วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth <p>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา (Lanna Journal of Health Promotion &amp; Environmental Health) โดยศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งความรู้จากการจัดการความรู้และงานวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม ทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม สำหรับภาคีเครือข่ายในเขตสุขภาพที่ 1 (ภาคเหนือตอนบน) และผู้สนใจที่เกี่ยวข้อง</p> <p>ISSN: 2822-0471 (Online)</p> <p>ISSN: 2228-9410 (Print)</p> <p> </p> th-TH [email protected] (แพทย์หญิงสิดาพัณณ์ ยุตบุตร) [email protected] (นายกฤษณะ จตุรงค์รัศมี) Mon, 23 Dec 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ประสิทธิผลของการใช้แอปพลิเคชันก้าวท้าใจ สำหรับส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ในพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267096 <p>การทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ในสถานประกอบการ พบว่าผู้หญิงมีกิจกรรมทางกายน้อยกว่าผู้ชาย ซึ่งการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อสุขภาพ กรมอนามัยได้จัดทำแอปพลิเคชันก้าวท้าใจเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ประกอบด้วยทั้งข้อมูลความรอบรู้ การบันทึก การแปลผลกิจกรรมการออกกำลังกายให้มีความหมายที่ประชาชนสามารถเข้าใจง่าย รวมถึงของรางวัลที่เป็นแรงจูงใจให้ประชาชนสนใจในการออกกำลังกายมากขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้แอปพลิเคชันก้าวท้าใจ สำหรับส่งเสริมกิจกรรมทางกายในพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานเพศหญิง จำนวน 50 คน มีการสุ่มเข้ากลุ่มทดลอง 25 คน และกลุ่มควบคุม 25 คน ในการวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามระดับกิจกรรมทางกาย (GPAQ Version2) และทดสอบสมรรถภาพทางกายตามวิธี YMCA Step Test โดยกลุ่มทดลองออกกำลังกายและบันทึกผลในแอปพลิเคชันก้าวท้าใจ กลุ่มควบคุมออกกำลังกายและบันทึกผลลงในสมุดบันทึก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ นำข้อมูลจาก GPAQ Version2 มาคำนวณหาค่าการใช้พลังงาน (Metabolic equivalent : MET) ของกิจกรรมทางกาย และค่าอัตราการเต้นของหัวใจหลังการทดสอบYMCA Step Test ทดสอบการกระจายตัวของข้อมูลโดยใช้ Kolmogorov-Smirnov Test พบว่ามีการแจกแจงไม่ปกติ (<em>p</em> &lt; 0.05) จึงใช้สถิติ Wilcoxon Singed Rank Test เปรียบเทียบค่า MET ของกิจกรรมทางกายและค่าอัตราการเต้นของหัวใจก่อนและหลังภายในกลุ่มอาสาสมัคร และใช้ Mann-Whitney U Test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า การเปรียบเทียบค่า MET ก่อนและหลังภายในกลุ่มทดลองมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.05) โดยหลังการได้รับโปรแกรมมีค่า MET เพิ่มขึ้น แต่กลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>&gt; 0.05) สำหรับค่า MET ระหว่างกลุ่มอาสาสมัครมีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &gt; 0.05) แต่ค่าอัตราการเต้นของหัวใจหลังการทดสอบ YMCA Step Test มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.05) โดยอาสาสมัครกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยอัตราการเต้นของหัวใจหลังการทดสอบ YMCA Step Test น้อยกว่ากลุ่มควบคุม ผลการวิจัยนี้สรุปได้ว่า การใช้แอปพลิเคชันก้าวท้าใจในการบันทึกผลการกิจกรรมทางกายช่วยส่งเสริมให้พนักงานบริษัทมีความกระตือรือร้นและมีวินัยในการออกกำลังกาย และส่งเสริมให้มีสมรรถภาพทางกายเพิ่มขึ้น</p> ทิพวรรณ บุญกองรัตน์, ภัทรพร สิทธิเลิศพิศาล Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267096 Mon, 08 Jan 2024 00:00:00 +0700 ผลการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ( MOPH ED Triage ) งานอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/266800 <p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้แนวทางคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน หรือ MOPH ED Triage งานอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนและหลังการนิเทศทางคลินิก ประชากรที่ศึกษาประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในกลุ่มงานการพยาบาลอุบัติเหตุ-ฉุกเฉินที่มีประสบการณ์ในการทำงาน 2 ปีขึ้นไปจำนวน 10 คน ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในระหว่างปีพ.ศ. 2565 จำนวน 600 คน โดยสุ่มเก็บข้อมูลตัวอย่างเดือนละ 50 คน และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในระหว่าง วันที่ 9 มีนาคม 2566 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 จำนวน 338 คนโดยใช้สูตรของ Infinite population proportion ของ App N4Studies เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย <br />การนิเทศทางคลินิก และแบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่นโดยใช้ สัมประสิทธ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.934 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบความถูกต้องของการคัดกรองโดยใช้สถิติ Chi-square test</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษาพบว่า การใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ผลการคัดกรองมีความถูกต้องเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยยะสำคัญ โดยคัดแยกถูกต้องจากร้อยละ96.00 เป็น 97.04, (c<sup>2</sup>=0.671,df=1,p =0.265)เนื่องจากมีปัจจัยรบกวน เช่นการคาดคะเนการใช้ทรัพยากรผิดพลาด การเข้าถึงล่าช้า ปัญหาการสื่อสารกับผู้มารับบริการ พยาบาลวิชาชีพมีระดับความพึงพอใจ ในการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร่วมกับการนิเทศทางคลินิก อยู่ในระดับสูง ( =4.59) จึงควรมีการนิเทศทางคลินิกอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพ การใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน</p> จงรัก ปัญญาพล Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/266800 Thu, 25 Jan 2024 00:00:00 +0700 ผลของการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาโดยความร่วมมือของพยาบาลวิชาชีพ ในแผนกหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลลำพูน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267373 <p>การส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาโดยความร่วมมือของพยาบาลวิชาชีพในรูปแบบที่เหมาะสม เป็นแนวทางสำคัญในการช่วยเพิ่มคุณภาพการพยาบาลดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาของพยาบาลวิชาชีพ ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยา และประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยา ในแผนกหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลลำพูน กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ ที่ปฏิบัติงานในแผนกหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลลำพูน จำนวน 128 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาโดยความร่วมมือของพยาบาลวิชาชีพ เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินการปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่า Fisher’s exact probability test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการส่งเสริมการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาโดยความร่วมมือของพยาบาลวิชาชีพ พบว่าการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75.1 เป็น ร้อยละ 96.3 ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.000) และพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการส่งเสริมการปฏิบัติการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19)</p> <p> กล่าวได้ว่า การส่งเสริมการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาโดยความร่วมมือของพยาบาลวิชาชีพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล</p> ศศิประภา ตันสุวัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267373 Wed, 21 Feb 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจ และการพัฒนาทักษะต่อความรุนแรงของ โรคข้อเข่าเสื่อมและน้ำหนักตัวในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักเกิน โรงพยาบาลลำพูน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267386 <p>โรคข้อเข่าเสื่อมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการที่ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น การให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจ และการพัฒนาทักษะผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักเกิน จะช่วยเสริมสร้างภาวะสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้สูงอายุ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมและน้ำหนักตัวในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักตัวเกิน ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจงกับผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ที่มารับการรักษาที่ห้องตรวจกระดูกและข้อ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 ถึงกรกฎาคม พ.ศ.2566 แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 20 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจและการพัฒนาทักษะ เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม และแบบบันทึกน้ำหนักตัว วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-square test, Paired Samples t-test และ Independent samples t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักตัวเกิน หลังการทดลอง มีค่าเฉลี่ยระดับความรุนแรงของโรค และน้ำหนักตัวลดลงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้พบว่าระดับรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม และค่าเฉลี่ยของน้ำหนักตัวในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีน้ำหนักเกินในกลุ่มทดลองลดลงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</p> <p>กล่าวได้ว่า โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นนี้ มีประสิทธิภาพในการลดระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมและมีน้ำหนักตัวในผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีขึ้น </p> จุฑามาศ อุตรสัก Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267386 Tue, 05 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ ที่เป็นเบาหวาน ในคลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลวังชิ้น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267090 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานและการให้บริการในคลินิกฝากครรภ์โรงพยาบาลวังชิ้น 2) พัฒนาระบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน 3) ศึกษาผลการใช้ระบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย <br />สหวิชาชีพในโรงพยาบาลวังชิ้น ได้แก่ ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล แพทย์ผู้รับผิดชอบงานอนามัยแม่และเด็ก พยาบาลในคลินิกฝากครรภ์ นักกายภาพบำบัด และนักโภชนาการ โรงพยาบาลวังชิ้น จำนวน 11 คน หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน อายุครรภ์ระหว่าง 12–28 สัปดาห์ ที่มารับบริการในคลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลวังชิ้น ในช่วงระยะเวลาดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2566 จำนวน 20 คน ดำเนินการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบทดสอบวัดความรู้ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง แบบประเมินคุณภาพของระบบ แบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือด แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจุบันการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานขาดความเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพและครอบครัวในการวางแผนการรักษาและดูแลสุขภาพตนเอง หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากขาดความรู้ ความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเอง ไม่ได้รับคำแนะนำและไม่มีการติดตามหรือสนับสนุนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองจากพยาบาล 2) ระบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย (1) ปัจจัยนำเข้า: การคัดกรองและวินิจฉัยโรคเพื่อจัดทำฐานข้อมูล (2) กระบวนการ: การวางแผนทางการพยาบาล และปฏิบัติตามคู่มือการดูแลสุขภาพตนเอง 5 ขั้นตอน คือ การประเมินสภาพ การให้คำแนะนำ การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน การวางแผนร่วมกัน และการติดตามให้ความช่วยเหลือ (3) การติดตามผลลัพธ์: ติดตามความรู้หญิงตั้งครรภ์ด้านความรู้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (4) การให้ข้อมูลย้อนกลับ: การติดตามทางโทรศัพท์ การเยี่ยมบ้าน การให้ข้อมูลทาง Line Open Chat 3) ผลการใช้ระบบการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวาน พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีความรู้เรื่องเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ มีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสูงกว่าก่อนใช้ระบบ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ หญิงตั้งครรภ์และผู้ให้บริการมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด</p> จารุนิล ไชยพรม Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/267090 Fri, 08 Mar 2024 00:00:00 +0700 การทำนายจำนวนครั้งการดับไฟป่าและพื้นที่เสียหายจากไฟป่า จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/266524 <p>จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีการเกิดไฟป่าและพื้นที่เสียหายสูงสุดของประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2541 ถึง 2566 เพื่อประเมินสถานการณ์ในอนาคตจึงนำข้อมูลจำนวนครั้งการดับไฟป่าและพื้นที่เสียหายจากไฟป่ามาทำนายด้วยการวิเคราะห์สหสัมพันธ์เชิงเส้นตรง การวิเคราะห์การถดถอยอนุกรมเวลา และการการพยากรณ์ตามทฤษฎีระบบเกรย์</p> <p> ผลการวิคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยพื้นที่เสียหายจากไฟป่าต่อครั้งของการดับไฟโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่า 20 ไร่ต่อครั้ง จำนวนครั้งของการดับไฟป่ากับพื้นที่เสียหายมีสหสัมพันธ์กันสูง (สหสัมพันธ์เพียร์สัน 0.576 สหสัมพันธ์ Spearman's rho 0.645) จำนวนครั้งของการดับไฟป่ามีแนวโน้มลดลง (ความลาดชัน -39.071) พื้นที่เสียหาย (ไร่) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ความลาดชัน 489.85) ไร่ การพยากรณ์ด้วยตัวแบบ GM(1,1) Error Periodic Correction ให้ค่าร้อยละของความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) น้อยกว่าร้อยละ 10 ใช้พยากรณ์ได้ดีมีค่าต่ำกว่าตัวแบบ GM(1,1) ทำนายว่าปีงบประมาณ 2567 จะมีการดับไฟป่า 1,145 ครั้ง พื้นที่เสียหาย 43,966 ไร่ </p> วัฒนา ชยธวัช Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/266524 Mon, 11 Mar 2024 00:00:00 +0700 โมเดลการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในเมืองท่องเที่ยว สุขภาพดีวิถีใหม่ ในสถานการณ์โควิด-19: กรณีศึกษาเทศบาลเมืองหัวหิน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/269204 <p>การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นประสบการณ์สำคัญในการพัฒนาการรับมือด้านการท่องเที่ยว <br />ซึ่งการจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเมืองให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความยืดหยุ่นต่อการรับมือในวิถีใหม่ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมของเมืองท่องเที่ยวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวสุขภาพดี วิถีชีวิตใหม่ เป็นการพัฒนารูปแบบการจัดการอาหารปลอดภัยและน้ำบริโภค รวมถึงการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งประยุกต์ใช้แนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมุ่งเน้นองค์ประกอบด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ ที่พัก (สถานประกอบกิจการประเภทโรงแรม/ที่พัก) ที่กิน (สถานประกอบกิจการด้านอาหาร ได้แก่ ตลาดสด, ตลาดนัด, ร้านอาหาร และร้านอาหารริมบาทวิถี) ที่เที่ยว (สถานประกอบกิจการประเภทนวด/สปา สถานที่ท่องเที่ยวชายหาด) และระบบสาธารณูปโภค (ตู้น้ำหยอดเหรียญและระบบประปา) ซึ่งใช้เทศบาลเมืองหัวหินเป็นพื้นที่ศึกษา ทำการศึกษาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 – เดือนกันยายน 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสุขภาพดี วิถีใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดในแต่ละองค์ประกอบด้านการท่องเที่ยว ดำเนินการเก็บข้อมูล 2 วิธี ได้แก่ การประเมินตนเอง (Self-Assessment) ด้วยแบบสำรวจ และการลงพื้นที่สำรวจ โดยดำเนินการ 2 ช่วง คือ ช่วงก่อนปฏิบัติการและช่วงหลังปฏิบัติการ</p> <p>ผลที่ได้พบว่า โมเดลการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในเมืองท่องเที่ยวสุขภาพดี วิถีชีวิตใหม่ <br />มีองค์ประกอบสำคัญที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนทั้งหมด 3 มิติ ได้แก่ มิติที่ 1 การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน <br />มิติที่ 2 การสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและความสะอาด และมิติที่ 3 <br />การจัดการและการตรวจสอบด้านสุขอนามัยและสุขาภิบาลของแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเทศบาลเมืองหัวหินมีความสามารถในการพัฒนาการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในเมืองท่องเที่ยวสุขภาพดี วิถีชีวิตใหม่ ตามรูปแบบของโมเดล อยู่ในระดับดี โดยปัจจัยการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขภาพ เป็นปัจจัยที่มีคะแนนต่ำสุดของสถานประกอบกิจการด้านโรงแรม/ที่พัก ปัจจัยสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้สัมผัสอาหาร เป็นปัจจัยที่มีคะแนนต่ำสุดของสถานประกอบกิจการด้านอาหาร ปัจจัยความปลอดภัยและปัจจัยการสุขาภิบาล เป็นปัจจัยที่มีคะแนนต่ำสุดของสถานประกอบกิจการประเภทนวด/สปาและสถานที่ท่องเที่ยวชายหาด ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยการบำรุงรักษาความสะอาด เป็นปัจจัยที่มีคะแนนต่ำสุดของตู้น้ำดื่ม</p> สมศักดิ์ ศิริวนารังสรรค์ , ชัยเลิศ กิ่งแก้วเจริญชัย , นัชชา ผลพอตน Copyright (c) 2024 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา http://creativecommons.org/licenses/by/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/269204 Wed, 20 Mar 2024 00:00:00 +0700