mahidol.ac.th กณพ คำสุข kanop.kum@mahidol.edu <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงความสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติในเรื่องการจัดการความรู้ของบุคลากรในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรสายวิชาการ และสายสนับสนุนที่ปฏิบัติงานอยู่ในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 90 คน โดยตอบแบบสอบถามเรื่องความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติในเรื่องการจัดการความรู้ของบุคลากร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Pearson correlation</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ของบุคลากรในเรื่องการจัดการความรู้มีคะแนนเฉลี่ย 0.87 (S.D .146) ทัศนคติในเรื่องการจัดการความรู้อยู่ในระดับดี มีคะแนนเฉลี่ย 4.27 (S.D .574) การปฏิบัติในการจัดการความรู้ของบุคลากรอยู่ในระดับดี มีคะแนนเฉลี่ย 4.14 (S.D .531) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติในเรื่องการจัดการความรู้ พบว่า ความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติในการจัดการความรู้ และทัศนคติไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติในเรื่องการจัดการความรู้ของบุคลากรในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผลการศึกษาครั้งนี้สนับสนุนให้หน่วยงานมีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และกำหนดเป็นนโยบายสำหรับหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการจัดการความรู้อย่างทั่วถึงทั้งองค์กร</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/260621 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นตามคำนิยามของมหาวิทยาลัยมหิดล 2023-05-25T10:19:33+07:00 เอธิกา เอกวารีสกุล atika.akwaree@gmail.com ชานน ศรีบูรพาภิรมย์ chanon.sri@mahidol.ac.th <p> บทความวิจัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นตามนิยามของมหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับหลักสูตรระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหิดล” มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นตามคำนิยามของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งพัฒนาจากคำนิยามการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นของมหาวิทยาลัยมหิดล และใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นสำหรับหลักสูตรที่มีการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นตามคำนิยามของมหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบด้วย 1) ค่าธรรมเนียมการศึกษา 2) การเทียบรายวิชาและการโอนย้ายหน่วยกิต 3) การลงทะเบียนเรียน 4) การรับนักศึกษา 5) การปฏิบัติตามขั้นตอนตามข้อบังคับ/ประกาศที่เกี่ยวข้อง 6) แผนการศึกษาและระยะเวลาการศึกษา 7) ปัจจัยอื่น ๆ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นสำหรับหลักสูตรที่ไม่ได้มีการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นตามคำนิยามของมหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบด้วย 1) การปฏิบัติตามขั้นตอนตามข้อบังคับ/ประกาศที่เกี่ยวข้อง 2) รูปแบบและการจัดการเรียนการสอน 3) ความพร้อมของหลักสูตร/ส่วนงาน 4) การเทียบรายวิชาและการโอนย้ายหน่วยกิต 5) การลงทะเบียนเรียน 6) การรับนักศึกษา 7) การสำเร็จการศึกษาและการให้ปริญญา 8) ข้อกำหนดของหน่วยงานที่ให้การรับรอง/ควบคุมคุณภาพหลักสูตร 9) แผนการศึกษาและระยะเวลาการศึกษา 10) การตัดสินผลการศึกษา 11) ผู้เรียน และ 12) ปัจจัยอื่น ๆ</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261547 การศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา 2023-04-19T10:59:39+07:00 สุธาสินี หินแก้ว suthasinee.hi@up.ac.th <p> การศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ <br />1) ศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนรวมในการผลิตบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา 2) ศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนต่อหัวในการผลิตบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลงบประมาณรายจ่าย และจำนวนนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2564 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ย โดยวิเคราะห์ข้อมูลจำแนกต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายจากส่วนกลาง</p> <p> ผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่า คณะทันตแพทยศาสตร์มีค่าใช้จ่ายจริง ประจำปีการศึกษา 2564 จำนวน 49,725,303.43 บาท เป็นงบบุคลากร จำนวน 23,347,856.13 บาท คิดเป็นร้อยละ 52.98 งบลงทุน จำนวน 6,994,748.60 บาท คิดเป็นร้อยละ 14.07 งบดำเนินงาน จำนวน 14,957,589.77 บาท คิดเป็นร้อยละ 30.08 งบเงินอุดหนุน จำนวน 960,839.73 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.93 และงบรายจ่ายอื่น จำนวน 468,269.20 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.94 ต้นทุนรวมในการผลิตบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น จำนวน 49,725,303.43 บาท เป็นต้นทุนทางตรง จำนวน 28,972,769.41 บาท คิดเป็นร้อยละ 58.27 ต้นทุนทางอ้อม จำนวน 20,752,534.02 บาท คิดเป็นร้อยละ 41.73 โดยเป็นต้นทุนต่อหัวในการผลิตบัณฑิตของนิสิตชั้นปีที่ 2 มากที่สุด จำนวน 13,249,005.47 บาท รองลงมาเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 จำนวน 12,345,664.18 บาท และนิสิตชั้นปีที่ 1 จำนวน 10,840,095.38 บาท ตามลำดับ ซึ่งจากการวิเคราะห์ต้นทุนในการผลิตบัณฑิตพบว่าเป็นต้นทุนด้านงบบุคลากรมากที่สุด รองลงมาเป็นงบลงทุนและงบดำเนินงานตามลำดับ โดยหากรับนิสิตตามเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 30 คน และรักษาอัตราคงอยู่จนนิสิตสำเร็จการศึกษา ต้นทุนในการผลิตบัณฑิตจะลดลง ส่งผลให้เกิดความคุ้มค่าและประสิทธิผลของการบริหารจัดการยิ่งขึ้น</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/259677 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแรกเข้าของนักศึกษาเข้าศึกษาภายใต้ระบบ TCAS กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2023-02-03T09:19:14+07:00 กฤตยภร คุ่มเคี่ยม nadasci8114@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยแรกเข้าของนักศึกษาระดับปริญญาตรีกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การรับนักศึกษาระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (ระบบTCAS) ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลนักศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลแรกเข้าของนักศึกษา ข้อมูลการรับนักศึกษา และข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่เข้าศึกษาระหว่างปีการศึกษา 2561-2564 จำนวน 2,299 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ขนาดของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คะแนนเฉลี่ยในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1 ทั้งระดับคะแนนเฉลี่ยทุกรายวิชา (GPAX) และคะแนนเฉลี่ยของวิชาเฉพาะกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน จำนวน 4 รายวิชา ประกอบด้วยวิชาฟิสิกส์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาเคมี และวิชาชีววิทยา (PMCB : Physics, Mathematics, Chemistry, Biology) นอกจากนี้ ยังพบว่าการรับเข้าด้วยระบบ TCAS รอบต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 1 ทั้ง GPAX และ PMCB เช่นเดียวกันกับวิธีการรับเข้า และกรณีที่นักศึกษามีผลการเรียนเฉลี่ยระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสูงส่งผลให้มี GPAX และ PMCB สูงเช่นกัน ผลการศึกษานี้สามารถใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อกำหนดกลยุทธ์การรับนักศึกษา กล่าวคือ ควรมุ่งเน้นการเพิ่มแผนจำนวนรับนักศึกษาใน TCAS1 การรับแบบแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) TCAS2 การรับแบบโควตา (Quota) และวิธีการรับเข้าแบบการจัดโควตาและทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีขนาดกลางขึ้นไป เพื่อที่จะได้นักศึกษาที่มีศักยภาพทางการศึกษาจนสามารถสำเร็จการศึกษาได้ตามระยะเวลากำหนดของหลักสูตร</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/261850 ทัศนคติและความพึงพอใจของบุคลากรสายสนับสนุนในการใช้ระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 2023-04-18T10:18:12+07:00 จินตนา มณีใส jintana.m@mail.rmutk.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติและศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรสายสนับสนุนในการใช้ระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) กรณีศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นประชากรบุคลากรสายสนับสนุนที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใช้ระบบ New GFMIS Thai จำนวนทั้งสิ้น 45 คน โดยเครื่องมือที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไปของผู้ให้ตอบแบบสอบถาม ทัศนคติและความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะ</p> <p> ผลการวิจัยในส่วนข้อมูลทั่วไปพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 80 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 20 เป็นเพศชาย เมื่อพิจารณาประสบการณ์ในการใช้งานระบบ พบว่ามีประสบการณ์ในการใช้งานระบบ มากที่สุดคือ มากกว่า 7-12 เดือน ผลการวิจัยในด้านทัศนคติพบว่า บุคลากรสายสนับสนุนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับประเด็น ควรมีการจัดอบรมให้กับผู้ปฏิบัติงานในระบบ New GFMIS Thai ก่อนนำมาใช้งานจริง คิดเป็นร้อยละ 97.78 (X bar = 2.98, S.D. = 0.15) กรณีศึกษาความพึงพอใจพบว่า (1) ความพึงพอใจด้านการใช้งานต่อระบบ New GFMIS Thai โดยเฉลี่ยมีระดับความพึงพอใจมาก (X bar = 3.45, S.D. = 0.73) (2) ด้านประสิทธิภาพของการใช้ระบบ/ด้านคุณภาพระบบ บุคลากรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับพึงพอใจมาก โดยความพึงพอใจเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ (X bar =3.93, S.D.=0.75) รองลงมาคือ ความครบถ้วน ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลและเชื่อถือได้ (=3.87, S.D.=0.69) (3) ด้านความปลอดภัยของระบบ มีความพึงพอใจเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (X bar =3.35, S.D.=0.93) (4) ด้านการให้บริการ Help Desk มีความพึงพอใจโดยรวมในระดับพอใจมาก มีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 3.50 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= 0.70) (5) ด้านการสนับสนุนการปฏิบัติงานโดยภาพรวมบุคลากรสายสนับสนุนมีความพึงพอใจในระดับปานกลาง (X bar =3.27, S.D.=0.88)</p> <p> ข้อเสนอแนะจากผู้ตอบแบบสอบถาม คือ การกำหนดสิทธิ์การเข้าใช้งานระบบมีจำกัด และไม่สามารถเข้าใช้งานได้พร้อมกันหลายสิทธิ์ ระบบขาดความเสถียร หลุดบ่อย ควรจัดให้มีการอบรมให้ความรู้กับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในระบบ New GFMIS Thai ที่ยังไม่เคยได้รับการอบรมและมหาวิทยาลัยควรมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญให้ความช่วยเหลือการใช้งานระบบในเบื้องต้นได้</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/260949 การประยุกต์ใช้สื่อออนไลน์กับวารสาร Ramathibodi Medical Journal 2023-08-10T15:58:16+07:00 นวลพรรณ ชำนิ nuanphan.cha@mahidol.ac.th อนันตญา ขจัดโรคา anantaya.kaj@mahidol.ac.th กัญญาภัค สระแก้ว kanyaphak.saa@mahidol.ac.th <p> วารสาร Ramathibodi Medical Journal (RMJ) หรือ รามาธิบดีเวชสาร จัดทำโดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นวารสารวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และผลงานทางวิชาการทางการแพทย์และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ โดยเริ่มจัดทำวารสาร<br />ในรูปแบบตีพิมพ์เป็นรูปเล่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 และได้มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ.2553 วารสารได้เข้าสู่ระบบฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์ของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index Centre, TCI) จากนั้นได้พัฒนาเว็บไซต์วารสารเพื่อเผยแพร่บทความออนไลน์รวมถึงการใช้ระบบส่งบทความตั้งแต่ปี พ.ศ.2559</p> <p> ต่อมาในปี พ.ศ.2560 วารสารได้เริ่มเผยแพร่เนื้อหาโดยสรุปด้วยรูปภาพนำเสนอข้อมูล (infographics) <br />บนสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เพจเฟซบุ๊ก (Facebook Page) และเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ดังกล่าวนี้ช่วยเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์วารสารและเผยแพร่บทความที่ได้รับ<br />การตีพิมพ์ ส่งผลให้บทความได้รับการอ้างอิงเพิ่มขึ้น และทำให้วารสารได้รับความสนใจจากผู้นิพนธ์และผู้อ่านเพิ่มขึ้น</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal https://he01.tci-thaijo.org/index.php/mur2r/article/view/260056 การประยุกต์ใช้สถิตินอนพาราเมตริกสำหรับการวิจัย 2022-12-18T22:08:50+07:00 ศักดิ์ชัย จันทะแสง amchai.j@gmail.com <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกใช้สถิตินอนพาราเมตริกสำหรับการวิจัย สถิตินอนพาราเมตริกง่าย สะดวก และมีข้อจำกัดน้อย เป็นสถิติที่สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางเพราะเป็นสถิติทดสอบที่ไม่คำนึงลักษณะการแจงแจงข้อมูลของประชากรข้อมูลที่นำมาทดสอบ ไม่ต้องตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นใช้ได้กับข้อมูลทุกลักษณะการแจกแจง ขนาดตัวอย่างจะเล็กหรือใหญ่ก็ใช้ได้ มาตรวัดข้อมูลเริ่มตั้งแต่มาตรวัดนามบัญญัติขึ้นไป และมีสถิตินอนพาราเมตริกให้เลือกใช้หลายตัวเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย ในปัจจุบันสามารถใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนั้นการทำวิจัยควรเลือกใช้สถิติให้เหมาะสมกับข้อมูลเพื่อให้การวิเคราะห์และแปลผลรวมทั้งงานวิจัยมีประสิทธิภาพ</p> 2024-08-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 Mahidol R2R e-Journal