https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/issue/feed วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา 2025-01-13T15:34:57+07:00 แพทย์หญิงสิดาพัณณ์ ยุตบุตร researchhpc1@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา (Lanna Journal of Health Promotion &amp; Environmental Health) โดยศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งความรู้จากการจัดการความรู้และงานวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม ทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการรับรองคุณภาพโดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ให้เป็น วารสารกลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 256ุ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567</p> <p>สำหรับการรับรองในรอบที่ 5 ระหว่าง พ.ศ.2568-2572 นั้น ทางวารสารได้ส่งข้อมูลเพื่อเข้ารับการประเมินคุณภาพกับทาง TCI เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างรอผล ทั้งนี้ทางศูนย์ TCI จะทำการประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 พ.ศ. 2567-2572 ภายในเดือนมกราคม 2568</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><span style="font-weight: bolder; font-size: 0.875rem;">การตีพิมพ์: </span></span><span style="font-size: 0.875rem;">ปีละ 2 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 เดือน มกราคม ถึง มิถุนายน และฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม ถึง ธันวาคม ของทุกปี</span></p> <p> </p> <p>ISSN: 2822-0471 (Online)</p> <p>ISSN: 2228-9410 (Print)</p> <p> </p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/273423 ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก เรื่อง การเริ่มอาหารตามวัยของเด็กอายุ 6 เดือน ที่มารับบริการคลินิกสุขภาพเด็กดี รพ.ส่งเสริมสุขภาพเชียงใหม่ 2024-10-31T14:05:01+07:00 สุวรรนี ประดิษฐ์ spradit99@gmail.com จันจิรา ภีร์สวัสดิ์ spradit99@gmail.com <p>การส่งเสริมโภชนาการเด็กโดยส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีความรู้เรื่องการจัดอาหารให้เด็กได้รับอาหารตามวัยที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการให้อาหารเด็กที่ถูกต้องแก่ผู้ดูแลจะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดีไม่มีปัญหาอ้วนหรือขาดสารอาหาร การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ พฤติกรรมการให้อาหารตามวัย และประเมินความพึงพอใจ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กอายุ 4 เดือน ที่มารับบริการในคลินิกสุขภาพเด็กดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2567 จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ โปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก และแบบสอบถาม ความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า IOC แบบสอบถามความรู้ และแบบสอบถามพฤติกรรมได้ค่า IOC 0.67-1.00 และ 0.75-1.00 ตามลำดับ ความเที่ยงของเครื่องมือค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.80 และ เท่ากับ 0.91 ตามลำดับ เก็บข้อมูลในระยะขั้นดำเนินการทดลองและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ความรู้เรื่องการเริ่มอาหารตามวัยของเด็กอายุ 6 เดือน ของผู้ดูแลเด็กหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) (2) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการให้อาหารตามวัยของผู้ดูแลเด็ก ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการให้อาหารตามวัยของผู้ดูแลเด็ก ในขณะป้อนอาหารตามวัยให้เด็ก ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) และ (4) ผู้ดูแลเด็กมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ ในระดับระดับสูงมาก ( = 4.54 S.D.= 0.533)</p> <p>ผลการศึกษานี้ให้ประโยชน์ในการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ดูแลให้สามารถดูแลโภชนาการเด็กได้อย่างเหมาะสมต่อไป</p> 2025-01-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274316 ผลของการให้คำปรึกษาต่อความวิตกกังวลของสตรีที่มีผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลลำพูน 2024-12-02T15:40:11+07:00 วรรณวรางค์ คหวัฒน์ธรางกูร wannawarangim@gmail.com <p>สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ อาจส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจได้ และทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว และในบางครั้งอาจเกิดความแคลงใจต่อผลการวินิจฉัยได้ การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลก่อนและหลังให้คำปรึกษา ภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างคือสตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลลำพูน จำแนกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ชุดกิจกรรมให้คำปรึกษาแก่สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ พัฒนาขึ้นตามกรอบทฤษฎีการให้คำปรึกษาแก่ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ของ Rogers (1996) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความวิตกกังวล (STAI form Y-1) ของ Spielberger ที่พัฒนาและแปลเป็นภาษาไทยโดย อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย (2563) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Fisher’s exact probability test, Paired sample t-test และ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังให้คำปรึกษาคะแนนความวิตกกังวลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยในกลุ่มทดลองมีคะแนนความวิตกกังวลอยู่ในระดับต่ำ (mean=37.16, SD=8.21) ขณะที่กลุ่มควบคุมมีคะแนนความวิตกกังวลอยู่ในระดับปานกลาง (mean=46.46, SD=6.65)</p> <p>กล่าวได้ว่า ชุดกิจกรรมให้คำปรึกษาแก่สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกตินี้ ช่วยลดความวิตกกังวล และเสริมสร้างให้สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติสามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยในขั้นตอนต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-01-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/273669 ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวล ในผู้ป่วยที่ได้รับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก โรงพยาบาลลำพูน 2024-12-02T15:13:05+07:00 อรัญญา พงศ์นภดล aranya.pongnapadol@gmail.com <p>โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ จัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรไทยเป็นอย่างยิ่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก ซึ่งขณะสลายนิ่วผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สุขสบายจากความปวดขณะสลายนิ่ว การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความปวด คะแนนความวิตกกังวล และระดับความพึงพอใจของผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคนิ่วทางเดินระบบปัสสาวะ ที่เข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก โรงพยาบาลลำพูน ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทดลอง จำนวน 40 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวล ประยุกต์ใช้แนวคิดการดูแลตนเอง ของโอเร็ม (Orem, 2001) เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย แบบประเมินความปวด แบบประเมินความวิตกกังวล แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Fisher’s exact probability test และ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ได้รับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก มีคะแนนเฉลี่ยความปวด ความวิตกกังวล น้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจต่อการรับบริการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทกที่มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>กล่าวได้ว่า โปรแกรมนี้ช่วยให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทกสามารถจัดการความปวดและความวิตกกังวลได้ และสร้างความพึงพอใจในบริการเข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก</p> 2025-01-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274488 ผลของโปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน งานฝากครรภ์ โรงพยาบาลพร้าว 2024-12-20T11:51:36+07:00 นางจันจิรา นิลสนิท jninsanit@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การทดลองนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง (quasi-experimental) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2) เพื่อเปรียบเทียบน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมและ 3)&nbsp; เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์ที่มี BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 23 กิโลกรัม/ตารางเมตร ที่มารับบริการฝากครรภ์โรงพยาบาลพร้าว จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 60 รายโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน ใช้เวลา 7 สัปดาห์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์&nbsp; แบบบันทึกภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ &nbsp;แบบสอบถามพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติใช้สถิติ เชิงพรรณนา แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi square, Paired sample t-test, Independent-t test ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน พบว่ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ p &lt; .001&nbsp;และมากกว่ากลุ่มควบคุม น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ p &lt; .001 และพบว่า กลุ่มทดลองมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์น้อยกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งบุคลากรทางสุขภาพอาจนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินในหน่วยงาน และขยายไปยังสถานบริการโรงพยาบาลอื่นต่อไป</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>คำสำคัญ </strong>โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย, พฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก,หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;</p> 2025-01-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275472 ผลของการใช้กระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ 2024-12-31T11:29:41+07:00 มยุรีย์ อิทธิภูวดล mayureemail@gmail.com อทิตยา ขัดพูน mayureemail@gmail.com รัชนีกร แก้วใส mayureemail@gmail.com ทักษ์ดนัย ลิ้มวิลัย mayureemail@gmail.com วิทยา บุญยศ mayureemail@gmail.com <p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในระดับโลกและระดับประเทศ เป็นสาเหตุของการเกิดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มเปรียบเทียบก่อนหลังและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ มีจุดประสงค์เฉพาะเพื่อเปรียบเทียบระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงกลุ่มวัยทำงาน ก่อนและหลังได้รับกระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต ภายในกลุ่มทดลอง และหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ดำเนินการเดือนมีนาคม - สิงหาคม 2567 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นกลุ่มวัยทำงาน มีอายุระหว่าง 18 - 59 ปี และได้รับการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงทั้งที่เป็นโรคหลักหรือโรคร่วม โดยขึ้นทะเบียนรับการรักษาที่คลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จำนวน 153 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้โปรแกรม G * power ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง รวม 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 38 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ Systematic sampling โดยการแบ่งวันคู่และวันคี่ สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ เต็มใจให้ความร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มทดลองสัมภาษณ์โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพเวชศาสตร์วิถีชีวิต, แบบประเมิน STOP-BANG Questionnaire ประเมินผลลัพธ์การวิจัยก่อนและหลังสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มควบคุมได้รับการบริการตามปกติ ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ใช้สถิติ Mann-Whitney U-Test เปรียบเทียบภายในกลุ่มทดลอง และสถิติ Wilcoxon Signed-Ranks Test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าภายหลังการได้รับกระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต หลังสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มทดลองมีระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอวต่ำกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่าระดับความดันโลหิต ของกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนระดับดัชนีมวลกายและ เส้นรอบเอวไม่มีความแตกต่างกัน</p> 2025-01-11T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275141 โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางต่อ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรับประทานยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและความเข้มข้นของเลือดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ 2025-01-07T10:38:03+07:00 ชนานันท์ ปัญญาศิลป์ chana0247@gmail.com กฤษณา กาเผือก chana0247@gmail.com <p> ภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ส่งผลความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย ตกเลือดหลังคลอด ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญในหญิงตั้งครรภ์มีมีภาวะโลหิตจาง การวิจัยแบบกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เป็นหญิงตั้งครรภ์อายุ 18 ปีขึ้นไป มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่า 11 กรัม/เดซิลิตร ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม - ตุลาคม 2567 แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และ กลุ่มทดลองกลุ่มละ 25 ราย เข้ารับโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ 1) โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง 6 องค์ประกอบ 2) แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงด้านเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) .82 และค่าความเชื่อมั่น (reliability) สัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราค .92 สถิติใช้สถิติพรรณนาแสดงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกรณีการแจกแจงข้อมูลไม่เป็นโค้งปกติ จึงใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Non Parametric ด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test และ Mann-Whitney U-test</p> <p> ภายหลังการทดลอง พบว่ากลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ พฤติกรรมด้านการรับประทานอาหารและยา และความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 เมื่อนำ 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบพบว่า ความรอบรู้ของกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ส่วนพฤติกรรมด้านการรับประทานอาหารและยา และความเข้มข้นของเลือดของทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน ดังนั้น พยาบาลควรใช้โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง และเป็นแนวทางพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ในหญิงตั้งครรภ์สำหรับปัญหาอื่นต่อไป</p> 2025-01-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274884 ผลการใช้โปรแกรมการลดน้ำหนัก ชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร (Intermittent Fasting : IF) ในเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินค่าปกติ 2024-12-25T09:49:26+07:00 ภัทราภรณ์ เอมย่านยาว tuyda2513@gmail.com วิระฉัตร ชูสิน tuyda2513@gmail.com รุจิตรา ธัญญเจริญ tuyda2513@gmail.com <p>ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถป้องกันและรักษาได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารของเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองที่มีน้ำหนักเกิน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงคือเจ้าหน้าที่มีน้ำหนักเกินและยินยอมเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบเก็บข้อมูลส่วนบุคคล น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย รอบเอว แบบประเมินความรู้เรื่องภาวะโภชนาการและการบริโภคอาหาร และโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารรูปแบบ 16/8 โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดำเนินการศึกษารวม 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Pair t-test และ Repeated-Anova ผลการวิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องภาวะโภชนาการ และการบริโภคอาหารของกลุ่มตัวอย่างหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารสูงขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอวของ กลุ่มตัวอย่าง 3 ช่วงเวลาได้แก่เริ่มโครงการ, ครบ 4 สัปดาห์ และครบ 8 สัปดาห์ พบว่าทั้ง 3 ช่วงเวลาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) สรุปได้ว่าโปรแกรมการจำกัดเวลาการรับประทานอาหารรูปแบบ 16/8 ทำให้ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมีน้ำหนักลดลง ดัชนีมวลกายลดลง รอบเอวลดลง มีความรู้ภาวะโภชนาการและการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปสื่อสารเพื่อเป็นทางเลือกในการลดน้ำหนักในกลุ่มวัยทำงานได้</p> 2025-01-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275174 การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพเชียงใหม่ 2025-01-09T09:54:19+07:00 จันทร์ฉาย สิงห์นนท์ janchai.singh@gmail.com ปลื้มจิต โชติกะ janchai.singh@gmail.com กฤษณา กาเผือก janchai.singh@gmail.com <p> ภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต ขณะที่ทารกเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกิน การคลอดติดไหล่ และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังในระยะยาว การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบ ศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นและความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ดูแลหญิงที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เชียงใหม่</p> <p> การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ <br />1) การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการดูแลและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ <br />2) การพัฒนาแนวทางการดูแลที่มีประสิทธิภาพร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ และ 3) การประเมินผลของรูปแบบการดูแลและความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบไปใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแรงจูงใจและพฤติกรรมการป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ Cronbach’s Alpha – Coefficient มีค่าความเชื่อมั่น 0.87 กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบด้วยกลุ่มทดลอง 26 คน และกลุ่มควบคุม 26 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบการดูแลไปใช้ ถูกสรุปเป็นประเด็นสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไม่เพียงแต่กระตุ้นแรงจูงใจ แต่ยังส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์นำความรู้ไปปรับใช้ในพฤติกรรมการป้องกันเบาหวานได้ จากการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองมีการรับรู้และความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดการภาวะเสี่ยง รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายเหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) รูปแบบการดูแลนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหน่วยงานและในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของแม่และทารกในครรภ์</p> 2025-01-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275870 ผลของกิจกรรม Early skin to skin contact ระหว่างมารดาและทารกที่ได้รับ การผ่าตัดคลอดต่อประสิทธิภาพการดูดนมของทารกและความผูกพันระหว่างมารดาและทารก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ 2025-01-13T15:34:57+07:00 พิมพ์ใจ อุ่นบ้าน pimjai@bcnc.ac.th นงคราญ ศรีสง่า pimjai@bcnc.ac.th <p>ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กอายุ 0-6 เดือน ที่ได้รับนมแม่เพียงร้อยละ 14 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของกรมอนามัยที่กำหนดไว้ในปี 2568 (ร้อยละ 50) กิจกรรม Early skin to skin contact ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยส่งเสริมให้ทารกดูดนมจากมารดาได้ภายในครึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดูดนมและความผูกพันระหว่างมารดากับทารกที่ได้รับการผ่าตัดคลอด และเข้าร่วมกิจกรรม Early skin to skin contact ในห้องผ่าตัด กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือหญิงตั้งครรภ์และทารกที่คลอดครบกำหนดคลอดโดยการผ่าตัดในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จำนวน 52 คู่ โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 26 คู่ ทำกิจกรรมในห้องผ่าตัด และกลุ่มควบคุม 26 คู่ ทำกิจกรรมในห้องพักฟื้นตามการบริการปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แนวปฏิบัติ <br />Early skin to skin contact แบบประเมินประสิทธิภาพการดูดนม และแบบสอบถามความผูกพันระหว่างมารดากับทารก ซึ่งเครื่องมือได้รับการตรวจสอบความตรงจากผู้เชี่ยวชาญและมีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.67 และสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.92</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนประสิทธิภาพการดูดนมของกลุ่มทดลอง (9.88) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (8.81) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่นเดียวกับความผูกพันระหว่างมารดาและทารกที่กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย 3.36 สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ 2.97 ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กิจกรรม Early skin to skin contact ส่งเสริมประสิทธิภาพการดูดนมและความผูกพันระหว่างมารดากับทารก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการนำไปปฏิบัติในห้องผ่าตัดเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก</p> 2025-01-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา