https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/issue/feed
วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
2025-03-21T09:46:48+07:00
แพทย์หญิงสิดาพัณณ์ ยุตบุตร
researchhpc1@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา</strong> (Lanna Journal of Health Promotion & Environmental Health) โดยศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งความรู้จากการจัดการความรู้และงานวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม ทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม รับบทความวิจัย บทความวิชาการ รายงานผู้ป่วย ด้านการแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขส่งเสริมสุขภาพตามกลุ่มวัย อนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการของ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และบุคลากรด้านสาธารณสุข บทความต้นฉบับที่จะตีพิมพ์ยังไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารอื่นมาก่อน</p> <p>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา (Lanna Journal of Health Promotion & Environmental Health) ได้รับการรับรองคุณภาพโดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ให้เป็น วารสารกลุ่มที่ 2 (TCI Tier 2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572</p> <p><strong>การพิจารณาคุณภาพของบทความ : <br />โดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer-Reviewers) จากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 2-3 ท่านต่อบทความ</strong> โดยผู้ส่งบทความระบุจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิที่ต้องการให้ประเมิน (2 หรือ 3 ท่าน) ในหนังสือนำส่งบทความเพื่อรับการพิจารณา</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสารฯ: ตีพิมพ์ ปีละ 2 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1</strong> เดือน มกราคม ถึง มิถุนายน<br /><strong>ฉบับที่ 2</strong> เดือน กรกฏาคม ถึง ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่<br /></strong>วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา ยั<strong>งไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการเผยแพร่บทความ</strong></p> <p> </p> <p>ISSN: 2822-0471 (Online)</p> <p>ISSN: 2228-9410 (Print)</p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/273423
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก เรื่อง การเริ่มอาหารตามวัยของเด็กอายุ 6 เดือน ที่มารับบริการคลินิกสุขภาพเด็กดี รพ.ส่งเสริมสุขภาพเชียงใหม่
2024-10-31T14:05:01+07:00
สุวรรนี ประดิษฐ์
spradit99@gmail.com
จันจิรา ภีร์สวัสดิ์
spradit99@gmail.com
<p>การส่งเสริมโภชนาการเด็กโดยส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีความรู้เรื่องการจัดอาหารให้เด็กได้รับอาหารตามวัยที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการให้อาหารเด็กที่ถูกต้องแก่ผู้ดูแลจะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่ดีไม่มีปัญหาอ้วนหรือขาดสารอาหาร การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ พฤติกรรมการให้อาหารตามวัย และประเมินความพึงพอใจ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กอายุ 4 เดือน ที่มารับบริการในคลินิกสุขภาพเด็กดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2567 จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ โปรแกรมการให้ความรู้ผู้ดูแลเด็ก และแบบสอบถาม ความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า IOC แบบสอบถามความรู้ และแบบสอบถามพฤติกรรมได้ค่า IOC 0.67-1.00 และ 0.75-1.00 ตามลำดับ ความเที่ยงของเครื่องมือค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.80 และ เท่ากับ 0.91 ตามลำดับ เก็บข้อมูลในระยะขั้นดำเนินการทดลองและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ความรู้เรื่องการเริ่มอาหารตามวัยของเด็กอายุ 6 เดือน ของผู้ดูแลเด็กหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) (2) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการให้อาหารตามวัยของผู้ดูแลเด็ก ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (3) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการให้อาหารตามวัยของผู้ดูแลเด็ก ในขณะป้อนอาหารตามวัยให้เด็ก ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) และ (4) ผู้ดูแลเด็กมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ ในระดับระดับสูงมาก ( = 4.54 S.D.= 0.533)</p> <p>ผลการศึกษานี้ให้ประโยชน์ในการส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมของผู้ดูแลให้สามารถดูแลโภชนาการเด็กได้อย่างเหมาะสมต่อไป</p>
2025-01-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274316
ผลของการให้คำปรึกษาต่อความวิตกกังวลของสตรีที่มีผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลลำพูน
2024-12-02T15:40:11+07:00
วรรณวรางค์ คหวัฒน์ธรางกูร
wannawarangim@gmail.com
<p>สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองปากมดลูกผิดปกติ อาจส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจได้ และทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว และในบางครั้งอาจเกิดความแคลงใจต่อผลการวินิจฉัยได้ การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวลก่อนและหลังให้คำปรึกษา ภายในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างคือสตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลลำพูน จำแนกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ชุดกิจกรรมให้คำปรึกษาแก่สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ พัฒนาขึ้นตามกรอบทฤษฎีการให้คำปรึกษาแก่ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ของ Rogers (1996) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความวิตกกังวล (STAI form Y-1) ของ Spielberger ที่พัฒนาและแปลเป็นภาษาไทยโดย อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย (2563) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Fisher’s exact probability test, Paired sample t-test และ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังให้คำปรึกษาคะแนนความวิตกกังวลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยในกลุ่มทดลองมีคะแนนความวิตกกังวลอยู่ในระดับต่ำ (mean=37.16, SD=8.21) ขณะที่กลุ่มควบคุมมีคะแนนความวิตกกังวลอยู่ในระดับปานกลาง (mean=46.46, SD=6.65)</p> <p>กล่าวได้ว่า ชุดกิจกรรมให้คำปรึกษาแก่สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกตินี้ ช่วยลดความวิตกกังวล และเสริมสร้างให้สตรีที่มีผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติสามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยในขั้นตอนต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-01-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/273669
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวล ในผู้ป่วยที่ได้รับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก โรงพยาบาลลำพูน
2024-12-02T15:13:05+07:00
อรัญญา พงศ์นภดล
aranya.pongnapadol@gmail.com
<p>โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ จัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรไทยเป็นอย่างยิ่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก ซึ่งขณะสลายนิ่วผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สุขสบายจากความปวดขณะสลายนิ่ว การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความปวด คะแนนความวิตกกังวล และระดับความพึงพอใจของผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคนิ่วทางเดินระบบปัสสาวะ ที่เข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก โรงพยาบาลลำพูน ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทดลอง จำนวน 40 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวล ประยุกต์ใช้แนวคิดการดูแลตนเอง ของโอเร็ม (Orem, 2001) เครื่องมือที่ใช้ในรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย แบบประเมินความปวด แบบประเมินความวิตกกังวล แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Fisher’s exact probability test และ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ต่อการจัดการความปวดและความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ได้รับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก มีคะแนนเฉลี่ยความปวด ความวิตกกังวล น้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจต่อการรับบริการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทกที่มากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>กล่าวได้ว่า โปรแกรมนี้ช่วยให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทกสามารถจัดการความปวดและความวิตกกังวลได้ และสร้างความพึงพอใจในบริการเข้ารับการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก</p>
2025-01-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274488
ผลของโปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน งานฝากครรภ์ โรงพยาบาลพร้าว
2024-12-20T11:51:36+07:00
นางจันจิรา นิลสนิท
jninsanit@gmail.com
<p style="font-weight: 400;">การทดลองนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง (quasi-experimental) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2) เพื่อเปรียบเทียบน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมและ 3) เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มตัวอย่างคือหญิงตั้งครรภ์ที่มี BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 23 กิโลกรัม/ตารางเมตร ที่มารับบริการฝากครรภ์โรงพยาบาลพร้าว จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 60 รายโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน ใช้เวลา 7 สัปดาห์ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์ แบบบันทึกภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ แบบสอบถามพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติใช้สถิติ เชิงพรรณนา แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi square, Paired sample t-test, Independent-t test ผลการวิจัยพบว่า หลังใช้โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกิน พบว่ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ p < .001 และมากกว่ากลุ่มควบคุม น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ p < .001 และพบว่า กลุ่มทดลองมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์น้อยกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งบุคลากรทางสุขภาพอาจนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำหนักเกินในหน่วยงาน และขยายไปยังสถานบริการโรงพยาบาลอื่นต่อไป</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>คำสำคัญ </strong>โปรแกรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย, พฤติกรรมการควบคุมน้ำหนัก,หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์</p> <p style="font-weight: 400;"> </p> <p style="font-weight: 400;"> </p>
2025-01-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275472
ผลของการใช้กระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
2024-12-31T11:29:41+07:00
มยุรีย์ อิทธิภูวดล
mayureemail@gmail.com
อาทิตยา ขัดพูน
mayureemail@gmail.com
รัชนีกร แก้วใส
mayureemail@gmail.com
ทักษ์ดนัย ลิ้มวิลัย
mayureemail@gmail.com
วิทยา บุญยศ
mayureemail@gmail.com
<p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในระดับโลกและระดับประเทศ เป็นสาเหตุของการเกิดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มเปรียบเทียบก่อนหลังและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ มีจุดประสงค์เฉพาะเพื่อเปรียบเทียบระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงกลุ่มวัยทำงาน ก่อนและหลังได้รับกระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต ภายในกลุ่มทดลอง และหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ดำเนินการเดือนมกราคม - สิงหาคม 2567 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นกลุ่มวัยทำงาน มีอายุระหว่าง 18 - 59 ปี และได้รับการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงทั้งที่เป็นโรคหลักหรือโรคร่วม โดยขึ้นทะเบียนรับการรักษาที่คลินิกส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จำนวน 153 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้โปรแกรม G * power ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง รวม 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 38 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ Systematic sampling โดยการแบ่งวันคู่และวันคี่ สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ เต็มใจให้ความร่วมมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มทดลองสัมภาษณ์โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพเวชศาสตร์วิถีชีวิต, แบบประเมิน STOP-BANG Questionnaire ประเมินผลลัพธ์การวิจัยก่อนและหลังสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มควบคุมได้รับการบริการตามปกติ ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ใช้สถิติ Mann-Whitney U-Test เปรียบเทียบภายในกลุ่มทดลอง และสถิติ Wilcoxon Signed-Ranks Test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่าภายหลังการได้รับกระบวนการดูแลตนเองด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต หลังสัปดาห์ที่ 12 กลุ่มทดลองมีระดับความดันโลหิต ค่าดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอวต่ำกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่าระดับความดันโลหิต ของกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนระดับดัชนีมวลกายและ เส้นรอบเอวไม่มีความแตกต่างกัน</p>
2025-01-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275141
โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางต่อ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร การรับประทานยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและความเข้มข้นของเลือดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
2025-01-07T10:38:03+07:00
ชนานันท์ ปัญญาศิลป์
chana0247@gmail.com
กฤษณา กาเผือก
chana0247@gmail.com
<p> ภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ส่งผลความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย ตกเลือดหลังคลอด ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยที่สำคัญในหญิงตั้งครรภ์มีมีภาวะโลหิตจาง การวิจัยแบบกึ่งทดลองเพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เป็นหญิงตั้งครรภ์อายุ 18 ปีขึ้นไป มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่า 11 กรัม/เดซิลิตร ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม - ตุลาคม 2567 แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และ กลุ่มทดลองกลุ่มละ 25 ราย เข้ารับโปรแกรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ 1) โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง 6 องค์ประกอบ 2) แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงด้านเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) .82 และค่าความเชื่อมั่น (reliability) สัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบราค .92 สถิติใช้สถิติพรรณนาแสดงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทำการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกรณีการแจกแจงข้อมูลไม่เป็นโค้งปกติ จึงใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Non Parametric ด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test และ Mann-Whitney U-test</p> <p> ภายหลังการทดลอง พบว่ากลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความรอบรู้ พฤติกรรมด้านการรับประทานอาหารและยา และความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 เมื่อนำ 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบพบว่า ความรอบรู้ของกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ส่วนพฤติกรรมด้านการรับประทานอาหารและยา และความเข้มข้นของเลือดของทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน ดังนั้น พยาบาลควรใช้โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง และเป็นแนวทางพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ในหญิงตั้งครรภ์สำหรับปัญหาอื่นต่อไป</p>
2025-01-13T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274884
ผลการใช้โปรแกรมการลดน้ำหนัก ชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหาร (Intermittent Fasting : IF) ในเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินค่าปกติ
2024-12-25T09:49:26+07:00
ภัทราภรณ์ เอมย่านยาว
tuyda2513@gmail.com
วิระฉัตร ชูสิน
tuyda2513@gmail.com
รุจิตรา ธัญญเจริญ
tuyda2513@gmail.com
<p>ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถป้องกันและรักษาได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารของเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองที่มีน้ำหนักเกิน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงคือเจ้าหน้าที่มีน้ำหนักเกินและยินยอมเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบเก็บข้อมูลส่วนบุคคล น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย รอบเอว แบบประเมินความรู้เรื่องภาวะโภชนาการและการบริโภคอาหาร และโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารรูปแบบ 16/8 โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนร่วมกับทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดำเนินการศึกษารวม 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Pair t-test และ Repeated-Anova ผลการวิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่องภาวะโภชนาการ และการบริโภคอาหารของกลุ่มตัวอย่างหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการลดน้ำหนักชนิดการจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารสูงขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอวของ กลุ่มตัวอย่าง 3 ช่วงเวลาได้แก่เริ่มโครงการ, ครบ 4 สัปดาห์ และครบ 8 สัปดาห์ พบว่าทั้ง 3 ช่วงเวลาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) สรุปได้ว่าโปรแกรมการจำกัดเวลาการรับประทานอาหารรูปแบบ 16/8 ทำให้ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมีน้ำหนักลดลง ดัชนีมวลกายลดลง รอบเอวลดลง มีความรู้ภาวะโภชนาการและการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปสื่อสารเพื่อเป็นทางเลือกในการลดน้ำหนักในกลุ่มวัยทำงานได้</p>
2025-01-14T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275174
การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
2025-01-09T09:54:19+07:00
จันทร์ฉาย สิงห์นนท์
janchai.singh@gmail.com
ปลื้มจิต โชติกะ
pleumjit@bcnc.ac.th
กฤษณา กาเผือก
janchai.singh@gmail.com
<p> ภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต ขณะที่ทารกเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกิน การคลอดติดไหล่ และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังในระยะยาว การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบ ศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้นและความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ดูแลหญิงที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ เชียงใหม่</p> <p> การศึกษาครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ <br />1) การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการดูแลและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ <br />2) การพัฒนาแนวทางการดูแลที่มีประสิทธิภาพร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ และ 3) การประเมินผลของรูปแบบการดูแลและความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบไปใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแรงจูงใจและพฤติกรรมการป้องกันเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ที่มีค่าสัมประสิทธิ์ Cronbach’s Alpha – Coefficient มีค่าความเชื่อมั่น 0.87 กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบด้วยกลุ่มทดลอง 26 คน และกลุ่มควบคุม 26 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบการดูแลไปใช้ ถูกสรุปเป็นประเด็นสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไม่เพียงแต่กระตุ้นแรงจูงใจ แต่ยังส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์นำความรู้ไปปรับใช้ในพฤติกรรมการป้องกันเบาหวานได้ จากการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองมีการรับรู้และความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการจัดการภาวะเสี่ยง รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายเหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) รูปแบบการดูแลนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหน่วยงานและในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยง เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของแม่และทารกในครรภ์</p>
2025-01-15T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275870
ผลของกิจกรรม Early skin to skin contact ระหว่างมารดาและทารกที่ได้รับ การผ่าตัดคลอดต่อประสิทธิภาพการดูดนมของทารกและความผูกพันระหว่างมารดาและทารก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
2025-01-13T15:34:57+07:00
นงคราญ ศรีสง่า
pimjai@bcnc.ac.th
พิมพ์ใจ อุ่นบ้าน
pimjai@bcnc.ac.th
<p>ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กอายุ 0-6 เดือน ที่ได้รับนมแม่เพียงร้อยละ 14 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของกรมอนามัยที่กำหนดไว้ในปี 2568 (ร้อยละ 50) กิจกรรม Early skin to skin contact ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยส่งเสริมให้ทารกดูดนมจากมารดาได้ภายในครึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดูดนมและความผูกพันระหว่างมารดากับทารกที่ได้รับการผ่าตัดคลอด และเข้าร่วมกิจกรรม Early skin to skin contact ในห้องผ่าตัด กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือหญิงตั้งครรภ์และทารกที่คลอดครบกำหนดคลอดโดยการผ่าตัดในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จำนวน 52 คู่ โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 26 คู่ ทำกิจกรรมในห้องผ่าตัด และกลุ่มควบคุม 26 คู่ ทำกิจกรรมในห้องพักฟื้นตามการบริการปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แนวปฏิบัติ <br />Early skin to skin contact แบบประเมินประสิทธิภาพการดูดนม และแบบสอบถามความผูกพันระหว่างมารดากับทารก ซึ่งเครื่องมือได้รับการตรวจสอบความตรงจากผู้เชี่ยวชาญและมีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.67 และสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.92</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนประสิทธิภาพการดูดนมของกลุ่มทดลอง (9.88) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (8.81) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่นเดียวกับความผูกพันระหว่างมารดาและทารกที่กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ย 3.36 สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ 2.97 ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กิจกรรม Early skin to skin contact ส่งเสริมประสิทธิภาพการดูดนมและความผูกพันระหว่างมารดากับทารก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการนำไปปฏิบัติในห้องผ่าตัดเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก</p>
2025-01-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274624
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหนองห่าย ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
2025-01-17T10:03:07+07:00
กิติภรณ์ เป็งภิระ
kitiporn0891041944@gmail.com
สิวลี รัตนปัญญา
siwalee_rat@g.cmru.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการตนเองสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหนองห่าย ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 40 คน กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประกอบด้วยการให้สื่อวิดีโอวิดีทัศน์ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่าง ๆ การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามประเมินความรุนแรงของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และพฤติกรรมการจัดการตนเองเกี่ยวกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ประกอบด้วย การจัดการแบบแผนชีวิต การจัดการทางแพทย์ และการจัดการแบบประคับประคอง ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการทดสอบอันดับที่มีเครื่องหมายกำกับของวิลคอกซัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการจัดการตนเองด้านแบบแผนชีวิต ด้านการจัดการด้านทางแพทย์ และด้านการประคับประคองของผู้สูงอายุหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองด้านการ มีคะแนนสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p ≤ 0.001) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการส่งเสริมการจัดการตนเองสามารถช่วยลดปัญหาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนได้</p>
2025-01-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275000
ผลของรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (lifestyle medicine) ผู้รับบริการกลุ่มเสี่ยงไขมันในเลือดผิดปกติวัยทำงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก
2025-01-17T10:18:52+07:00
กรรณิการ์ สุวรรณ
suwangunny@gmail.com
ปาวรตี สิงขรัตน์
Suwangunny@gmail.com
มนตรา พิเชฐวีรชัย
Suwangunny@gmail.com
<p>ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเสียชีวิตมากที่สุดและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนเพิ่มมากและตายก่อนวัยอันควร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตผู้รับบริการกลุ่มเสี่ยงไขมันในเลือดผิดปกติวัยทำงาน กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มเสี่ยงที่มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติที่มารับบริการที่ศูนย์สุขภาพดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 40 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการปรับพฤติกรรมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการรักษาพยาบาลตามปกติ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ข้อมูลด้านสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพเวชศาสตร์วิถีชีวิต แบบบันทึกระดับไขมันในเลือด และแบบบันทึกสมรรถภาพหัวใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Fisher Exact test,Chi-square test, Independent t-test และWilcoxon signed rank test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพเวชศาสตร์วิถีชีวิตด้านควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย เลิกบุหรี่และแอลกอฮอล์ และการนอนมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value < 0.05 กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับไขมันในเลือดชนิดคอเลสเตอรอลรวมและแอลดีแอลน้อยกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value < 0.05 ส่วนค่าเฉลี่ยระดับไขมันในเลือดชนิดเอชดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน และกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยสมรรถภาพหัวใจดีขึ้นมากกว่าก่อนทดลองและดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ p-value < 0.05</p> <p>รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีและ ลดความเสี่ยงภาวะไขมันในเลือดผิดปกติในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำไปใช้ในการกำหนดมาตรหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพต่อไป</p>
2025-01-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/273053
ความพึงพอใจและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุข สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน
2025-01-28T15:55:17+07:00
จตุพล พงษ์ธนพิบูล
ageemail4me@gmail.com
<p>ในปี 2566-2567 มี สอน. และ รพ.สต. ในจังหวัดลำพูนถ่ายโอนไป อบจ.ลำพูน ร้อยละ 38.36 ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นและถ่ายโอนครบทุกแห่งในปี 2570 อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจและแรงจูงใจของบุคลากรที่ถ่ายโอน การวิจัยแบบผสมผสานมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและปัจจัยที่มีผลต่อระดับความพึงพอใจและแรงจูงใจ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการเพิ่มระดับความพึงพอใจและแรงจูงใจของบุคลากรดังกล่าว ศึกษาในบุคลากรที่ถ่ายโอนไปสังกัด อบจ.ลำพูนในปีงบประมาณ 2566 จำนวน 11 แห่ง รวม 47 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบง่าย 34 คน เก็บข้อมูลระหว่างเมษายนถึงพฤษภาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่มีค่า IOC= 0.6-1.0 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา 0.78-0.96 ประกอบด้วย 3 ส่วนคือส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 แบบวัดความพึงพอใจและแรงจูงใจ 5 ด้าน เป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ คือ 1) นโยบายและการบริหารงานองค์กร 2) การบริหารงานบุคคล/ส่งเสริมความก้าวหน้าในสายงาน 3) เงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการ 4) สภาพแวดล้อมในการทำงาน 5) วัฒนธรรมองค์กร ส่วนที่ 3 ความคิดเห็นต่อปัญหาและข้อเสนอเพื่อสร้างแรงจูงใจฯ ลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคว์สแคว และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับความพึงพอใจและแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก ( = 3.83 ± 0.44) พบว่า ปัจจัยตำแหน่งงานมีความสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจและแรงจูงใจด้านนโยบายและการบริหารงานองค์กร การบริหารงานบุคคล/ส่งเสริมความก้าวหน้าในสายงาน ด้านเงินเดือน/ค่าตอบแทน และสวัสดิการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p ≤0.05 ปัจจัยด้านอายุมีความสัมพันธ์กับด้านการบริหารงานบุคคล/ส่งเสริมความก้าวหน้าในสายงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะของคือการจัดสรรบุคลากรให้เพียงพอเหมาะสมกับงาน ความก้าวหน้าในสายอาชีพ ความชัดเจนในกฎระเบียบ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรจะทำให้เกิดแรงจูงใจและความพึงพอใจในการการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งความรู้สึกผูกพันธ์และเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร</p>
2025-03-10T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275073
ผลของการใช้กระบวนการกลุ่มเพื่อพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ในคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลลี้ จังหวัดลำพูน
2025-02-25T14:17:16+07:00
จินดารัตน์ สุนทร
jindaratrsuntorn@gmail.com
<p>โรคความดันโลหิตสูงมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัจจัยการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป การใช้กระบวนการกลุ่มต่อ<br />การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพต่อไป การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้กระบวนการกลุ่มต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่มารับการรักษา ในคลินิกโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลลี้ จังหวัดลำพูน จำนวน 60 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม (Randomization) เป็นกลุ่มทดลองจำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 30 คน ระยะเวลา 16 สัปดาห์ โดยกลุ่มทดลองได้รับการใช้กระบวนการกลุ่ม ระยะเวลา <br />4 สัปดาห์ ได้แก่ การให้ความรู้ เรื่องโรคความดันโลหิตสูงและภาวะแทรกซ้อน เรื่องการควบคุมอาหารและสารเสพติด เรื่องการออกกำลังกาย การจัดการอารมณ์ และการใช้ยา และเรื่องการดูแลสุขภาพทั่วไป ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ การประเมินผลพฤติกรรมสุขภาพ โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพของผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมสุขภาพ ก่อนและหลังได้รับการใช้กระบวนการกลุ่ม โดยใช้สถิติ Wilcoxon Signed-Rank test และระหว่างกลุ่ม ใช้สถิติ Mann-Whitney U test ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มทดลอง หลังได้รับการใช้กระบวนการกลุ่มมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่ากลุ่มก่อนได้รับการใช้กระบวนการกลุ่มที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) และผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หลังได้รับการใช้กระบวนการกลุ่มมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.01) กล่าวได้ว่าการใช้กระบวนการกลุ่ม ในผู้ป่วยโรคความดันหิตสูง สามารถเพิ่มความรู้ และปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ ดังนั้นพยาบาล และทีมบุคลากรสุขภาพ ควรนำการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่ม มาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เพื่อให้การดูแลตนเองเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพได้ถูกต้อง</p>
2025-03-18T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/276603
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และภาวะสุขภาพ ของบุคลากรโรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่
2025-03-21T09:46:48+07:00
สุพรรณิกา ไชยวรรณ์
supannika.spnt@gmail.com
วรางคณา นาคเสน
supannika.spnt@gmail.com
ปาริฉัตร องอาจบริรักษ์
supannika.spnt@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และภาวะสุขภาพ <br />กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรโรงพยาบาลสวนปรุง ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพและมีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการประกอบไปด้วย ไขมันชนิดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ระดับน้ำตาล และระดับกรดยูริก ในเลือด ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ทำการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 202 คน อย่างมีระบบ (Systematic Random Sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน ปี พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์สเปียร์แมน ผลการศึกษาพบว่า <br />กลุ่มตัวอย่างโดยรวมมีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดีมาก มีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี <br />ด้านความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในกลุ่มตัวอย่างมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ความรอบรู้ด้านสุขภาพและภาวะสุขภาพไม่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมสุขภาพและภาวะสุขภาพ ได้แก่ ผลเลือด 2 ชนิด คือ ระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์และระดับกรดยูริก มีความสัมพันธ์กันในทางลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อแยกหาความสัมพันธ์ของพฤติกรรมสุขภาพโดยแยกออกเป็นพฤติกรรมสุขภาพโรคไร้เชื้อและพฤติกรรมสุขภาพโรคติดเชื้อโควิด-19 <br />กับภาวะสุขภาพ พบว่าพฤติกรรมโรคไร้เชื้อมีความสัมพันธ์ทางลบกับระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์และระดับกรดยูริกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพฤติกรรมโรคติดเชื้อโควิด-19 มีความสัมพันธ์ทางลบกับระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพอาจส่งผลต่อภาวะสุขภาพของกลุ่มตัวอย่าง อภิปรายได้ว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและอาจส่งผลต่อภาวะสุขภาพ <br />ดังนั้นการเพิ่มระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนทั่วไปจึงเป็นประเด็นท้าทายที่สำคัญในการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี</p>
2025-04-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/277453
ผลการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัย ในพื้นที่ทุรกันดาร จังหวัดแม่ฮ่องสอน
2025-03-04T10:54:51+07:00
หทัยรัตน์ ทองเขียว
papahus@gmail.com
<p>จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่ทุรกันดารในหลายอำเภอ ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความยากลำบากในการเข้าถึงบริการรักษาพยาบาล เสี่ยงต่อการตายของมารดา และบุตร ต้องการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัยในพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่มารดาและบุตรจากการตั้งครรภ์และการคลอด จึงได้มีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัย ศึกษาผลการพัฒนารูปแบบ และเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อรูปแบบที่ได้พัฒนาขึ้นกับแบบเดิม ในพื้นที่ทุรกันดาร กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดที่บ้าน / โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ขึ้นไป อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์และการคลอด จำนวน 80 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 40 คน กลุ่มทดลอง ใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนา กลุ่มเปรียบเทียบใช้การดูแลแบบเดิม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัยที่พัฒนา และรูปแบบเดิม แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกการตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ การคลอด และภาวะสุขภาพ เก็บข้อมูลในเดือนกันยายน และธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์/การทดสอบของฟิสเชอร์ และการทดสอบที</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัยที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย1) การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ 2) การส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ และการคลอดที่ปลอดภัย 3) การติดตามและประเมินผล ผลการใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนา พบว่า ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่ดีขึ้น และดีกว่าการดูแลแบบเดิม สุขภาพของมารดา และน้ำหนักทารกแรกคลอด มีความปกติมากกว่าการดูแลแบบเดิม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทารกมีสุขภาพหลังคลอดไม่แตกต่างกับการดูแลแบบเดิม ทั้งนี้ รูปแบบที่พัฒนานี้ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความพึงพอใจมากกว่าการดูแลแบบเดิม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>จากผลการศึกษา ควรนำรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้ในพื้นที่ทุรกันดารในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป</p>
2025-04-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275609
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
2025-02-25T14:26:42+07:00
โสพิณ หมอกมาเมิน
sopin21989@gmail.com
ศรชัย สินสุวรรณ
2647000237@stou.ac.th
กิระพล กาละดี
2647000237@stou.ac.th
<p>พฤติกรรมการบริโภคอาหารส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค การศึกษานี้มุ่งศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ เพื่อการกำหนดนโยบายในการส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารและปัจจัยที่ผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ประชากรที่ศึกษาเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จำนวน 260 คน สุ่มตัวอย่างแบบง่ายโดยใช้สูตรคำนวณขนาดตัวอย่างของ เครจซี่ และ มอร์แกน ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 155 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีโครงสร้าง มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.9 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.6 ส่วนแบบสอบถามความรู้ในการบริโภคอาหาร มีค่า KR-20 เท่ากับ 0.6 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ รวมถึงการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร ของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ภาพรวม(ร้อยละ 69.7)อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ภาพรวม(ร้อยละ 81.3)ระดับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภคอาหารอยู่ในระดับสูง แหล่งข้อมูลสำคัญ มาจากเฟซบุ๊ก (ร้อยละ 76.8) และเพื่อนร่วมงาน (ร้อยละ 77.4) ระดับพฤติกรรมการบริโภคอาหารภาพรวม (ร้อยละ 55.5) อยู่ในระดับพอใช้ สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการบริโภคอาหารของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ได้ร้อยละ 15.9 (R2=0.159) ผลการวิจัยนี้ สามารถนำไปใช้ เป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของบุคลากรศูนย์อนามัยที่ 1 เพื่อให้พฤติกรรมการบริโภคอาหาร มีความเหมาะสมมากขึ้น</p>
2025-04-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275130
สิ่งแวดล้อมศึกษา: แนวคิดการอนุรักษ์ภูมิปัญญาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน บนฐานการมีส่วนร่วมของชุมชน
2025-01-17T11:11:37+07:00
สามารถ ใจเตี้ย
samartcmru@gmail.com
<p>รูปแบบการใช้ประโยชน์พืชในวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมของประชาชนในแต่ละพื้นที่นำมาสู่ภูมิปัญญาพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ทั้งนี้การนำแนวคิดสิ่งแวดล้อมศึกษาอันเป็นกระบวนการเรียนรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาพัฒนากิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาพืชสมุนไพรพื้นบ้านจะก่อเกิดกระบวนการอนุรักษ์พื้นที่แหล่งสมุนไพรพื้นบ้าน การอนุรักษ์ความหลากหลายของชนิดพันธุ์ การถ่ายทอดกิจกรรมการอนุรักษ์ และการสะท้อนความสำคัญของบทบาทบุคลากรในหน่วยงานด้านสุขภาพในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตามแนวปฏิบัติภายใต้กิจกรรมสิ่งแวดล้อมศึกษาต้องสอดคล้องกับบริบทของชุมชน การก่อเกิดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง รวมถึงการสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องอันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ของการอนุรักษ์อย่างสมดุลและยั่งยืน</p>
2025-01-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/275711
อิทธิพลของสื่อ TIKTOK ต่อมุมมองสุขภาพแบบองค์รวมในเด็กและเยาวชน
2025-01-17T09:22:35+07:00
ธารทิพย์ มีจอม
thanthip.mic@dome.tu.ac.th
ตุ๊กตา ศรีอาภรณ์
tukata.sri@dome.tu.ac.th
วิทวัส ดอนสินพูล
wittawat.don@dome.tu.ac.th
ศิริญทิพย์ จายะกัน
sirintip.jay@dome.tu.ac.th
ศุทธินี จรทะผา
suttinee.jon@dome.tu.ac.th
กิตรวี จิรรัตน์สถิต
kitrawee.j@fph.tu.ac.th
<p>โลกได้ก้าวเข้าสู่สังคมออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ การเข้าถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ จึงทำได้ง่ายขึ้น หนึ่งในแอปพลิเคชันที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น TIKTOK ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย คนในทุกกลุ่มวัยสามารถดาวน์โหลดและเข้าใช้งานได้ ถึงแม้มีกำหนดอายุผู้เข้าใช้งานขั้นต่ำคือ 13 ปีขึ้นไป แต่ยังคงพบรายงานว่าเด็กอายุต่ำกว่านี้ ซึ่งจัดอยู่ในวัยเรียน สามารถเข้าใช้งานบนแอปพลิเคชันได้อยู่ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของแอปพลิเคชัน TIKTOK ต่อการสร้างมุมมองสุขภาพแบบองค์รวมของเด็กและเยาวชน รวมถึงผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมในบริบทยุคดิจิทัล <br />จากการศึกษาพบว่าอิทธิพลของสื่อ TIKTOK ในมุมมองสุขภาพแบบองค์รวมของเด็กและเยาวชน ทำให้เด็กมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีความมั่นใจในตนเอง มีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคม แต่ถ้าหากไม่มีการควบคุมการใช้งานและคำแนะนำจากผู้ปกครองอาจทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพทุกมิติได้ รวมถึงก่อให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบที่ไม่เหมาะสม ผลจากการศึกษาในครั้งนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดการประเด็นด้านสุขภาพแบบองค์รวมต่อการเข้าถึงสื่อ TIKTOK ในกลุ่มเด็กและเยาวชนหรือวัยอื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านสาธารณสุขต่อไป</p>
2025-02-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/lannaHealth/article/view/274393
การวิเคราะห์ข้อกำหนดมาตรฐานระหว่าง มอก. 2677-2558 และ ISO 15190:2020 เพื่อแสดงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของแต่ละมาตรฐาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับห้องปฏิบัติการที่ต้องการเปลี่ยนผ่านจากมาตรฐานไทย สู่มาตรฐานสากล
2025-01-17T09:53:42+07:00
ศุภรา มะโนวงศ์
suphara.m@cmu.ac.th
<p>Laboratory standard plays a crucial role in the operations of medical laboratories, ensuring reliable and accurate diagnostic and testing services. Key standards in this field include the Thai standard TIS 2677–2558 and the international standard ISO 15190:2020. This article aims to analyze and compare the requirements of these two standards, providing insights to support an effective transition, enhance laboratory safety, and align operations with international standards. The study employed document analysis to compare the provisions of TIS 2677–2558 and ISO 15190:2020, focusing on grouping similar requirements and identifying new additions in the international standard. SWOT analysis was also utilized to assess strengths, weaknesses, opportunities, and threats associated with the transition, offering valuable insights for improving laboratory operations. The findings revealed similarities in quality management, such as quality control and verification of test results, across both standards. However, ISO 15190:2020 introduces significant new requirements, including biosafety, radiation risk management, ergonomics, and comprehensive risk management, which enhance workplace safety and global credibility. Despite these advantages, challenges such as costs, personnel adaptation, and resistance to change remain barriers to a successful transition. Laboratories capable of overcoming these challenges will be better positioned to elevate their operations to meet international standards. To ensure an effective transition, laboratories should systematically plan the adaptation process, emphasizing staff training to understand the new standards and their critical safety requirements. Management should play a pivotal role in providing resources and fostering a supportive work environment. Additionally, processes should be refined to align with the new requirements, leveraging appropriate technologies. Continuous monitoring and evaluation are essential to ensure compliance with the requirements and promote sustainability within the system.</p>
2025-02-11T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา