https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/issue/feed
วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
2025-09-01T14:31:00+07:00
แพทย์หญิงสิดาพัณณ์ ยุตบุตร
researchhpc1@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา</strong> (Lanna Journal of Health Promotion & Environmental Health) ดำเนินการโดยศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งเทคโนโลยีที่สนับสนุนทางด้านการบริการสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ โภชนาการ กิจกรรมทางกาย และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรด้านสาธารณสุขและทางการแพทย์ นักวิจัย นักศึกษา รวมถึงประชาชน และผู้สนใจทั่วไป</p> <p><strong>ขอบเขต (Scope) </strong>สาขาที่รับตีพิมพ์ได้แก่ ผลงานวิชาการด้านส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งเทคโนโลยีที่สนับสนุนทางด้านการบริการสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ โภชนาการ กิจกรรมทางกาย และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง</p> <p>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา (Lanna Journal of Health Promotion & Environmental Health) ได้รับการรับรองคุณภาพโดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ให้เป็น วารสารกลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572</p> <p><strong>การพิจารณาคุณภาพของบทความ : <br /></strong>บทความที่ส่งเพื่อตีพิมพ์ในวารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา จะผ่านการคัดกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ และผ่านกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง หรือเชี่ยวชาญด้านวิทยาการวิจัย จากหลากหลายสถาบัน และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้เขียน 2 ท่านขึ้นไป ต่อบทความ การประเมินเป็นแบบปกปิดสองทาง (Double-blind peer review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน<strong><br /></strong></p> <p><strong>กำหนดการออกวารสารฯ: ตีพิมพ์ ปีละ 2 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1</strong> เดือน มกราคม ถึง มิถุนายน<br /><strong>ฉบับที่ 2</strong> เดือน กรกฏาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่<br /></strong>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา ยั<strong>งไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ</strong></p> <p>ISSN: 2822-0471 (Online)</p> <p>ISSN: 2228-9410 (Print)</p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/279589
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเลือดในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โรงพยาบาลร้องกวาง จังหวัดแพร่
2025-08-19T13:25:44+07:00
จินนา รสเข้ม
jinna3748@hotmail.com
ศรีรัตน์ อินถา
jinna3748@hotmail.com
จินตนา เหลี่ยมศรี
jinna3748@hotmail.com
<p>ภาวะตกเลือดหลังคลอดเป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์ที่พบบ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในมารดาทั่วโลกโดยเฉพาะในช่วง 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา <br />มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเลือดในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอดโรงพยาบาลร้องกวาง จังหวัดแพร่ และศึกษาผลของการใช้แนวที่พัฒนาขึ้น ดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ คือ <br />1) ศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์โดยใช้รูปแบบและขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลตามหลักฐานเชิงประจักษ์ของ IOWA Model 4 ขั้นตอนในการพัฒนาแนวปฏิบัติ ผ่านการประเมินคุณภาพของแนวปฏิบัติโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ด้วยเครื่องมือ AGREE II ได้คะแนนในแต่ละหมวดมากกว่าร้อยละ 80 ได้ค่า CVI เท่ากับ 0.96 และแบบประเมินความคิดเห็นของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเลือดในระยะ <br />2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โรงพยาบาลร้องกวาง จังหวัดแพร่ ได้ค่า CVI เท่ากับ 1.00 2) การนำแนวปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มคือ (1) พยาบาลวิชาชีพงานการพยาบาลผู้คลอดจำนวน 7 คน และ (2)ผู้คลอดที่มาคลอดบุตรทางช่องคลอด โรงพยาบาลร้องกวาง ระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึง เดือน มีนาคม 2568 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้ 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 15 คน 3) ประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติที่พัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ เปรียบเทียบปริมาณเลือดออกทางช่องคลอดในระยะหลังคลอดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติทีอิสระ (independent t-test) ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มทดลองมีปริมาณเลือดออกน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งในช่วง 2 ชั่วโมงและ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยไม่พบภาวะตกเลือดในกลุ่มทดลอง ขณะที่กลุ่มควบคุมพบอุบัติการณ์ตกเลือดร้อยละ 6.7 พยาบาลวิชาชีพมีความคิดเห็นต่อการใช้แนวปฏิบัติอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด ส่งผลต่อแนวโน้มที่ดีในการช่วยลดอุบัติการณ์การตกเลือดในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด จึงสามารถนำมาใช้เป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการตกเลือดในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอดได้</p>
2025-10-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/277869
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการรักษา ในโรงพยาบาลเวียงสา จังหวัดน่าน
2025-06-06T11:08:19+07:00
นันทิกา พริบไหว
imnantika@gmail.com
<p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก หากควบคุมไม่ได้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับพฤติกรรมการดูแลตนเอง และ 2) ปัจจัยสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลเวียงสา จังหวัดน่าน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มารับบริการ ณ โรงพยาบาลเวียงสา จังหวัดน่าน จำนวน 300 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่าที่มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.73-0.97 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับของพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับสูง (𝑥̅= 3.43, SD = 0.56) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การสนับสนุนจากครอบครัว (β = 0.608, p-value < 0.001) การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม (β = 0.182, p-value < 0.001) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (β = 0.142, p-value = 0.001) การรับรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง (β = 0.083, p-value = 0.031) ตามลำดับ และมีสมการทำนายจากคะแนนดิบ คือ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง = 4.519 + 0.657 (การสนับสนุนจากครอบครัว) + 0.140 (การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม) + 0.110 (ความรอบรู้ด้านสุขภาพ) + 0.153 (การรับรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง) ผลการวิจัยเสนอให้พัฒนาระบบสนับสนุนครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย พร้อมศึกษาปัจจัยวัฒนธรรมท้องถิ่นในงานวิจัยครั้งต่อไป</p>
2025-07-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/276994
การพัฒนารูปแบบระบบการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 1
2025-07-01T09:53:29+07:00
อิฎฐวรา สำแดงสุข
yayinya@gmail.com
นิราช นอรัตน์
yayinya@gmail.com
<p>การจัดการมูลฝอยติดเชื้อเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในมิติสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องมีระบบการบริหารจัดการตามหลักวิชาการและข้อกำหนดตามกฎหมาย การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นการศึกษาสถานการณ์ ศึกษาระบบการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) <br />ที่ถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในเขตสุขภาพที่ 1 รูปแบบการวิจัยประกอบด้วยการศึกษาสถานการณ์ ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนภารกิจแล้วจำนวน 232 แห่ง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ส่วนการศึกษาระบบการบริหารจัดการมูลฝอย<br />ติดเชื้อใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานของ อบจ. จำนวน 32 คน ทำการเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าเมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานตามกฎหมายพบว่ายังดำเนินการไม่ครอบคลุมในบางประเด็น โดยเฉพาะด้านบุคลากร ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่รับผิดชอบมีวุฒิการศึกษาไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ปฏิบัติงานได้รับการอบรมเพียงร้อยละ 54.3 นอกจากนี้ การเก็บรวบรวม ขนส่ง และกำจัดมูลฝอยติดเชื้อส่วนใหญ่ยังคง<br />รูปแบบเดิม และมีข้อจำกัดด้านบุคลากร งบประมาณและทรัพยากร ส่งผลให้การดำเนินงานในบางพื้นที่ไม่สามารถเป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมายที่กำหนดได้ โดยผู้วิจัยได้นำผลการศึกษามาพัฒนาเป็นแนวทางการบริหารจัดการได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ (1) การจัดตั้งศูนย์กำจัดมูลฝอยติดเชื้อโดย อบจ. พร้อมระบบขนส่ง <br />และกำจัดที่ได้มาตรฐาน (2) การสร้างที่พักรวมมูลฝอยติดเชื้อในระดับจังหวัดหรืออำเภอ แล้วจัดจ้างภาคเอกชนดำเนินการขนส่งและกำจัด (3) การว่าจ้างบริษัทเอกชนขนส่งและกำจัดมูลฝอยติดเชื้อโดยตรงจาก รพ.สต. และ (4) การจัดการโดยให้ รพ.สต. นำมูลฝอยติดเชื้อไปฝากกำจัดร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่าย <br />โดย อบจ. เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ การเลือกรูปแบบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ ข้อเสนอแนะ อบจ. ควรมีรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ มีการกำกับและติดตามอย่างเป็นระบบ การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เป็นไปตามมาตรฐาน <br />และการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักวิชาการและข้อกำหนดทางกฎหมาย เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว</p>
2025-07-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/278542
ผลการฝึกพลัยโอเมตริกบนพื้นทรายกับพื้นหญ้าต่อความสามารถการกระโดดสูงจากพื้น ของนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา
2025-06-05T15:22:09+07:00
ณัฐวัฒน์ ยิ้มสวัสดิ์
nattawat140538@gmail.com
ภัทรพร สิทธิเลิศพิศาล
Nattawat_y@cmu.ac.th
<p>การพัฒนาความสามารถในการกระโดดมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล โดยเฉพาะในเด็กนักกีฬาที่มีข้อจำกัดด้านรูปร่างที่ไม่สูงมากนัก ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการฝึกพลัยโอเมตริกบนพื้นทรายกับพื้นหญ้าต่อความสามารถในการกระโดดสูงของนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา การวิจัยใช้รูปแบบการทดลอง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเพศชายในระดับมัธยมศึกษา อายุ 12-15 ปี จำนวน 20 คน จากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 3 อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ทำการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีจับฉลากแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่มๆละ 10 คน ได้แก่ กลุ่มที่ฝึกพลัยโอเมตริกบนพื้นทราย และกลุ่มที่ฝึกพลัยโอเมตริกบนพื้นหญ้า ทั้งสองกลุ่มได้รับการฝึกด้วยโปรแกรมพลัยโอเมตริกเดียวกัน ประกอบด้วยท่า Multiple Box to Box Jump, Depth Jump, Jump and Reach และ Split Squat Jump โดยแบ่งการฝึกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (สัปดาห์ที่ 1-4) ฝึก 3 ชุดๆละ 10 ครั้ง และระยะที่ 2 (สัปดาห์ที่ 5-8) ฝึก 3 ชุดๆละ 15 ครั้ง โดยพักระหว่างชุด 2 นาที และพักระหว่างท่า 3 นาที ทำการฝึก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ก่อนและหลังการทดลอง ทำการวัดความสามารถในการกระโดดสูงด้วยท่ากระโดดแบบย่อตัวก่อนกระโดด โดยใช้เครื่องมือ Vertec™ Vertical Jump Tester วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U Test และ Wilcoxon Signed Rank Test ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คุณลักษณะพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่างในด้านอายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย และประสบการณ์การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (p > 0.05) ความสามารถในการกระโดดสูงจากพื้นก่อนการฝึกของกลุ่มฝึกบนพื้นทรายและกลุ่มฝึกบนพื้นหญ้าไม่แตกต่างกันทางสถิติ (37.90±11.37 และ 42.50±6.55 เซนติเมตร ตามลำดับ, p > 0.05) และภายหลังการฝึก 8 สัปดาห์ ทั้งสองกลุ่มมีการพัฒนาในด้านระยะการกระโดดที่สูงขึ้น โดยความสามารถในการกระโดดสูงของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันทางสถิติเช่นกัน (39.00±13.61 และ 42.10±7.85 เซนติเมตร ตามลำดับ, p > 0.05) การเปลี่ยนแปลงของความสามารถในการกระโดดสูงหลังการฝึกระหว่างกลุ่มฝึกบนพื้นทรายและกลุ่มฝึกบนพื้นหญ้าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (1.10±3.11 และ 0.04±2.67 เซนติเมตร ตามลำดับ, p = 0.280) ผลการศึกษาสรุปได้ว่า การฝึกพลัยโอเมตริกเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ทั้งบนพื้นทรายและพื้นหญ้าสามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการกระโดดสูงของนักกีฬาได้ โดยไม่ส่งผลต่อความสามารถในการกระโดดสูงที่แตกต่างกันในนักกีฬาวอลเลย์บอลระดับมัธยมศึกษา ดังนั้น ผู้ฝึกสอนสามารถเลือกใช้พื้นผิวได้ตามความเหมาะสมและบริบทที่มี โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาความสามารถในการกระโดดสูงของนักกีฬา</p>
2025-08-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/276700
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-06-16T15:03:34+07:00
วัณยรัตน์ คุณาพันธ์
wanyarat.k@sskru.ac.th
นิติ ชะบำรุง
wanyarat.k@sskru.ac.th
<p>โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญระดับโลกและสาเหตุการเสียชีวิตที่สูง โดยเฉพาะในผู้มีอายุมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ โดยสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองมีสาเหตุหลักมาจากโรคความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ การรับรู้ การสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมดังกล่าวในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอายุ 35 ปีขึ้นไป จำนวน 380 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้แบ่งเป็นแบบสอบถาม 5 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้ แรงสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง มีค่าความเชื่อมั่นเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.73-0.76 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ด้วยสถิติ Pearson Correlation</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมี ระดับความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับมาก โดยรวม อยู่ในระดับมาก (Mean= 9.82, SD = 0.72 ) ด้านข้อมูลการรับรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=3.75, SD = 0.36) ด้านแรงสนับสนุนทางสังคมโดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean= 3.82, SD = 0.47) และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 3.27, SD = 0.70) ตัวแปรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรค ได้แก่ ความรู้ การรับรู้ การสนับสนุนทางสังคม กับพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากมากไปน้อย ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ (r=0.491, p-value < 0.001) สิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ (r=0.407, p-value < 0.001) การรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อ (r=0.371, p-value < 0.001) การรับรู้อุปสรรค (r=0.346, p-value < 0.001)) การรับข้อมูลจากครอบครัว (r=0.238, p-value < 0.001) การรับรู้ความรุนแรง (r=0.216, p-value < 0.001)) การรับรู้โอกาสเสี่ยง (r=0.212, p-value < 0.001) และการรับข้อมูลจากบุคลากรสาธารณสุข (r=0.138, p-value < 0.001) ในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองมีความสัมพันธ์ทางลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r= -0.109, p-value =0.035)</p>
2025-08-15T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/278852
ประสิทธิผลของการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 3 โรงพยาบาลลำพูน
2025-07-25T10:41:48+07:00
กิตติกาญจน์ ปัญญาวัฒโน
kittikarn03032515@gmail.com
<p>ภาวะปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นปัญหาอันดับต้นของการติดเชื้อในโรงพยาบาลและผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้ ทักษะการปฏิบัติการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพ ก่อนและหลังการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติฯ และเปรียบเทียบอุบัติการณ์ของการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยวิกฤตอายุรกรรม ก่อนและหลังการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติฯ กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 16 คน ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 3 โรงพยาบาลลำพูน ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ก่อนและหลังการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติฯ กลุ่มละ 40 ราย เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของพยาบาล แบบบันทึกอุบัติการณ์ของการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ แบบประเมินความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ Fisher’s exact probability test, Independent Samples Test และ Paired Samples t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติฯ พยาบาลวิชาชีพ มีคะแนนเฉลี่ยความรู้เพิ่มจาก 12.62 (SD=3.22) คะแนน เป็น 17.62 (SD=2.18) คะแนน (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ทักษะการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยรวมสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 85.0 เป็นร้อยละ 97.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่าเฉลี่ยจำนวนวันที่ใส่ท่อช่วยหายใจลดลงจาก 5.32 เป็น 3.02 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.05) และไม่พบอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ สรุปการส่งเสริมการใช้แนวปฏิบัติฯ ช่วยพัฒนาความรู้ ทักษะของพยาบาลวิชาชีพ และช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ ลดระยะเวลาการใส่ท่อช่วยหายใจ</p>
2025-08-20T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/279480
ผลของโปรแกรมการวางแผนจำหน่าย ต่อการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรงพยาบาลลำพูน
2025-08-13T13:54:44+07:00
อังคณา คำฟู
khumfoo@gmail.com
<p>การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นกระบวนการดูแลรักษาพยาบาลที่สำคัญในการส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัย ช่วยฟื้นฟูสภาพหลังผ่าตัด และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วย การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความรู้ การฟื้นฟูสภาพหลังผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายกับกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมที่โรงพยาบาลลำพูน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 25 คน และกลุ่มทดลอง จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและสุขภาพ แบบประเมินความรู้การดูแลตนเอง และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียมของผู้ป่วย แบบบันทึกระดับความปวดหลังผ่าตัดของผู้ป่วย แบบบันทึกความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อเข่าหลังผ่าตัด แบบบันทึกความสามารถในการเดินพื้นราบในระยะ 10 เมตร และแบบบันทึกภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสถิติ Fisher Exact probability test และค่าสถิติ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรม มีคะแนนความรู้การดูแลตนเองและการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียมที่สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) มีคะแนนความปวดที่น้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (p<0.001) สามารถฟื้นฟูสภาพทั้งการเคลื่อนไหวข้อเข่าหลังผ่าตัด และสามารถเดินพื้นราบในระยะ 10 เมตร ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ไม่พบภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ตลอดจนกลุ่มทดลองมีระยะเวลาวันนอนโรงพยาบาล ที่น้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)</p> <p>สรุปโปรแกรมการวางแผนจำหน่าย ช่วยฟื้นฟูสภาพ เพิ่มความรู้ในการดูแลตนเองและการปฏิบัติตนหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียมของผู้ป่วย ตลอดจนช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังหลังผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-09-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/278899
ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ในการป้องกันการเกิด โรคหลอดเลือดสมองของประชาชนในเขตชุมชนกึ่งเมืองแห่งหนึ่ง จังหวัดเชียงใหม่
2025-07-21T15:49:35+07:00
อัญพัชญ์ วิวัฒน์กมลชัย
aunyapat@bcnc.ac.th
จตุพงษ์ พันธ์วิไล
beerpanwilai@gmail.com
ธารินทร์ คุณยศยิ่ง
aunyapat@bcnc.ac.th
ปวีณ์ริศา ทาใจ
aunyapat@bcnc.ac.th
ปุรินทร์ ศรีศศลักษณ์
aunyapat@bcnc.ac.th
<p><strong> </strong>โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่มีความรุนแรงและคุกคามชีวิต แต่สามารถป้องกันได้ หากประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปฏิบัติพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ก็จะลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของประชาชน กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านป่าข่อยเหนือ ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงตุลาคม 2567 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวนทั้งสิ้น 405 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคหลอดเลือดสมอง และแบบสอบถามพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน ก่อนการนำไปเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 45 ปี) โดยกลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคหลอดเลือดสมอง และพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 69.14 และ 68.89 ตามลำดับ) โดยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 6 ทักษะ อยู่ในระดับปานกลาง ดังนี้ ทักษะความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ (ร้อยละ 72.35) ทักษะการเข้าถึงข้อมูล และบริการด้านสุขภาพ (ร้อยละ 55.80) ทักษะการสื่อสารข้อมูลทางสุขภาพ (ร้อยละ 61.23) ทักษะการจัดการตนเอง (ร้อยละ 61.98) ทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (ร้อยละ 76.79) และทักษะการตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง (ร้อยละ 50.12) และมีพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ด้านการรับผิดชอบต่อสุขภาพ (ร้อยละ 53.58) ด้านกิจกรรมทางกาย (ร้อยละ 52.10) ด้านโภชนาการ (ร้อยละ 83.70) ด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (ร้อยละ 53.33) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (ร้อยละ 55.31) และด้านการจัดการกับความเครียด (ร้อยละ 60.99)</p> <p> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะสามารถปฏิบัติพฤติกรรม หรือคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสม ในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น ประชาชนกลุ่มนี้ควรได้รับการสนับสนุนในการเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อให้สามารถมีพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่ถูกต้อง และเหมาะสมต่อไป</p>
2025-09-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/279318
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้และการมีส่วนร่วม ในการดำเนินงานชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุเขตสุขภาพที่ 1
2025-08-18T09:17:13+07:00
พัชรี รำไพ
phatcharee.eiw@gmail.com
วริษฐา พุ่มทอง
olderadults68@gmail.com
<p>การวิจัยภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ รวมถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุในเขตสุขภาพที่ 1 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้สูงอายุจาก 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จำนวน 424 ราย ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (convenience sampling) เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามเนื้อหาครอบคลุม (1) ข้อมูลทั่วไป (2) ระดับการรับรู้ และ (3) การมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการพัฒนาชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ โดยแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.97 การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติไคสแควร์ (chi-square test) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีระดับการรับรู้ (58.3%) และการมีส่วนร่วม (44.1%) <br>อยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการรับรู้ ได้แก่ เพศ (p = 0.001) อายุ <br>(p = 0.016) จังหวัดที่อาศัย (p = 0.050) รายได้ครัวเรือนต่อเดือน (p = 0.040) ตำแหน่งหรือบทบาทในชุมชน <br>(p = 0.001) และรูปแบบการปกครองท้องถิ่น (p = 0.023) ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับการมีส่วนร่วม ได้แก่ ระดับการศึกษา (p < 0.001) การเป็นสมาชิกชมรม/โรงเรียนผู้สูงอายุ (p = 0.016) ตำแหน่งหรือบทบาทในชุมชน <br>(p < 0.001) และการเป็นคณะกรรมการชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ / ผู้พิการ (p = 0.002) นอกจากนี้ <br>พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับรู้และการมีส่วนร่วม (p < 0.001) โดยผู้สูงอายุที่มีการรับรู้สูงมีแนวโน้มมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนถึง 64.6%</p> <p><strong>สรุป</strong>: การส่งเสริมการรับรู้ผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย (เช่น สื่อประชาสัมพันธ์ กิจกรรมให้ความรู้) และการสนับสนุนบทบาทผู้สูงอายุในชมรมหรือคณะกรรมการชุมชน จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ ควรพัฒนานโยบายและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุและผู้พิการ, เขตสุขภาพที่ 1, ผู้สูงอายุ, การรับรู้, การมีส่วนร่วม</p>
2025-09-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275964
ความสัมพันธ์ระหว่าง อุณหภูมิ/ปริมาณฝน กับ จำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก โรคพิษจากเห็ด โรคเมลิออยโดสิส และโรคฉี่หนูในจังหวัดเพชรบูรณ์
2025-08-08T10:10:07+07:00
วัฒนา ชยธวัช
vadhana.j@ptu.ac.th
ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ
chatsiri.c@siu.ac.th
กาญจนา อาชีพ
Kanjana.ar@western.ac.th
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสังเกต แบบ ecological time-series analysis มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสหสัมพันธ์และอัตราอุบัติการณ์ของจำนวนผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวเนื่องจากปัจจัยอุณหภูมิและปริมาณฝนในจังหวัดเพชรบูรณ์ ใช้ข้อมูลอนุกรมเวลารายเดือนมีขนาดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 เดือน ตั้งแต่มกราคม 2564–สิงหาคม 2567 ข้อมูลอุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุดรายวันเฉลี่ย ปริมาณฝนรวมรายเดือน และรายวันเฉลี่ย รวบรวมจากส่วนสารสนเทศอุตุนิยมวิทยา ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปาก โรคพิษจากเห็ด โรคเมลิออยโดสิส และโรคฉี่หนู รวบรวมจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสหสัมพันธ์เพียร์สันและตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไป ประมวลผลด้วยโปรแกรมวิเคราะห์สถิติจาโมวี โมดูล GLAMj ผลการศึกษาพบว่า 1) จำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคมือเท้าปากมีตัวแบบที่สอดคล้องกับข้อมูลคือ ตัวแบบการถดถอยควอไซปัวซง (Quasi-Poisson regression) มีปริมาณฝนรวมเป็นตัวแปรต้น มีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน เท่ากับ 0.35 สัมประสิทธิ์การกำหนดเท่ากับ 0.22 และอัตราอุบัติการณ์เมื่อปริมาณฝนเพิ่มขึ้น 1 มิลลิเมตร จะมีจำนวนผู้ป่วยมือเท้าปากเพิ่มขึ้น 1.01 เท่า 2) จำนวนผู้ป่วยรายเดือนโรคพิษจากเห็ดมีตัวแบบที่สอดคล้องกับข้อมูลคือ ตัวแบบการถดถอยควอไซปัวซง โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดเป็นตัวแปรต้น มีสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันเท่ากับ 0.43 สัมประสิทธิ์การกำหนดเท่ากับ 0.40 และอัตราอุบัติการณ์เมื่ออุณหภูมิต่ำสุดเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะมีจำนวนผู้ป่วยโรคพิษจากเห็ดเพิ่มขึ้น 1.95 เท่าจากค่าเฉลี่ย 3) ส่วนโรคเมลิออยโดสิสไม่มีตัวแบบที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และ 4) โรคฉี่หนูมีจำนวนผู้ป่วยในรอบ 44 เดือนเพียง 17 คนจึงไม่พิจารณาตัวแบบ ข้อมูลการพยากรณ์ปริมาณฝนและอุณหภูมิต่ำสุดล่วงหน้าสามารถใช้เป็นปัจจัยนำเพื่อประเมินจำนวนผู้ป่วยจากโรคมือเท้าปากและโรคพิษจากเห็ดซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่นำไปกำหนดมาตรการการเฝ้าระวังที่เหมาะสมต่อไป</p>
2025-10-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/279347
ผลของโปรแกรมการปรับตนเองต่อความวิตกกังวล ความปวด และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกทางหน้าท้อง กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลลำพูน
2025-09-01T14:31:00+07:00
ธัญญ์วรัตน์ อินทรจักร์
tunwarut14@gmail.com
<p>ผลการศึกษา พบว่า หลังได้รับโปรแกรมการปรับตนเองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลที่น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.001 ค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดหลังผ่าตัด พบว่า เมื่อครบ 24 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดหลังผ่าตัดระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อครบ 48 ชั่วโมง และ 72 ชั่วโมง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความปวดที่น้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.001 ค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด พบว่า กลุ่มทดลองสามารถปฏิบัติตนหลังผ่าตัดได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.001 กล่าวได้ว่าโปรแกรมการปรับตนเองนี้ ช่วยลดความวิตกกังวล ความปวด และเสริมสร้างการปฏิบัติตนหลังผ่าตัดที่ดีให้ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกทางหน้าท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-07T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/278304
โลหิตจางกับทุพโภชนาการ
2025-05-27T09:53:31+07:00
ยุทธนา หมั่นดี
yuttana_mun@nation.ac.th
สุรสิทธิ์ บุพชาติ
yuttana_mun@nation.ac.th
ปวเรศ ปัญญาใจ
yuttana_mun@nation.ac.th
<p>ภาวะโลหิตจาง (Anemia) และภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่มีความสัมพันธ์กัน โดยภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และโฟเลต ซึ่งส่งผลให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงต่ำลง และเม็ดเลือดแดงมีความผิดปกติส่งผลให้การขนส่งออกซิเจนลดลง และเกิดอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ ในขณะที่ทุพโภชนาการยังส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายด้านอื่น ๆ รวมถึงระบบการสร้างเลือดด้วย สาเหตุหลักของภาวะโลหิตจางจากการขาดการขาดสารอาหาร คือ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดยมักพบในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ การขาดวิตามินบี 12 และโฟเลต นั้นส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่หรือเม็กกาโลบลาสติกอนีเมีย ในขณะที่การขาดโปรตีนและพลังงาน และโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหาร เช่น โรคติดเชื้อและภาวะการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ยังก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางได้เช่นกัน มาตรการป้องกันและแก้ไขภาวะเหล่านี้ ได้แก่ การเสริมสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภค และให้ความรู้ด้านโภชนาการแก่ประชาชน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยลดอุบัติการณ์ของภาวะโลหิตจางจากทุพโภชนาการ และส่งเสริมสุขภาพประชากรได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-07-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา