https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/issue/feed วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ 2025-10-28T10:38:18+07:00 อาจารย์ ดร.ดวงรัตน์ กวีนันทชัย Dr.Duangrat Kaveenuntachai duangrat@nmu.ac.th Open Journal Systems <center></center> <p> วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ หรือชื่อเดิม วารสารเกื้อการุณย์ เป็นวารสารที่เผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการด้านความรู้ทางการพยาบาล รวมทั้งศาสตร์สาขาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ สาธารณสุข การพยาบาล การศึกษา การวิจัยและการบริการทางการพยาบาล และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น ประสบการณ์และเป็นแนวทางแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาวิชาชีพพยาบาลและบุคลากรทางการพยาบาล ตลอดจนนักศึกษาพยาบาลในหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอกทางการพยาบาล กลุ่มเป้าหมายของวารสาร ได้แก่ อาจารย์พยาบาล บุคลากรทางการพยาบาล นักศึกษาพยาบาลในหลักสูตรต่างๆ บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข และประชาชนผู้สนใจ</p> <p> ต้นฉบับทุกเรื่องต้องผ่านการประเมินก่อนการตีพิมพ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและ/หรือภายนอกคณะฯ จำนวน 3 ท่าน ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านการพยาบาลทั้งในเนื้อหาและวิธีวิทยาการวิจัยและสถิติหรือเชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับการอ่านบทความ 1 ฉบับ โดยผู้ทรงคุณวุฒิทำการประเมินผ่านทางระบบ ThaiJO และ อีเมลหรือโดยผู้นำส่ง กระบวนการประเมินบทความเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมคุณภาพของบทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ลงวารสารฯ การประเมินบทความจึงไม่ใช้ผู้ประเมินจากหน่วยงานเดียวกับผู้นิพนธ์เพื่อป้องกันความลำเอียง อีกทั้งในการประเมินมีการใช้การประเมินแบบปกปิด (double blinded) โดยปกปิดชื่อผู้นิพนธ์และชื่อผู้ประเมินในขั้นตอนนี้ (ใช้รหัสแทน) เพื่อเพิ่มความโปร่งใส</p> <p> บทความหรือข้อคิดเห็นใดๆในวารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นของนิพนธ์บทความนั้นๆ คณะพยาบาลศาสตร์เกื้อการุณย์และกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และขอสงวนสิทธิ์ในการตรวจทานและแก้ไขต้นฉบับให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กองบรรณาธิการกำหนด</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/280090 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นซ้ำในผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองในเขตเมือง 2025-06-10T08:48:05+07:00 ธวัชชัย ศรีกมลศิริศักดิ์ thawatchaibung05@gmail.com ยุพา วงศ์รสไตร yupha@nmu.ac.th <p>การวิจัยความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นซ้ำในผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 145 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ 2) แบบสอบถามการรับรู้ของบุคคล 3) แบบสอบถามแรงสนับสนุนทางสังคม และ 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ วิเคราะห์ความเที่ยงค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้เท่ากับ .98, .80, .91 และ .94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการป้องกันการกลับเป็นโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.44, SD = .51) โดยปัจจัยความรอบรู้ด้านสุขภาพ (β = .249) การรับรู้ความรุนแรงของโรค (β = .217) และแรงสนับสนุนทางสังคม (β = .184) สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ ได้ร้อยละ 22.80 (R<sup>2</sup> = .228) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; .05) จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์มากที่สุด พยาบาลควรส่งเสริมผู้ป่วยในเรื่องความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพื่อให้มีทักษะ และความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำในอนาคต</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/274856 การพัฒนาและการประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรมสมาร์ตโฟนแอปพลิเคชัน “อิ่มอุ่น” ต่อความเสี่ยงภาวะทุพโภชนาการในผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2024-12-12T10:22:36+07:00 ศศิพิมพ์ ไพโรจน์กิจตระกูล spairojkittrakul@gmail.com ภัทรวิน ภัทรนิธิมา pattharawin@gmail.com จิณพิชญ์ชา สาธิยมาส jinpitcha.s@ku.th <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และศึกษาประสิทธิภาพนวัตกรรมสมาร์ตโฟนแอปพลิเคชัน “อิ่มอุ่น” ต่อความเสี่ยงภาวะทุพโภชนาการในผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมที่มารับบริการที่ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จำนวน 28 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แอปพลิเคชัน “อิ่มอุ่น” เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยงภาวะทุพโภชนาการ วิเคราะห์หาความเชื่อมั่น โดยการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .89 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวน</p> <p>ผลการศึกษานี้ พบว่า แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน “อิ่มอุ่น” เพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการสำหรับผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ฟังก์ชันหลักประกอบด้วย การบันทึกอาหาร การแสดงค่าพลังงาน และโปรตีนรายบุคคล และการติดตามผลร่วมกับทีมสุขภาพ ภายหลังการทดลองใช้แอปพลิเคชัน พบว่า ผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยคะแนนความเสี่ยงการเกิดภาวะทุพโภชนาการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 8.34, p-value &lt; .001) เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการทดลอง ในสัปดาห์ที่ 4 (Mean = 5.18, SD = .44) และในสัปดาห์ที่ 8 (Mean = 5.18, SD = .44) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า สมาร์ตโฟนแอปพลิเคชัน “อิ่มอุ่น” สามารถใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมภาวะโภชนาการที่เหมาะสมในผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้</p> 2025-10-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/280647 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะพยาบาลห้องผ่าตัดในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจแบบเปิด 2025-07-17T10:17:20+07:00 สมจิตร สันติวรนารถ Somchit.san@gmail.com จิณพิชญ์ชา สาธิยมาส jinpitcha.s@ku.th <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจแบบเปิดต่อความรู้ ทักษะการพยาบาล และความพึงพอใจ ในกลุ่มผู้รับการโค้ชที่เป็นพยาบาลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัดหัวใจและทรวงอก 4 ราย และกลุ่มผู้โค้ชเป็นพยาบาลประจำห้องผ่าตัดหัวใจและทรวงอก 2 ราย เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะพยาบาลห้องผ่าตัดในการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจแบบเปิด 2) แบบประเมินความรู้ 3) แบบประเมินทักษะ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ โดยผ่านการตรวจสอบคุณภาพได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .93 แบบประเมินความรู้ และทักษะได้ค่าคูเดอร์-ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ .83 และ .87 ตามลำดับ และได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .92 และ .98 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังเข้าร่วมรูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ และคะแนนทักษะการพยาบาลสูงกว่าก่อนเข้าร่วม สำหรับความพึงพอใจ พบว่า อยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการส่งเสริมสมรรถนะในการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจแบบเปิด ทั้งในด้านช่วยพัฒนาความรู้ และทักษะปฏิบัติการพยาบาล จะช่วยเพิ่มคุณภาพการให้การดูแลผู้ป่วยขณะผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-11-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/279877 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความตระหนักรู้ในตนเองต่อพฤติกรรมป้องกันการคลอดทารกน้ำหนักน้อยในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง โรงพยาบาลสุรินทร์ 2025-06-11T10:04:20+07:00 กรรณิกา เพ็ชรักษ์ kannika@bcnsurin.ac.th เยาวนา ยงยืน yaowanayon@bcnsurin.ac.th ชัชฎาพร จันทรสุข shutchadaporn@bcnsurin.ac.th อรปรียา ผ่องใส onpreeya_p@bcnsurin.ac.th ฝนทอง จิตจำนง fontong@bcnsurin.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความตระหนักรู้ในตนเองต่อพฤติกรรมการป้องกันการคลอดทารกน้ำหนักน้อยในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะเสี่ยงต่อการคลอดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยที่รับบริการคลินิกฝากครรภ์ จำนวน 60 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความตระหนักรู้โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีความตระหนักรู้ในตนเองของดูวาลล์ และวิคลันด์ และแบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันการคลอดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ .93 และมีค่าความเที่ยง เท่ากับ .85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ ฟิชเชอร์เอ็กแซค และสถิติทดสอบที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันการคลอดทารกน้ำหนักน้อยของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-test = 16.999, p-value &lt; .001) โปรแกรมส่งเสริมความตระหนักรู้ส่งผลให้สตรีตั้งครรภ์วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงมีพฤติกรรมป้องกันการคลอดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยดีขึ้น ดังนั้น พยาบาลควรนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดบริการแก่สตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มีความเสี่ยงต่อการคลอดทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย เพื่อลดอัตราการคลอดทารกแรกเกิดนํ้าหนักน้อย และทารกแรกคลอดมีนํ้าหนักเป็นไปตามเกณฑ์ปกติ</p> 2025-11-19T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/281600 ผลของการใช้แอปพลิเคชันการเลี้ยงดูด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2025-09-09T11:47:44+07:00 ธมกร เธียรภูริเดช thamakorn730@gmail.com นาฎอนงค์ แฝงพงษ์ natanong.f@ubu.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แอปพลิเคชันการเลี้ยงดูด้านสุขภาพในผู้ดูแลที่มีเด็กก่อนวัยเรียนกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่อพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กด้านสุขภาพของผู้ดูแล กลุ่มตัวอย่างจำนวน 70 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 35 ราย กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ และกลุ่มทดลองได้รับการดูแลแบบปกติร่วมกับแอปพลิเคชันการเลี้ยงดูฯ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แอปพลิเคชันการเลี้ยงดูด้านสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียนกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสำหรับผู้ดูแล และแบบสอบถามพฤติกรรม การเลี้ยงดูเด็กด้านสุขภาพของผู้ดูแล ซึ่งค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .76 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กด้านสุขภาพหลังการทดลอง (Mean = 1.86, SD = .99) สูงกว่าก่อนการทดลอง (Mean = 1.59, SD = .09) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-test = 8.083, p-value &lt; .001) และกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กด้านสุขภาพ (Mean = 1.86, SD = .99) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 1.73, SD = .10) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t-test = 1.270, p-value &lt; .001) ดังนั้น แอปพลิเคชันการเลี้ยงดูฯ สามารถส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กด้านสุขภาพของผู้ดูแลได้</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/kcn/article/view/282946 การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 - 4 โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี 2025-10-28T10:38:18+07:00 นันทนา ชปิลเลส nantanasp@gmail.com พิชญพันธุ์ จันทระ pitpan.keakae@gmail.com บุญรักษา เหล่านภาพร Boonruksalao@gmail.com จิตรดา ทองดี td.chitrada@gmail.com นพรัตน์ วิมูลชาติ Nopparat2526@gmail.com แสงรวี มณีศรี sangrawee.m@rsu.ac.th <p>การวิจัย และพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา และประเมินผลลัพธ์ของรูปแบบการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 - 4 ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบการพยาบาล 3) ศึกษานำร่อง และ 4) นำไปใช้ และประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ 303 ราย และผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 - 4 จำนวน 106 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย “STOP-CKD model” แบบสอบถาม และแบบประเมิน 7 ชุด มีดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา .83 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่น .78 - .88 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ไคสแควร์ สถิติทดสอบที วิลคอกซัน ฟิชเชอร์ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า STOP-CKD Model ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในเชิงทฤษฎี และนำไปปฏิบัติได้จริง หลังการใช้รูปแบบการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = -14.252, p-value &lt; .001) การเปลี่ยนแปลงของ eGFR ตามเวลาแตกต่างกันระหว่างสองกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ (F = 14.812, p-value &lt; .001) กลุ่มทดลองมีค่า eGFR สูงกว่ากลุ่มควบคุม โดยเฉพาะในการตรวจติดตามเดือนที่ 2 (MD = 11.694, 95%CI [6.020, 17.368], p-value &lt; .001) และเดือนที่ 3 (MD = 18.983, 95%CI[12.917, 25.048], p-value &lt; .001) แสดงให้เห็นว่า รูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นสามารถเป็นแนวทางสำหรับพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 - 4 เพื่อรักษาการทำงานของไต และส่งเสริมผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีขึ้น</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลเกื้อการุณย์