วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr <p><strong>วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น</strong> เป็นวารสารที่จัดทำโดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ.2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สุขศึกษาและส่งเสริมสุขภาพ การบริหารงานสาธารณสุข ชีวสถิติและประชากรศาสตร์ ระบาดวิทยา และโภชนาการ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ จำนวน 3 เดือนต่อฉบับ หรือ ปีละ 4 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม, ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน, ฉบับที่ 3 กรกฎาคม - กันยายน และ ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม <strong>โดยใน</strong> <strong>ปี พ.ศ. 2568 มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเผยแพร่ จำนวน 4 เดือนต่อฉบับ หรือ ปีละ 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน -ธันวาคม</strong></p> <p><strong>ติดต่อ<br /></strong><strong>Email : kkujphr@gmail.com<br />เบอร์โทร 0-4342-4820 ต่อ 44577<br /><br /></strong></p> คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น th-TH วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1906-1137 การเปรียบเทียบอัตรารอดชีพผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก หลังการวินิจฉัยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/280270 <p>มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer, OC) เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ทั้งอัตราอุบัติการณ์และอัตราตาย นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชายทวีปเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตรารอดชีพผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก หลังการวินิจฉัยที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการศึกษาแบบ Analytical retrospective cohort study กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็งช่องปากและรับการรักษาที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 433 คน จากฐานข้อมูลทะเบียน มะเร็งโรงพยาบาลร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด (Roi-et hospital-based cancer registry) วิเคราะห์อัตรารอดชีพโดยวิธี Kaplan-Meier การเปรียบเทียบอัตรารอดชีพระหว่างกลุ่มโดยสถิติ Log-rank test โดยผลการศึกษาพบว่า เพศ เพศหญิงมีค่ามัธยฐานการรอดชีพสูงกว่าเพศชาย (2.4 ปี เทียบกับ 0.9 ปี), ตำแหน่งของโรค ผู้ป่วยมะเร็งที่ริมฝีปากมีอัตราการรอดชีพดีที่สุด (6.2 ปี), ระยะของโรค ผู้ป่วยระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 1: 7.6 ปี, ระยะที่ 2: 6.0 ปี) มีอัตราการรอดชีพสูงกว่าระยะลุกลาม (ระยะที่ 3: 1.0 ปี, ระยะที่ 4: 0.7 ปี), ลักษณะทางพยาธิวิทยา กลุ่มที่มีลักษณะ Well differentiated มีอัตราการรอดชีพสูงกว่ากลุ่มอื่น (3.1 ปี), การแพร่กระจายของโรค ผู้ป่วยที่ไม่พบการแพร่กระจายของโรคมีอัตราการรอดชีพสูงกว่ากลุ่มที่พบการแพร่กระจาย (1.9: 0.4 ปี) โดยสรุปการเปรียบเทียบความแตกต่างอัตราการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ระหว่างปี พ.ศ. 2558 – 2564 พบว่า เพศ ตำแหน่งของโรค ระยะโรค ลักษณะทางพยาธิวิทยา การแพร่กระจายของโรคไปอวัยวะอื่น มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีตัวแปรอื่นที่อาจส่งผลต่อการรอดชีพซึ่งควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม</p> กชมนณกร จำปาเงิน สุพจน์ คำสะอาด อาทิตยา อวนศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 1 10 ระดับการตีตราและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/280070 <p>การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพจิตและสังคมต่อผู้ที่เคยติดเชื้อ หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ “การตีตรา (Stigmatization)” โดยหมายถึง การไม่ยอมรับหรือเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มในสังคม นำไปสู่การถูกลดคุณค่า และการตัดสินทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีความแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไม่พึงประสงค์ โดยอาจเกิดจากสังคม บุคคลใกล้ชิด หรือเกิดจากตนเอง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการเข้าสังคมของผู้ป่วยในระยะยาว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยภาคตัดขวาง (Cross-sectional Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการตีตราและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 เก็บข้อมูลในประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่เคยติดเชื้อ COVID-19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย จำนวน 1,250 คน ช่วงที่มีการระบาดของโรคฯ ในปี 2566 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ด้วย Generalized Linear Mixed Models: GLMM นำเสนอค่า Adjusted Odds Ratio (Adj.OR), 95%CI และค่า p-value</p> <p>ผลการศึกษา: ตัวอย่าง 1,250 คน ที่เคยติดเชื้อ COVID-19 ส่วนใหญ่มีระดับการตีตราในระดับน้อย (ร้อยละ 77.20) ค่าคะแนนเฉลี่ยการตีตราภาพรวมอยู่ที่ 27.26 (S.D.=12.36) พิจารณาแยกตามมิติ พบว่า การตีตราตนเอง การตีตราจากเพื่อนร่วมงาน การตีตราจากครอบครัว และการตีตราจากชุมชนอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 92.00, 93.84, 92.08 และร้อยละ 92.00 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตีตราของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย ได้แก่ อาชีพกลุ่ม “ลูกจ้างของรัฐ” มีแนวโน้มได้รับการตีตราน้อยกว่ากลุ่มเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Adj.OR=2.66, 95%CI=1.40–5.05) ระยะเวลาการรักษาน้อยกว่า 7 วัน มีโอกาสได้รับการตีตราน้อยกว่าผู้ที่รักษานานกว่า 10 วัน (Adj.OR = 1.95, 95%CI = 1.20–3.17) และผู้ที่รักษาระหว่าง 7–10 วัน (Adj.OR=1.70, 95%CI=1.07–2.72) พฤติกรรมการป้องกันโรค COVID-19 พบว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมในระดับดีมีแนวโน้มได้รับการตีตราน้อยกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมไม่ดีหรือปานกลาง (Adj.OR=1.73, 95%CI=1.16–2.56) ความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับ “ดีเยี่ยม” มีความสัมพันธ์กับระดับการตีตราที่ลดลง (Adj.OR=1.84, 95%CI=1.25–2.72) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ความรู้ในระดับ “พอเพียง” ความเครียด พบว่า กลุ่มที่มีระดับความเครียด “สูงกว่าปกติเล็กน้อยถึงปานกลาง” มีแนวโน้มถูกตีตราน้อยกว่ากลุ่มที่มีความเครียดในระดับรุนแรงอย่างชัดเจน (Adj.OR= 4.34, 95%CI=2.76–6.83) ผู้ที่มีระดับ PTSD ในระดับ “ปานกลาง” มีโอกาสได้รับการตีตราน้อยกว่าผู้ที่มีระดับ PTSD สูง-รุนแรง อย่างมีนัยสำคัญ (Adj.OR=5.01, 95%CI=2.35–10.70) จาก<br />ผลการศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตีตราน้อย ได้แก่ การเป็นลูกจ้างของรัฐเมื่อเทียบกับเกษตรกร ระยะเวลาการรักษาน้อยกว่า 7 วัน พฤติกรรมการป้องกันโรคในระดับดี ความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับดีเยี่ยม รวมถึงระดับความเครียดและ PTSD ที่อยู่ในระดับปานกลางหรือต่ำกว่ารุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนว่าปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรม และภาวะจิตใจมีผลต่อการรับรู้การตีตราที่<br />ผู้ติดเชื้อ</p> <p>ข้อเสนอแนะ: ควรเสริมสร้างสุขภาพจิตและการจัดการความเครียดของผู้ติดเชื้อ รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมป้องกันโรคที่ดีและเพิ่มพูนความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนและเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม เพื่อช่วยลดการตีตราจากสังคม</p> กนกพร ยอดยศ วงศา เล้าหศิริวงศ์ รจิตรา นววงศ์อนันต์ กฤษณะ อุ่นทะโคตร ฐิติมา นุตราวงศ์ ปาริชา นิพพานนทน์ นพรัตน์ เสนาฮาด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 11 21 อุบัติการณ์และการวิเคราะห์เชิงพื้นที่มะเร็งตับและท่อน้ำดี จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/279739 <p>หลักการและวัตถุประสงค์: อุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากนำระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงพื้นที่ ก็จะสามารถช่วยในการดำเนินงานป้องกันมะเร็งตับและท่อน้ำดีได้ การศึกษาครั้งนี้เพื่อทำการศึกษาปัจจัยเชิงพื้นที่และศึกษาอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดี จังหวัดกาฬสินธุ์ วิธีการศึกษา: แบบ Analysis retrospective cohort study ในผู้ป่วยมะเร็งตับและท่อน้ำดี ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์และได้รับการวินิจฉัยในโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ จำนวน 1,060 คน (ครอบคลุม 135 ตำบล) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2566 ปัจจัยที่ศึกษา เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล สภาพภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อม หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดี โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ด้วย Getis-Ord Gi* Moran’s<em> I</em> และ Anselin Local Moran’s <em>I</em> (LISA) และวิเคราะห์อุบัติการณ์ พร้อมนำเสนอช่วงความเชื่อมั่น 95% (95%CI)</p> <p>ผลการศึกษา: พบว่า อัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดี จังหวัดกาฬสินธุ์ ปี พ.ศ. 2562-2566 เท่ากับ 16.32 คนต่อแสนประชากรต่อปี (95%CI=15.32–17.32) พบเพศชายมีอัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงกว่าเพศหญิง (อัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีเพศชาย 24.0 คนตอประชากรแสนคนตอปี (95%CI=22.24–25.74) และเพศหญิง 9.35 คนต่อแสนประชากรต่อปี (95%CI=8.29–10.40) ซึ่งอัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีเพศชาย ในรายตำบล พบว่าตำบลท่าคันโท อำเภอท่าคันโท มีอัตราอุบัติการณสูงที่สุด (ASR=138.44, 95%CI= 18.29–258.61) รองลงมา ตำบลหนองแสน อำเภอหนองกรุงศรี (ASR=106.84, 95%CI=4.63–209.04 ตำบลยอดแกง อำเภอนามน (ASR=97.58, 95%CI=14.50–180.68) ตามลำดับ และเพศหญิงในรายตำบลพบว่า ตำบลยอดแกง อำเภอนามน มีอัตราอุบัติการณ์สูงที่สุด (ASR=58.92, 95%CI=4.58–113.24) รองลงมาคือ ตำบลอุ่มเม่า อำเภอยางตลาด (ASR=57.5, 95%CI=24.90–90.09) และตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย (ASR=43.86, 95%CI=0.62–87.12) ตามลำดับ</p> <p>ผลการวิเคราะห์เชิงพื้นที่โดยใช้สถิติ Getis-Ord Gi* พบความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับมะเร็งตับและท่อน้ำดีจังหวัดกาฬสินธุ์ พบมีการรวมกลุ่มในลักษณะของ High Clustering อย่างชัดเจนในหลายพื้นที่ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่มีอัตรามะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงเมื่อเทียบกับพื้นที่โดยรอบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพื้นที่ที่ตรวจพบการรวมกลุ่มในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ ตำบลเจ้าท่า นามน หลุบ ลำพาน อุ่มเม่า ดอนสมบูรณ์ กลางหมื่น นาจารย์ หนองกรุงศรี โคกเครือ หนองแวง ลำห้วยหลัว ดงพยุง การวิเคราะห์ด้วย Moran’s <em>I</em> และ LISA พบว่าตัวแปรระยะห่างจากแหล่งน้ำ มีความ<br />สัมพันธ์เชิงพื้นที่กับการเกิดมะเร็งตับและท่อน้ำดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.047) มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่แบบทิศทางเดียวกัน (Moran’s <em>I</em> = 0.027) นั้นหมายความว่าเกาะกลุ่มกัน และการวิเคราะห์ LISA พบพื้นที่ High-High นั้นหมายความว่า พื้นที่ที่มีอยู่ใกล้แหล่งน้ำจะพบอัตราอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีสูง ที่ตำบลกุดปลาค้าว คุ้มเก่า และสะอาดไชยศรี</p> <p>สรุป: การศึกษาครั้งนี้พบระยะห่างจากแหล่งน้ำมีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับการมะเร็งตับและท่อน้ำดี โดยอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีทั้งสองเพศต่ำกว่าอุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดีระดับประเทศ เนื่องจากระดับประเทศมีการเก็บข้อมูลมะเร็งตับและท่อน้ำดีที่ครอบคลุม ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นฐานในการกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดีในเชิงพื้นที่ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยแวดล้อม นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการส่งเสริมการจัดตั้งหน่วยบริการสุขภาพเคลื่อนที่เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคในระดับสูง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานด้านสาธารณสุขเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> พีรลักษณ์ สำราญรื่น สุพจน์ คำสะอาด อรยา สาหัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 22 33 การนอนหลับและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการนอนหลับในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ จากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหาย โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/281075 <p>การนอนหลับเป็นกระบวนการทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์โดยเฉพาะในระยะฟื้นหายมักประสบปัญหาการนอนหลับไม่ดีค่อนข้างสูง อาจเนื่องมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไปรบกวนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางและทำลายวงจรการนอนหลับทำให้เกิดการทำงานที่ไม่สมดุล มีลักษณะหลับยากตั้งแต่เริ่มต้น สะดุ้งตื่นกลางดึก การนอนหลับตื้นทำให้ตื่นไวกว่าปกติ ฝันร้ายระหว่างนอนกลางคืน และยังพบอีกหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการนอนหลับไม่ดี การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนอนหลับและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการนอนหลับในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหาย กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุงและอยู่ในระยะฟื้นหาย จำนวน 207 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (Pitts-burgh Sleep Quality Index; PSQI) ฉบับภาษาไทย และแบบประเมินปัจจัยรบกวนการนอนหลับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการนอนหลับ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการนอนหลับด้วยสถิติ Chi-square กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหาย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 91.8 อายุเฉลี่ย 48.1 ปี มีการนอนหลับไม่ดีคิดเป็นร้อยละ 76.8 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการนอนหลับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความเจ็บป่วยทางกาย (p-value 0.017) ความเครียด (p-value 0.005) และความวิตกกังวล (p-value 0.009)</p> <p>สรุป ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหายเกินครึ่งมีการนอนหลับไม่ดี และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ได้แก่ ความเจ็บปวดทางกาย ความเครียด และความวิตกกังวล ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนาการส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับของผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติจากแอลกอฮอล์ระยะฟื้นหายมีการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และการนอนหลับ สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป</p> ธรัญญา ดีกัลลา พัลลภ เซียวชัยสกุล อลงกรณ์ ศรีเลิศ สินีนาฏ ชาวตระการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 34 46 ผลของการพัฒนาศักยภาพประชาชนเพื่อส่งเสริมความรู้รอบด้านสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต โดยชุมชนมีส่วนร่วม ตำบลวังพร้าว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/279806 <p>การพัฒนาศักยภาพประชาชนเพื่อส่งเสริมความรู้รอบด้านสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต โดยชุมชนมีส่วนร่วม ตำบลวังพร้าว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เป็นการสร้างความรู้รอบด้านสุขภาพ โดยสร้างทักษะพื้นฐานให้กับประชาชนทั้งด้านความรู้ทักษะ การคิด การแก้ปัญหา เพื่อให้รู้เท่าทันสื่อสุขภาพ มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลทางสุขภาพ สามารถเลือกตัดสินใจนำข้อมูลไปใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว สังคมได้ การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวเก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความรู้รอบด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน และศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้รอบด้านสุขภาพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต โดยชุมชนมีส่วนร่วม ระยะเวลาในศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง เดือนมกราคม–มีนาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างคือ ประชาชนวัยทำงานเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุ 30-60 ปี จำนวน 60 คน คำนวณขนาดตัวอย่างด้วยโปรแกรม G*power เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย โปรแกรมการส่งเสริมความรู้รอบด้านสุขภาพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต จัดกิจกรรม จำนวน 5 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง และแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired samples t-test ผลการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 88.33 อายุระหว่าง 50–60 ปี ร้อยละ 56.67 ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 39.30 คะแนน (Mean difference=39.30, p-value&lt;0.001) และคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น 16.90 คะแนน (Mean difference= 16.90, p-value&lt;0.001) เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนและหลังการทดลองพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) ดังนั้นโปรแกรมการส่งเสริมความรู้รอบด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งในการจัดกิจกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนได้</p> ชัชชฎาภร พิศมร เอกสิทธิ์ ไชยปิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 47 58 ความฉลาดองค์รวมและความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีผลต่อการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/280469 <p>สถานการณ์สุขภาพจิตของประเทศไทยมีความน่าวิตก โดยพบผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตและมีผู้มีปัญหาความเครียด เสี่ยงซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัวตาย และมีภาวะหมดไฟที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในชุมชน จึงมีการกำหนดนโยบาย การพัฒนางานสุขภาพจิตชุมชนเชิงรุก โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติงานพัฒนาสุขภาพชุมชนและเป็นแกนนำหลักด้านสุขภาพ</p> <p>การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตชุมชนของ อสม. อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้ศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง อสม. จำนวน 731 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม พบว่า มีค่าความเชื่อมั่น ด้านความฉลาดองค์รวม ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตชุมชนเท่ากับ 0.98, 0.98, 0.97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน ได้แก่ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า อสม. มีความฉลาดองค์รวมโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=3.48, S.D.=0.88) ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean=3.46, S.D.=0.88) และการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตชุมชนโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง (Mean=3.43, S.D.=0.86) และพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตชุมชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <br />(p-value&lt;0.05) ได้แก่ ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการบอกต่อ (B=0.305) ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการตัดสินใจ (B=0.213) ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการตอบโต้ซักถาม (B=0.171) ความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านความรู้ความเข้าใจ (B=0.114) ความฉลาดองค์รวมด้านการเผชิญปัญหา (B=0.077) และความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (B=0.063) โดยสามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 93.0 (R²<sub>adj</sub>=0.930)</p> <p>ดังนั้นหน่วยงานด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ อสม. โดยเน้นการเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร การตัดสินใจ และความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพจิต รวมทั้งพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพจิตชุมชน</p> สิรีธร ซอเฮ็ง นครินทร์ ประสิทธิ์ ณัฐพร นิจธรรมสกุล อัมภาวรรณ นนทมาตย์ ณฐกร นิลเนตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 59 73 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับไขมันในเลือดกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับรักษาในสถานบริการของรัฐ อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/281090 <p>โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและ<br />ทุพพลภาพทั่วโลก ซึ่งโรคเบาหวาน (Diabetes) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia) มักจะพบร่วมกับโรคเบาหวาน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) และนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การศึกษาความสัมพันธ์ระดับไขมันในเลือดกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในพื้นที่อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือแม้ในประเทศไทยยังมีน้อย</p> <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับไขมันในเลือดกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยดำเนินการศึกษาแบบ Case-control study โดยกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 216 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาในครั้งนี้มี 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มศึกษา (Case) คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 108 คนและกลุ่มควบคุม (Control) คือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 108 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย รวบรวมข้อมูลด้วยแบบคัดลอกข้อมูลจากฐานเวชระเบียนของโรงพยาบาลกมลาไสย วิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดย Multiple logistics regression นำเสนอค่า Adjusted Odd Ratio (Adjusted OR) พร้อมช่วงความเชื่อมั่น 95% และค่า p-value</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ระดับ LDL Cholesterol มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) เมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปรอื่นๆในสมการสุดท้ายแล้ว พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับ Low-Density Lipoprotein Cholesterol (LDL Cholesterol) มากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองเป็น 6.14 เท่า ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับ LDL Cholesterol น้อยกว่า 100 มิลลิกรัมเดซิลิตร (Adjusted OR=6.14; 95 %CI: 2.60 - 14.76)</p> <p>กล่าวโดยสรุปผลการศึกษาครั้งนี้ พบว่า ระดับ LDL Cholesterol มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 ดังนั้นบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขควรมีการคัดกรองและประเมินความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับ LDL Cholesterol สูงกว่ามาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง</p> กิติพร ดลเรขา ชนัญญา จิระพรกุล เนาวรัตน์ มณีนิล นันทิญา เมฆฉิม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 74 83 อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนน ในพื้นที่เขตเมือง เขตสุขภาพที่ 9 ปี พ.ศ. 2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/281127 <p>อุบัติเหตุจราจรทางถนนถือเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่เขตเมืองที่มีการขยายตัวเมือง โครงสร้างระบบคมนาคมที่หลากหลาย การจราจรแออัดและวิถีชีวิตสังคมเมืองเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนน ส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมและการพัฒนาประเทศ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง เขตสุขภาพที่ 9</p> <p>วิธีการศึกษา: การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive study) โดยใช้ข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตที่ประสบอุบัติเหตุจราจรทางถนนในพื้นที่เขตเมือง (ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตำบล) ในเขตสุขภาพที่ 9 ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลและรายงานข้อมูลในระบบ<br />เฝ้าระวังการบาดเจ็บ (Injury Surveillance (IS) Version PHER Plus) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 5,474 คน นำเสนออัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนน พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95% (95% CI)</p> <p>ผลการศึกษา: เขตเมือง เขตสุขภาพที่ 9 พบผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 5,474 คน และผู้เสียชีวิต จำนวน 129 คน มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนน 12.99 ต่อประชากรแสนคน (95% CI 10.94 - 15.44) เมื่อจำแนกรายจังหวัด พบว่าจังหวัดสุรินทร์มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดเท่ากับ 23.17 ต่อประชากรแสนคน (95% CI 15.44-34.76) และมีอัตราตายของผู้บาดเจ็บ ร้อยละ 2.36 พบอัตราตายสูงในเพศชาย ร้อยละ 3.27 (95%CI 2.68–3.97) กลุ่มผู้สูงอายุ ร้อยละ 5.41 (95%CI 3.73–7.56) กลุ่มคนเดินเท้า ร้อยละ 11.33 (95%CI 7.20–17.40) กลุ่มที่ไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน ร้อยละ 2.81 (95%CI 2.33–3.39) และกลุ่มที่มีกลไกการบาดเจ็บจากการถูกชนหรือชนกับพาหนะ วัตถุสิ่งกีดขวางคนหรือสัตว์ ร้อยละ 3.71 (95%CI 3.09–4.46) อัตราตายสูงในกลุ่มผู้ที่ใช้รถยนต์ ร้อยละ 3.40 (95%CI 1.79-6.33) และอัตราตายสูงในผู้ที่ใช้ถนนทางหลวงชนบท ร้อยละ 6.25 (95%CI 2.70–13.81) สำหรับช่วงเวลาเสี่ยงที่มีอัตราตายสูงคือช่วงเย็น– กลางคืน (เวลา 18:00–23:59 น.) ร้อยละ 3.23 (95%CI 2.46-4.23)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ: เขตเมือง เขตสุขภาพที่ 9 มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางถนนมากกว่าค่าเป้าหมายการลดอัตราการเสียชีวิตในระดับประเทศ (อัตราการเสียชีวิตไม่เกิน 12 ต่อประชากรแสนคนภายในปี 2570) จังหวัดสุรินทร์มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยอัตราตายสูงในเพศชาย กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีกลไกการบาดเจ็บจากการถูกชนหรือชนกับพาหนะฯ โดยเฉพาะกลุ่มคนเดินเท้า กลุ่มที่ไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน ควรส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังการเสียชีวิตช่วงเวลาเสี่ยง (เวลา 18:00–23:59 น.) และวางแผนพัฒนาโครงสร้างถนนโดยเฉพาะถนนทางหลวงชนบทให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสำหรับประชาชนในพื้นที่เมือง</p> พรพิมล เพชรกลั่น เนาวรัตน์ มณีนิล ชาญวิทย์ มณีนิล กรกวรรษ ดารุนิกร ชนัญญา จิระพรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 84 96 ประสิทธิภาพของสารสกัดจากใบหม่อนในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคกลุ่มแกรมบวก ในกระบวนการหลังหมักปลาร้า https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/260063 <p>โรคที่เกิดจากอาหารที่เกิดจากการบริโภคจุลินทรีย์ก่อโรคที่ปนเปื้อนอาหารหรือน้ำดื่ม เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งทำให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิต จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคมีการปนเปื้อนสูงในอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า ซึ่งนิยมบริโภคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีสำคัญในใบหม่อน 5 สายพันธ์ และประสิทธิภาพของสารสกัดจากใบหม่อนต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค ในกระบวนการหลังหมักปลาร้า จากการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์จากหม่อน 5 สายพันธุ์ ได้แก่ บุรีรัมย์ 60 คุณไพ หม่อนไผ่ สกลนคร 72 และสกลนคร 85 พบว่าสารสกัดหยาบเอทานอลจากสายพันธุ์สกลนคร 85 มี ปริมาณสารดังกล่าวมากที่สุด 0.183±0.012มิลลิกรัมสมมูล gallic acid /มิลลิกรัมสารสกัด และ125.39±3.96มิลลิกรัมสมมูล quercetin /มิลลิกรัมสารสกัดตามลำดับ รวมทั้งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ดี อย่างไรก็ตาม จากผลการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแกรมบวกที่ทำให้เกิดโรค พบว่าสารสกัดหยาบสายพันธุ์หม่อนไผ่จากน้ำและเอทานอลให้ฤทธิ์ยับยั้งที่ดีที่สุด โดยมีค่าค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อ ของเชื้อ <em>Staphylococcus aureus</em>และ <em>Bacillus cereus</em>อยู่ในช่วง 12.5-25.0 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และ 3.1-6.3 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ และมีค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ของเชื้อ <em>S. aureus</em>และ<em>B. Cereus </em>อยู่ในช่วง 25.0-50.0 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และ 3.1-12.5 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อใช้สารสกัดหยาบจากสายพันธุ์หม่อนไผ่ที่ความเข้มข้น 50.0 มก./มล. ในกระบวนการหลังหมักปลาร้าเป็นเวลา 28 วัน สามารถลดจำนวนรวมของแบคทีเรีย และ <em>B. cereus </em>ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของ <em>S. aureus </em>ได้ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับปลาร้าควบคุม จากผลการศึกษาพบว่าสารสกัดหยาบจากใบหม่อนมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ในกระบวนการหลังหมักปลาร้าเพื่อยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคซึ่งลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากอาหารได้</p> กรกนก เทียนแย้ม นิตยา แสงประจักษ์ สุกัญญา ศรีจำปา พัชราภรณ์ ทิพยวัฒน์ ปฏิมากร พะสุวรรณ รัฐพล ไกรกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 97 109 ความผาสุกของเด็กปฐมวัยตามการรับรู้ของผู้ดูแล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/271669 <p>วัตถุประสงค์: เพื่ออธิบายความหมายและปัจจัย/เงื่อนไขความผาสุกของเด็กปฐมวัยตามการรับรู้ของผู้ดูแล วิธีการ: ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลักได้รับการเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด จากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในการดูแลเด็กปฐมวัย มีจำนวน 28 คน ประกอบด้วย 1) ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลหลักของเด็ก อายุ 3-5 ปี จำนวน 26 คน และ 2) ครูเด็กปฐมวัย จำนวน 2 คน ดำเนินการศึกษาที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2 แห่ง ใน 2 ตำบลของ จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบนของประเทศไทย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์ แก่นความคิด ผลการวิจัย: ความหมายของความผาสุกของเด็กปฐมวัย ตามการรับรู้ของผู้ดูแล ผู้ดูแลได้ให้ความหมายความผาสุกของเด็กปฐมวัยไว้ 4 ความหมาย คือ 1) เป็นที่ฮักแพง (เป็นที่รักของผู้ดูแลและคนในครอบครัว) 2) สุขซำบาย (สุขสบายไม่มีทุกข์) 3) ม่วนอิสระ (สนุกอย่างเป็นอิสระ) และ 4) แจบใจ (อบอุ่นมั่นใจ) นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่าปัจจัย/เงื่อนไขที่ทำให้เกิดความผาสุกของเด็กปฐมวัย คือ 1) ปัจจัยด้านตัวเด็ก มีธรรมชาติของเด็ก ร่างกายแข็งแรง จิตใจเบิกบาน เป็นต้น 2) ปัจจัยด้านครอบครัว มีพูดจาปราศรัยรักใคร่กลมเกลียว ครอบครัวพร้อมหน้า เลี้ยงดูเด็กอย่างเข้าใจ เป็นต้น 3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม มีเด็กมีพื้นที่ของตนเอง เพื่อนบ้านพึ่งพาได้ มีความปลอดภัย บทสรุป: ผลการศึกษาครั้งนี้ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความผาสุกของเด็กปฐมวัยตามการรับรู้ของผู้ดูแล ผู้ดูแล ครู/ครูพี่เลี้ยง พยาบาล และผู้รับผิดชอบดูแลเด็กปฐมวัย สามารถนำข้อค้นพบไปใช้ในการเสริมสร้างความผาสุกให้แก่เด็กปฐมวัยและใช้ในการพัฒนาเครื่องมือประเมินความผาสุกของเด็กปฐมวัยได้ในลำดับต่อไป</p> ขวัญกมล ลาดเสนา พูลสุข ศิริพูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 110 125 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/283907 วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิประจำฉบับ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/283910 วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 หน้าปก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/283905 วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 หน้าปกใน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/283906 วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17 สารบัญ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/283908 วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-17 2025-11-17