วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr
<p><strong>วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> เป็นวารสารที่จัดทำโดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ.2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สุขศึกษาและส่งเสริมสุขภาพ การบริหารงานสาธารณสุข ชีวสถิติและประชากรศาสตร์ ระบาดวิทยา และโภชนาการ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ จำนวน 3 เดือนต่อฉบับ หรือ ปีละ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม, ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน, ฉบับที่ 3 กรกฏาคม-กันยายน และฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม</p>
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
th-TH
วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
1906-1137
-
ปัจจัยแห่งความสำเร็จและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Care Giver) ในหน่วยบริการปฐมภูมิเขตเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/270326
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ศึกษาจากผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงทั้งหมด 77 คนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 78 โดยไม่มีการสุ่มตัวอย่าง ในหน่วยบริการปฐมภูมิเขตเทศบาลนครขอนแก่นจังหวัดขอนแก่น โดยใช้แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณและแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 12 คน ซึ่งแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม โดยใช้การหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช ได้ค่าเท่ากับ 0.96 ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จระดับปัจจัยทางการบริหารและระดับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่ง อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.59 (S.D.=0.37) 2.48 (S.D.=0.44) และ 2.38 (S.D.=0.52) ตามลำดับ พบว่าภาพรวมปัจจัยทางการบริหารและปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ เขตเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น (r=0.595, p- value <0.001, 95% CI : 0.266-0.701 และ r=0.505, <br />p-value<0.001, 95% CI : 0.312-0.755) ตามลำดับ และตัวแปร 2 ตัวประกอบด้วย ปัจจัยทางการบริหารด้านการบริหารจัดการ ปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านหน่วยงานสนับสนุนทุกระดับจัดทำแผนเพื่อพัฒนาแผนปฏิบัติงาน มีผลและสามารถร่วมกันพยากรณ์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ เขตเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 41.6 (R<sup>2</sup>=0.416)</p>
Lumduan Buarapa
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
18
29
-
ความชุก และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่ออาการผิดปกติระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างในแรงงานเกษตรกร อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/263151
<p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ชนิดภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุก และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างของแรงงานเกษตรกร กลุ่มตัวอย่าง คือ แรงงานเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในตำบลวังมะปรางเหนือ อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง จำนวน 215 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบประเมินด้านการยศาสตร์ การยศาสตร์ท่าทางในการทำงานแบบใช้ร่างกายทุกส่วน และอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติโลจิสติกถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า แรงงานเกษตรกรมีอาการผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่างตามตำแหน่งที่เกิดอาการในช่วง 7 วัน คือ สะโพก/ก้น/ต้นขา (ร้อยละ 23.26, 95% CI: 17.78-29.48) หลังส่วนล่าง (ร้อยละ 21.86, 95% CI: 16.53-27.99) และข้อมือ/มือ (ร้อยละ 21.86, 95% CI: 16.53-27.99) ตามลำดับ สำหรับในช่วง 12 เดือน แรงงานเกษตรกรมีอาการบาดเจ็บทางกระดูกและกล้ามเนื้อ คือ หลังส่วนล่าง (ร้อยละ 24.19, 95% CI: 18.62-30.48) ข้อมือ/มือ (ร้อยละ 22.33, 95% CI: 16.94-28.49) และสะโพก/ก้น/ต้นขา (ร้อยละ 19.53, 95% CI: 14.46-25.47) ตามลำดับ และพบว่า ในช่วง 7 วัน ปัจจัยดัชนีมวลกาย (AOR=2.60, 95% CI: 1.20-5.65) และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและขา (AOR=8.64, 95% CI: 2.37-31.48) มีความสัมพันธ์กับการเกิดอาการระบบกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และในช่วง 12 เดือน ปัจจัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและขา (AOR=3.76, 95% CI: 1.27-11.13) การนั่งหรือยืนทำงานต่อเนื่องโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทาง (AOR=2.17, 95% CI: 1.02-4.35) และการบิด เอี้ยวลำตัว ขณะทำงาน (AOR=2.46, 95% CI: 1.13-5.35) มีความสัมพันธ์ต่ออาการผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
อามานี สาและ
อารีนี วาแฉะ
สถาพร อาจมังกร
พัชราภรณ์ เพชรพรหม
ปุญญพัฒน์ ไชย์เมล์
สมเกียรติยศ วรเดช
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
1
17
-
การวิเคราะห์เชิงพื้นที่และอุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี จังหวัดหนองคาย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/270830
<p>ปัจจุบันอุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี จังหวัดหนองคาย ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยเชิงพื้นที่ยังคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญกับการเกิดโรค การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นที่และศึกษาอุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี จังหวัดหนองคาย เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงวิเคราะห์ ศึกษาจากผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนา ในจังหวัดหนองคายและรักษาในโรงพยาบาลหนองคาย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 929 คน ปัจจัยที่ศึกษา คือ ข้อมูลส่วนบุคล ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับอุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี โดย Moran’s <em>I</em> และ Local indicators of spatial association (LISA) และวิเคราะห์อุบัติการณ์ นำเสนอช่วงเชื่อมั่น 95% โดยผลการศึกษาพบว่า อุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี จังหวัดหนองคาย 22.2 ต่อประชากรแสนคนต่อปี (95%CI= 20.73–23.61) การวิเคราะห์ Moran’s<em> I </em>พบตัวแปรที่มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ในทิศทางเดียวกันแบบเกาะกลุ่ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ได้แก่ ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย อุณหภูมิเฉลี่ย ความหนาแน่นของประชากร และจำนวนการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ การวิเคราะห์ LISA จาก <br />62 ตำบล พบกลุ่มตำบลที่มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับการเกิดโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ได้แก่ตัวแปรปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย จำนวน 5 ตำบล ตัวแปรอุณหภูมิเฉลี่ย จำนวน 6 ตำบล ตัวแปรความสูงจากระดับน้ำทะเล จำนวน 6 ตำบล ตัวแปรความหนานแน่นของประชากร จำนวน 6 ตำบลและตัวแปรจำนวนการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ จำนวน 5 ตำบล โดยสรุปการศึกษาครั้งนี้พบปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย อุณหภูมิเฉลี่ย ความหนาแน่นของประชากร และจำนวนการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับมีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับการเกิดโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี แบบเกาะกลุ่ม หรือการเกิดโรคในทิศทางเดียวกันและยังพบว่าอัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีสูง พบในเขตพื้นที่ชนบทมากกว่าเขตพื้นที่เมือง</p>
พชรกมล แก้วฝ่าย
สุพจน์ คำสะอาด
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
30
44
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังการวินิจฉัย โรงพยาบาลอุดรธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/271845
<p>ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา: มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) พบมากและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของสตรีทั่วโลก และประเทศไทย รวมทั้งมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมในจังหวัดอุดรธานีเพิ่มขึ้น การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่หลากหลายมากขึ้นและการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งเต้านมยังมีน้อย และโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกฉียงเหนือซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก</p> <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาปัจจัย และเปรียบเทียบอัตรารอดชีพผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังการวินิจฉัย โรงพยาบาลอุดรธานี</p> <p>วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบ Retrospective cohort study ข้อมูลจากทะเบียนมะเร็งโรงพยาบาลอุดรธานี ที่ได้รับการวินิจฉัยระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 และติดตามสถานะสุดท้ายถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 1,263 คน วิเคราะห์อัตรารอดชีพ โดยวิธี Kaplan-Meier นำเสนอค่ามัธยฐานการรอดชีพและช่วงเชื่อมั่น 95% เปรียบเทียบอัตรารอดชีพ จำแนกตามลักษณะต่างๆ โดยใช้สถิติทดสอบ Log-rank test และหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพ โดย Cox regression นำเสนอค่า Adjusted HR พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95%</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 1,263 คน เสียชีวิต 368 คน คิดเป็นอัตราการตาย 8.18 ต่อ 100 คน-ปี (95% CI: 7.38-9.06) อัตรารอดชีพในระยะเวลา 1, 3 และ 5 ปี หลังการวินิจฉัย คือ ร้อยละ 88.99 (95% CI: 87.13-90.59), ร้อยละ 74.17 (95% CI: 71.64-76.51) และร้อยละ 68.27 (95% CI: 65.34-71.01) ตามลำดับ เมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปรที่เหลือในสมการสุดท้ายแล้ว พบว่า อายุ ระยะของโรคมะเร็ง และชนิดของการผ่าตัด มีผลต่อการรอดชีพของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังการวินิจฉัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) กล่าวคือ เมื่อใช้กลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุ <40 ปี เป็นกลุ่มอ้างอิงแล้ว โอกาสที่กลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุ 40-59 ปี และอายุ ≥60 ปี <br />มีโอกาสเสี่ยงต่อการตายเป็น 0.6 เท่า (Adjusted HR=0.6; 95% CI: 0.46-0.88) และ 0.5 เท่า (Adjusted HR=0.5; 95% CI: 0.39-0.78) ตามลำดับ เมื่อใช้กลุ่มผู้ป่วยที่มีระยะของโรคมะเร็งในระยะที่ 1 เป็นกลุ่มอ้างอิงแล้ว โอกาสที่กลุ่มผู้ป่วยที่มีระยะของโรคมะเร็งในระยะที่ 2, ระยะที่ 3 และระยะที่ 4 มีโอกาสเสี่ยงต่อการตายเป็น 2.3 เท่า (Adjusted HR=2.3; 95% CI: 1.12-4.94), 8.1 เท่า (Adjusted HR=8.15; 95% CI: 3.98-16.67) และ 28.4 เท่า (Adjusted HR=28.48; 95% CI:13.81-58.75) ตามลำดับ และเมื่อใช้กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดแบบ Breast-conserving therapy เป็นกลุ่มอ้างอิงแล้ว โอกาสที่กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดแบบ modified radical mastectomy มีโอกาสเสี่ยงต่อการตายเป็น 1.0 เท่า (Adjusted HR=1.01; 95%CI: 1.01-1.02)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ: พบว่า อายุ ระยะของโรคมะเร็งและชนิดของการผ่าตัด มีผลต่อการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังการวินิจฉัยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ดังนั้น แพทย์ที่ทำการรักษาควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอดชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมให้ยาวนานยิ่งขึ้น</p>
สิทธิชัย โพตะพัน
สุพจน์ คำสะอาด
รุจิรา พนาวัฒนกุล
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
45
55
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/272192
<p>ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา: โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและทุพพลภาพทั่วโลก ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่สำคัญ การศึกษาระยะเวลาที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยนำระยะปลอดเหตุการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องยังมีการศึกษาน้อยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม หรือแม้ในระดับประเทศ</p> <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมอง (Disease Free-Stroke) ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม</p> <p>วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง (Analytical Retrospective Cohort Study) ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลกันทรวิชัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ติดตามผู้ป่วยทุกรายจนกระทั่งทราบสถานะของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมอง (Disease Free-Stroke) โดยวิธี Kaplan-Meier นำเสนอค่ามัธยฐานระยะปลอดเหตุการณ์และช่วงเชื่อมั่น 95% เปรียบเทียบระยะปลอดเหตุการณ์จำแนกตามลักษณะต่างๆ โดยใช้สถิติทดสอบ Log-rank test และหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมองโดย Cox regression นำเสนอค่า Adjusted HR พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95%</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำนวน 3,887 คน ได้รับวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดสมองครั้งแรก จำนวน 88 คน คิดเป็นอุบัติการณ์ 3.9 ต่อ 1000 คน-ปี (ช่วงเชื่อมั่น 95% = 3.2 ถึง 4.8) พบว่า ระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมอง (Disease Free-Stroke) หลังการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ในระยะเวลา 1, 3, 5, 7, 9, และ 11 ปี เท่ากับ ร้อยละ 99.4 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=99.1 ถึง 99.6), ร้อยละ 99.0 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=98.7 ถึง 99.3), ร้อยละ 98.5 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=98.0 ถึง 98.9), ร้อยละ 97.6 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=96.9 ถึง 98.1), ร้อยละ 96.2 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=95.2 ถึง 97.0) และร้อยละ 95.1 (ช่วงเชื่อมั่น 95%=93.4 ถึง 96.3) ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ต่อระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมองเมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปรที่เหลือในสมการสุดท้ายแล้ว พบว่า เพศ ระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและประวัติโรคร่วม มีความสัมพันธ์กับระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) โดยพบว่า ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพศชายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเป็น 0.6 เท่า ของเพศหญิง (Adjusted HR=0.6, ช่วงเชื่อมั่น 95%=0.4 ถึง 0.9) ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว ≥140 mmHg มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เป็น 1.4 เท่า ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว <140 mmHg (Adjusted HR=1.4, ช่วงเชื่อมั่น 95%= 1.2 ถึง 1.7) และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีโรคร่วม มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเป็น 2.1 เท่า ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่มีโรคร่วม (Adjusted HR=2.1, ช่วงเชื่อมั่น 95%=1.3 ถึง 3.3)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ: ระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมองหลังการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงลดลงตามระยะเวลาการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะปลอดเหตุการณ์โรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ เพศ ระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวและประวัติโรคร่วม ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขควรตระหนักและคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าว โดยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับความดันโลหิต รวมถึงเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนไปยังสมองจากการมีโรคร่วมอย่างเข้มงวดต่อไป</p>
หนึ่งฤทัย คำสอน
สุพจน์ คำสะอาด
วรพงษ์ สุชาติสุนทร
นพิศพรรณ ทีบุตร
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
56
69
-
ประสิทธิผลและความปลอดภัยของการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรต่อการไหลของน้ำนมมารดาหลังคลอดด้วยวิธีการคลอดปกติและผ่าตัดทางหน้าท้อง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/266398
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรต่อการไหลของน้ำนมในมารดาหลังคลอดด้วยวิธีการคลอดปกติและวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง ทำการเก็บข้อมูลมารดาหลังคลอดที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีปัญหาภาวะน้ำนมมาช้า น้ำนมไม่ไหลหรือน้ำนมไหลน้อยที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ตามเกณฑ์การคัดเข้า จำนวน 47 ราย และศึกษาข้อมูลการไหลของน้ำนม โดยเปรียบเทียบคะแนนการไหลของน้ำนมก่อนและหลังการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที</p> <p>ผลการศึกษาเปรียบเทียบคะแนนการไหลของน้ำนม พบว่ามารดาหลังคลอดทั้งสองวิธีก่อนและหลังได้รับการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรมีคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมเพิ่มขึ้นจาก 0.51 เป็น 2.06 อย่างมีค่านัยสำคัญทางสถิติ (95% CI: 1.40-1.70, <em>p</em>-value <0.01) เปรียบเทียบคะแนนการไหลของน้ำนมแยกตามวิธีการคลอด พบว่ามารดาที่คลอดด้วยวิธีการคลอดปกติและวิธีผ่าตัดทางหน้าท้องหลังได้รับการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรมีคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมเพิ่มขึ้นที่ 2.38 (95% CI: 1.45-1.85) และ 1.81 (95% CI: 1.26-1.67) ตามลำดับ อย่างมีค่านัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value<0.01) แสดงให้เห็นว่าการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรสามารถทำให้การไหลและปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นได้ทั้งมารดาที่คลอดด้วยวิธีปกติและวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง เปรียบเทียบความต่างของคะแนนการไหลของน้ำนมหลังได้รับการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพร พบว่ามารดาหลังคลอดด้วยวิธีคลอดปกติมีความต่างของคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมที่ดีกว่าวิธีผ่าตัดทางหน้าท้องที่ 0.57 อย่างมีค่านัยสำคัญทางสถิติ เปรียบเทียบคะแนนการไหลของน้ำนมแยกตามจำนวนการตั้งครรภ์ พบว่าหลังได้รับการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรในมารดาหลังคลอดครรภ์แรก ครรภ์ที่ 2 และครรภ์ที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมเพิ่มขึ้นที่ 2.33 (95% CI: 1.12-2.21) 2.03 (95% CI: 1.30-1.70) และ 2.00 (95% CI: 1.31-1.92) ตามลำดับ อย่างมีค่านัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value<0.01) และการศึกษาผลข้างเคียงและความปลอดภัยไม่พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ แสดงให้เห็นว่าการนวดและประคบเต้านมด้วยสมุนไพรมีความปลอดภัยต่อมารดาหลังคลอดด้วยวิธีปกติและวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง</p>
รัฐศาสตร์ เด่นชัย
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
70
79
-
ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะเซลล์มะเร็งกับการรอดชีพของผู่ป่วยมะเร็งไทรอยด์ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเลย จังหวัดเลย ระหว่างปี พ.ศ. 2560–2565
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/270864
<p>มะเร็งไทรอยด์เป็นมะเร็งของต่อมไร้ท่อที่พบมากที่สุดทั่วโลกและในประเทศไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาอัตรารอดชีพมะเร็งไทรอยด์ในจังหวัดเลย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตรารอดชีพมะเร็งไทรอยด์ตามลักษณะเซลล์มะเร็ง หลังการได้รับวินิจฉัยในโรงพยาบาลเลย จังหวัดเลย ระหว่าง ปี พ.ศ. 2560-2565 เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ (Retrospective cohort study) ในผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ที่ได้รับการบันทึกลงในฐานข้อมูลทะเบียนมะเร็งโรงพยาบาลเลย (Loei Hospital-Based Cancer Registry, LHBCR) และได้รับการวินิจฉัยมะเร็งไทรอยด์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ติดตามผู้ป่วยทุกรายจนกระทั่งทราบสถานะสุดท้ายของการมีชีวิต หรือจนสิ้นสุดการศึกษา ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์อัตรารอดชีพโดยวิธี Kaplan-Meier นำเสนอค่ามัธยฐานการรอดชีพ พร้อมช่วงความเชื่อมั่น 95% วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับการรอดชีพโดยสถิติ Log-rank test นำเสนอค่าความเสี่ยงต่อการตาย (Crude Hazard ratio, Crude HR) พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95% และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับการรอดชีพโดยคำนึงผลกระทบจากปัจจัยอื่นนำเสนอค่าความเสี่ยงต่อการตาย (Adjusted Hazard ratio, Adjusted HR) โดยการใช้ Cox’s Proportion Hazard Model ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ จำนวน 99 คน ระยะเวลาติดตาม 348.9 คน-ปี เสียชีวิต 13 คน คิดเป็นอัตราตาย 3.73 ต่อ 100 คน-ปี (95% CI; 2.16 ถึง 6.42) อัตรารอดชีพในระยะเวลา 1, 3 และ 5 ปี พบร้อยละ 95.0 (95% CI: 88.29 ถึง 97.87), ร้อยละ 90.8 (95% CI: 82.13 ถึง 95.34) และร้อยละ 90.8 (95% CI: 82.13 ถึง 95.34) เมื่อจำแนกตามเชลล์มะเร็ง พบว่าชนิด Anaplastic Thyroid Cancer, ATC ในระยะเวลา 1 ปี, 3 ปี และ5 ปี ร้อยละ 50.0 (95% CI: 5.78 ถึง 84.5), ร้อยละ 50.0 (95% CI: 5.78 ถึง 84.5) และร้อยละ 50.0 (95% CI: 5.78 ถึง 84.5) เมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปร เพศ และอายุ แล้วพบว่าผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์ที่มีลักษณะเซลล์มะเร็งชนิด Follicular Thyroid Cancer, Anaplastic thyroid cancer มีโอกาสเสี่ยงต่อการตายเป็น 6.72 เท่า (Adjusted HR=6.72, 95% CI; NA), 4.59 เท่า (Adjusted HR=4.59, 95% CI; NA) เมื่อเทียบกับชนิด Papillary Thyroid Cancer โดยสรุปลักษณะเซลล์มะเร็งมีความสัมพันธ์กับการรอดชีพ ดังนั้นการรักษามะเร็งไทรอยด์ควรให้ความสำคัญกับชนิดของเซลล์มะเร็งร่วมกับวิธีการรักษา</p>
moltira sukkharee
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
80
94
-
แนวโน้มอัตรารอดชีพมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิวในจังหวัดขอนแก่น: ข้อมูลทะเบียนมะเร็งชุมชนจังหวัดขอนแก่น ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึงปี พ.ศ. 2563
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/271855
<p>ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา: มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบมากเป็นอันดับสองทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2563 พบการเสียชีวิตทั่วโลกด้วยมะเร็งทุกชนิด ประมาณ 10 ล้านราย โดยมีมะเร็งรังไข่เป็นอันดับ 7 ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานแนวโน้มอัตรารอดชีพมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว</p> <p>วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแนวโน้มและอัตรารอดชีพมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว ในจังหวัดขอนแก่น ระหว่าง ปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2563</p> <p>วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบ Retrospective cohort study เก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง (พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2563) ในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว ข้อมูลจากทะเบียนมะเร็งชุมชนจังหวัดขอนแก่น วิเคราะห์อัตรารอดชีพ โดย Kaplan-Meier นำเสนอค่ามัธยฐานและอัตรารอดชีพ พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95% และหาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอัตรารอดชีพ ด้วยวิธี Joinpoint Regression</p> <p>ผลการศึกษา: ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว จำนวน 870 ราย เสียชีวิต 532 ราย คิดเป็นอัตราตาย 10.4 ต่อ 100 คน-ปี (95% CI: 9.6 ถึง 11.3) อัตรารอดชีพผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว ในระยะเวลา 1 ปี, 3 ปี และ 5 ปี หลังการวินิจฉัย พบร้อยละ 77.8 (95% CI: 74.9 ถึง 80.4), ร้อยละ 56.6 (95% CI: 53.3 ถึง 59.9) และร้อยละ 47.7 (95% CI: 44.3 ถึง 51.0) ตามลำดับ ค่ามัธยฐานการรอดชีพ 4.5 ปี (95% CI: 3.7 ถึง 5.5) เมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปรที่เหลือในสมการสุดท้ายแล้ว พบว่า อายุ ระยะของโรคมะเร็งและการผ่าตัด มีผลต่อการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) และยังพบว่าแนวโน้มอัตรารอดชีพมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว เพิ่มขึ้น โดยอัตรารอดชีพ 1 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2563 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี (AAPC= +1.4, 95% CI: -3.4 ถึง 6.5) อัตรารอดชีพ 3 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2563 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.6 ต่อปี (AAPC= +2.6, 95% CI: -5.7 ถึง 11.5) และอัตรารอดชีพ 5 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2562 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.4 ต่อปี (AAPC= +3.4, 95% CI= -7.2 ถึง 15.1)</p> <p>สรุป: แนวโน้มอัตรารอดชีพของมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว ในจังหวัดขอนแก่น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การศึกษาครั้งต่อไป ควรคำนึงถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว ซึ่งอาจช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยให้ยาวนานขึ้น</p>
กนกพร วัดระดม
สุพจน์ คำสะอาด
บัณฑิต ชุมวรฐายี
ฉลองพล สารทอง
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
95
110
-
คุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลเศรษฐาธิราชในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/269981
<p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและปัจจัยทางการบริหารที่มีผลต่อการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลเศรษฐาธิราช ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประชากรที่ศึกษา จำนวน 557 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบเป็นระบบ ซึ่งมีขนาดตัวอย่างจำนวน128 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน12 คน ซึ่งแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน พบว่า จากข้อคำถามทั้งหมด 59 ข้อ โดยข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 จำนวน 53 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 89.83 และข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 จำนวน 6 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 10.17 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับปัจจัยทางการบริหาร และระดับการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.98 (S.D.=0.56), 3.79 (S.D.=0.58) ตามลำดับ และพบว่าตัวแปรอิสระทั้ง2 ตัวแปร ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยทางการบริหารด้านเทคโนโลยีและด้านงบประมาณสามารถร่วมกันในการพยากรณ์และมีผลต่อการบริหารพัสดุของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเศรษฐาธิราชในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ร้อยละ 55.4 (R<sup>2</sup>=0.554, p-value<0.001) ดังนั้นผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและงบประมาณที่เพียงพอต่อการบริหารพัสดุเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด</p>
Nopparat Senahad
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
116
121
-
ปัจจัยแห่งความสำเร็จและบรรยากาศองค์การที่มีผลต่อการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/269812
<p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จและบรรยากาศองค์การที่มีผลต่อการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ประชากรที่ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น จำนวน 248 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 139 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามสำหรับเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ และแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 12 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า ระดับปัจจัยแห่งความสำเร็จ ระดับบรรยากาศองค์การ และระดับการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.25 (S.D.=0.47), 4.30 (S.D.=0.47) และ 4.33 (S.D.=0.44) ตามลำดับ และพบว่าตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปร ได้แก่ บรรยากาศองค์การมิติความรับผิดชอบ บรรยากาศองค์การมิติมาตรฐานการปฏิบัติงาน และปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการลงมือปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความพร้อมและสมัครใจในการมีส่วนร่วม สามารถร่วมกันในการพยากรณ์และมีผลต่อการปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคติดต่อของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ76.7 (R<sup>2</sup>=0.767, p-value<0.001)</p>
จันทร์มณี อำคา
รองศาสตราจารย์ ดร.ประจักร บัวผัน
ดร.นครินทร์ ประสิทธิ์
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
122
135
-
ความสัมพันธ์ของปัจจัยทางการบริหารและบรรยากาศองค์การกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทยของบุคลากรแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลชุมชนเขตสุขภาพที่ 7
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/271116
<p>วัตถุประสงค์: เพื่อวิเคราะห์ระดับความสัมพันธ์ของปัจจัยทางการบริหารงานและบรรยากาศองค์การกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทยของบุคลากรแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 7 </p> <p>วิธีการ: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed Method study) สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ได้จำนวนตัวอย่าง 130 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามและข้อมูลเชิงคุณภาพใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน <br />12 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านและวิเคราะห์ความเที่ยง (Reliability) ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาช เท่ากับ 0.98 ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่าง วันที่ 16-31 มกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างได้รับการสนับสนุนปัจจัยทางการบริหารในการปฏิบัติงานเป็นประจำ ซึ่งอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.28 (S.D.=0.49) และมีการส่งเสริมบรรยากาศองค์การที่ดีในการปฏิบัติงานอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.27 (S.D.=0.51) ในด้านการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการปฏิบัติตามมาตรฐานในแต่ละด้านอยู่บ่อยครั้งและเป็นประจำ ซึ่งผลการศึกษาอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.49 (S.D.=0.37) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางการบริหารและบรรยากาศองค์การที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทย พบว่าภาพรวมปัจจัยทางการบริหาร และบรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานตาม มาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทยของบุคลากรแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br />(r=0.570, 95% CI=0.441-0.676, P-value<0.001) และ (r=0.627, 95% CI=0.510-0.721, <br />P-value<0.001) ตามลำดับ</p> <p>สรุป: ตัวแปร อิสระ 3 ตัว ได้แก่ บรรยากาศองค์การมิติความเสี่ยง มิติมาตรฐานการปฏิบัติงาน และมิติความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถร่วมกันพยากรณ์และมีผลต่อการปฏิบัติงานตามมาตรฐานงานบริการแพทย์แผนไทยของบุคลากรแพทย์แผนไทย ในโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 7 ได้ร้อยละ 54.4 (R<sup>2</sup>=0.544, P-value<0.001)</p>
sahaphap khamhong
นพรัตน์ เสนาฮาด
สุภารัตน์ ทัพโพธิ์
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
136
151
-
ผลกระทบทางสุขภาพของผู้ที่ใช้ฟืนและแก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนบนพื้นที่สูง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/272252
<p> </p> <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบทางสุขภาพของผู้ที่ใช้ฟืนและแก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนบนพื้นที่สูง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง อายุ 18 – 59 ปี เป็นผู้ทำอาหารเป็นหลักในครัวเรือน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่จำนวน 141 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) ตามเกณฑ์การคัดเลือก แบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ฟืน 66 คน และกลุ่มที่ใช้แก๊สหุงต้ม 75 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามและการตรวจวัดสมรรถภาพปอดด้วยวิธีสไปโรเมตรีย์ (Spirometry) โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi<strong>-</strong>square และ Independent T<strong>-</strong>test ผลการวิจัย พบว่า สมรรถภาพปอดของกลุ่มที่ใช้ฟืนและใช้แก๊สหุงต้มเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.05) โดยกลุ่มที่ใช้ฟืนมีสมรรถภาพปอดผิดปกติมากกว่ากลุ่มที่ใช้แก๊สหุงต้ม ทั้งนี้ควรมีการจัดทำแผนหรือนโยบายเพื่อให้มีการจัดการระบบระบายอากาศในครัวเรือน และการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงหรือพลังงานสะอาดเพื่อสุขภาพของประชาชน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังการเกิดโรคจากการใช้เชื้อเพลิงในครัวเรือนต่อไป</p>
Bussapha Lertrattana-Itsara
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
152
161
-
ผลของโปรเเกรมการส่งเสริมสุขภาพที่ประยุกต์ส่วนผสมการตลาดเชิงสังคมต่อความรู้เรื่องการปนเปื้อนของปรสิตเเละพฤติกรรมการล้างผักในอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ตําบลโพธิ์เเทน อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/260550
<p>โรคติดเชื้อปรสิตยังคงเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก สาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อดังกล่าว โดยปัจจุบันประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพของตนเองและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นโดยเฉพาะผักและผลไม้สด หากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเพียงพอและถูกสุขลักษณะอาจทำให้มีโอกาสติดเชื้อปรสิตและแบคทีเรียก่อโรคและเกิดอาการเจ็บป่วยตามมา งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพที่ประยุกต์ส่วนผสมการตลาดเชิงสังคม (4P’s: Product, Price, Place, Promotion) ต่อความรู้เรื่องการปนเปื้อนของปรสิตในผักสดเเละพฤติกรรมการล้างผักที่ถูกต้อง กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน จำนวน 25 คน เข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพที่ประยุกต์ส่วนผสมการตลาดเชิงสังคม 5 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบวัดความรู้และแบบวัดพฤติกรรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired sample t-test และ McNemar test ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่าหลังจากสิ้นสุดโปรแกรมอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน มีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เพิ่มขึ้น 0.84 อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value>0.05) ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการล้างผักหลังจากเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มขึ้น 0.22 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value<0.05) ค่าสัดส่วนของผู้มีความรู้และพฤติกรรมในระดับดีหลังเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value>0.05) เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างปฏิบัติตนเกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการปนเปื้อนปรสิตและล้างผักก่อนรับประทานสม่ำเสมอ โปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพที่ประยุกต์ส่วนผสมการตลาดเชิงสังคม สามารถนำไปใช้เป็นรูปแบบการให้คำแนะนำกับประชาชนโดยมีแกนนำเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านเพื่อสร้างเสริมให้สามารถดูแลสุขภาพตนเองและมีส่วนร่วมในการป้องกันการปนเปื้อนของปรสิตในผักสดมากกว่าการรักษาโรค</p>
Rattiporn Kosuwin
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
162
171
-
ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดจากการทำงานของพนักงานอุตสาหกรรมผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/270547
<p>ความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพนักงานและประสิทธิภาพของงาน การค้นหาปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อความเครียดจากการทำงานจึงเป็นกระบวนการสำคัญ การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดจากการทำงานของพนักงานอุตสาหกรรมผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เก็บข้อมูลในเดือนเมษายน 2565 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 257 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามด้านข้อมูลลักษณะงานและความเครียดจากการทำงานโดยใช้การประเมินความรู้สึกจากภาระงานทางจิตใจ และตรวจวัดความเข้มแสงแบบเฉพาะจุดที่ทำงานและใช้สายตาเป็นหลัก วิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงโดยใช้สถิติความสัมพันธ์แบบตัวแปรเชิงพหุถดถอย แสดงค่า Adjust OR (OR<sub>adj</sub>) ค่าช่วงความเชื่อมั่น 95% CI ที่ระดับนัยสำคัญ p-value <0.05 ผลการศึกษาพบว่าพนักงานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 82.00) อายุระหว่าง 30-39 ปี (ร้อยละ 38.91) มีความเครียดจากการทำงานสูง ร้อยละ 59.53 ปัจจัยด้านลักษณะงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน มีความสัมพันธ์กับความเครียดจากการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ <br />มีหน้าที่หลักตรวจสอบชิ้นงาน/ประกอบชิ้นงาน (OR<sub>adj</sub>=1.98; 95% CI: 1.66-5.49) การใช้สายตาเพ่งในการปฏิบัติงาน (OR<sub>adj</sub>=1.66; 95%CI:1.02-2.69) ความเข้มแสงสว่างไม่ผ่านมาตรฐาน (OR<sub>adj</sub>=1.88; 95% CI: 1.08-3.25) ดังนั้นในการประกอบและการตรวจสอบชิ้นงานขนาดเล็กซึ่งต้องใช้สายตาเพ่งชิ้นงานนี้ซึ่งพบว่า ปริมาณความเข้มของแสงที่ต่ำกว่ามาตรฐานเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระดับความเครียดในการทำงานของพนักงาน จึงเสนอแนะให้การปรับปรุงแสงสว่างการทำงานตามมาตรฐานกำหนดเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการปรับปรุงของหน่วยที่ทำงานของพนักงานอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สายตาเพ่ง</p>
Wipharat Phokee
Sunisa Chaiklieng
Piyatida Suttibak
Pornnapa Suggaravetsiri
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
172
181
-
บทบรรณาธิการ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/274580
วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3
-
รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิประจำบท
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/274603
วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Copyright (c) 2024 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-17
2024-10-17
17 3