TY - JOUR AU - ชายเกลี้ยง, สุนิสา AU - ศุกรเวทย์ศิริ, พรนภา AU - มุกตะพันธ์, เบญจา PY - 2018/04/11 Y2 - 2024/03/29 TI - การประเมินภาวะเสี่ยงของการปวดไหล่จากการทำงานของบุคลากร ในสำนักงานมหาวิทยาลัยขอนแก่น JF - วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น JA - KKU J for Pub Health Res VL - 3 IS - 1 SE - นิพนธ์ต้นฉบับ DO - UR - https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kkujphr/article/view/118803 SP - 1-10 AB - <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการปวดไหล่ของบุคลากรใน<br>สำนักงานของมหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรในสำนักงานจำนวน 103 คน ถูกสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถาม<br>แบบมีโครงสร้าง ข้อมูลที่ใช้จัดเก็บคือ ลักษณะส่วนบุคคล ภาวะสุขภาพและภาวะโภชนาการ ปัญหาการปวดไหล่ สภาพแวดล้อมการ<br>ทำงาน การทดสอบสมรรถภาพของร่างกายโดยใช้อุปกรณ์ และตรวจวัดแสงสว่างในการทำงาน นำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิง<br>พรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ทดสอบความสัมพันธ์ของการปวดไหล่กับปัจจัยที่ศึกษาโดย<br>ใช้สถิติ t-test สำหรับค่าตัวแปรเชิงปริมาณ และสถิติ Chi-square สำหรับค่าตัวแปรเชิงคุณภาพและกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05<br>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 38.3+10.0 ปี อายุการทำงาน 12.9+11.0 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี<br>ร้อยละ 79.6 ดัชนีมวลกายบ่งชี้ภาวะปกติคือค่าเฉลี่ย 22.4+3.8 kg/m2 พบความชุกของการปวดไหล่ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา<br>ร้อยละ 63.1 โดยอัตราความชุกของการปวดไหล่จะพบในบุคลากรหญิง (ร้อยละ 68.5) สูงกว่าบุคลากรชาย (ร้อยละ 42.9) อย่างมี<br>นัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.031) ความยาวเส้นรอบเอวของบุคลากรสำนักงานกลุ่มปวดไหล่ (73.6+12.9 cm) มีค่าต่ำกว่ากลุ่มไม่<br>ปวดไหล่ (94.3+16.1 cm) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.049) สาเหตุการปวดไหล่ส่วนใหญ่มาจากการนั่งทำงานในท่าเดียว<br>นานๆ (ร้อยละ 80.0 ) และเกิดขึ้นในระหว่างชั่วโมงการทำงานและตอนเย็นหลังเลิกงาน ลักษณะอาการคือปวดเมื่อยแต่ไม่มีผลถึงขั้น<br>หยุดงาน ผลการตรวจวัดแสงสว่างที่หน้างานในสำนักงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ พบว่าร้อยละ 88.0 มีค่าต่ำกว่ามาตรฐานของ<br>กระทรวงแรงงานที่กำหนดไว้ เท่ากับ 600 lux จากผลการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย พบว่าบุคลากรที่มีรายงานการปวดไหล่ในระยะ<br>1 เดือนที่ผ่านมา มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อขา ต่ำกว่ากลุ่มไม่ปวดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value =0.004<br>และ p-value =0.046 ตามลำดับ)<br>ผลการศึกษานี้สามารถบ่งชี้สภาพปัญหาการปวดไหล่ของบุคลากรในสำนักงานของมหาวิทยาลัย เพื่อให้บุคลากรและองค์กร<br>ได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจากการทำงานในสำนักงาน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสมตามข้อกำหนดด้าน<br>มาตรฐานการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมการทำงาน นอกจากนั้นผลการทดสอบสมรรถภาพของ<br>กล้ามเนื้อหลังสามารถใช้ในการเฝ้าระวังเพื่อการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการปวดไหล่ของบุคลากรสำนักงานได้ต่อไป</p> ER -