https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/issue/feed
Journal of Thai Association of Radiation Oncology
2025-09-22T09:16:23+07:00
ศ.นพ.ชวลิต เลิศบุษยานุกูล
thairedjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านรังสีรักษา มะเร็งวิทยา ฟิสิกส์การแพทย์ การพยาบาลด้านมะเร็ง รังสีเทคนิค โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือแพทย์มะเร็งวิทยา นักฟิสิกส์การแพทย์ พยาบาล นักรังสีเทคนิค คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/article/view/275026
การศึกษาเปรียบเทียบความคลาดเคลื่อนของการฉายรังสีร่วมพิกัดระหว่างอุปกรณ์ Vision RT และอุปกรณ์ Gating (RPM) ของผู้ป่วยมะเร็งปอดโดยการใช้ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดลำรังสีรูปกรวย ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
2024-11-18T09:55:20+07:00
นงค์นุช คำตา
woraya.ng@gmail.com
พิมพิดา พงศ์ไพรภูมิ
woraya.ng@gmail.com
วรญา เงินเถื่อน
woraya.ng@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล: </strong>การฉายรังสีมะเร็งปอดด้วยเทคนิคการฉายรังสีร่วมพิกัด เป็นการให้ปริมาณรังสีสูงไปยังก้อนมะเร็ง แต่เนื่องจากปอดเป็นอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวจากการหายใจตลอดเวลาทำให้ก้อนมะเร็งสามารถเคลื่อนที่ได้ จึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์จัดท่าผู้ป่วยเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของตำแหน่งของก้อนมะเร็งน้อยที่สุดและต้องมีความถูกต้องแม่นยำในการจัดท่าผู้ป่วยขณะรักษาด้วยการฉายรังสีมากที่สุด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพอุปกรณ์จัดท่าผู้ป่วยในการฉายรังสีผู้ป่วยมะเร็งปอดด้วยเทคนิค SBRT ร่วมกับการหายใจเข้าลึกสุดและกลั้นใจนิ่งโดยใช้ระบบตรวจสอบตำแหน่งด้วยภาพผิวพื้นผิวจำลองของผู้ป่วย (Vision RT) และระบบ Real-time position management system (RPM, Gating)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ: </strong>การศึกษาโดยการเก็บข้อมูลย้อนหลังโดยใช้ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดลำรังสีรูปกรวย (Cone beam Computed tomography: CBCT) ที่ได้จากการตรวจสอบตำแหน่งก่อนการฉายรังสี ในกลุ่มผู้ป่วย ที่เข้ารับการรักษาช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 จำนวนผู้ป่วยในการศึกษาในครั้งนี้มีทั้งหมด 30 ราย ได้รับการฉายรังสีทั้งหมด 130 ครั้งและได้รับการทำ CBCT ทั้งหมด 130 ครั้งเช่นเดียวกัน แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 65 ครั้ง กลุ่มแรกเป็นผู้ป่วยฉายรังสีบริเวณปอดโดยใช้อุปกรณ์ระบบตรวจสอบตำแหน่งด้วยภาพผิวพื้นผิวจำลองของผู้ป่วย (Vision RT) และกลุ่มที่สองใช้ Real-time position management system (RPM, Gating) ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม ใช้ร่วมกับการหายใจเข้าลึกสุดและกลั้นใจนิ่ง (DIBH) เปรียบเทียบกันโดยใช้ค่าความคลาดเคลื่อนจากการตรวจสอบตำแหน่ง CBCT ในทุกครั้งก่อนการฉายรังสี ทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ฉายรังสีด้วยเทคนิค SBRT ร่วมกับเทคนิค DIBH ที่ใช้อุปกรณ์ระบบตรวจสอบตำแหน่งด้วยภาพผิวพื้นผิวจำลองของผู้ป่วย (Vision RT) ในแนวหน้า-หลัง, แนวศีรษะ-ปลายเท้า, และแนวซ้าย-ขวา พบว่าค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.25<u>+</u>0.19, 0.35<u>+</u>0.25 และ 0.19<u>+</u>0.19 ซม. ตามลำดับ ค่าความคลาดเคลื่อนของผู้ป่วยกลุ่มที่ใช้ RPM, Gating ในแนวในแนวหน้า-หลัง, แนวศีรษะ-ปลายเท้า , และแนวซ้าย-ขวา พบว่าค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.41<u>+</u>0.26, 0.5<u>+</u>0.44 และ 0.27<u>+</u>0.23 ซม. ตามลำดับ และพบว่าการใช้อุปกรณ์ทั้งสองชนิดมีความแตกอย่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแนวหน้า-หลัง ( p-value = 0.0001) แนวศีรษะ-ปลายเท้า (p-value = 0.02) และ แนวซ้าย-ขวา (p-value = 0.04) ตามลำดับ</p> <p>สรุป: การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดด้วยเทคนิค SBRT ร่วมกับการหายใจเข้าลึกสุดและกลั้นใจนิ่ง (DIBH) ด้วยการใช้อุปกรณ์ Vision RT สามารถช่วยลดความคลาดเคลื่อนและลดความแปรปรวนของข้อมูลในการจัดท่าผู้ป่วยได้มากกว่าการใช้อุปกรณ์ RPM, Gating ซึ่งสิ่งสำคัญในการฉายรังสีคือการตรวจสอบตำแหน่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วยการฉายรังสี</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: การฉายรังสีร่วมพิกัด, เทคนิคในฉายรังสีหายใจเข้าลึกสุดและกลั้นใจนิ่ง, การตรวจสอบตำแหน่งด้วยภาพผิวพื้นผิวจำลองของผู้ป่วย, ระบบจัดการตำแหน่งแบบเรียลไทม์ (RPM, Gating)</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/article/view/278943
ตัวทำนายความล้มเหลวการทำประกันคุณภาพก่อนฉายรังสี ในผู้ป่วยที่วางแผนการรักษา ด้วยเครื่องฉายรังสีแบบเกลียวหมุน
2025-06-20T08:38:28+07:00
วรรณวิษา บำรุงภักดี
kureekureekuree@gmail.com
ชวลิต หลักดี
chawalit2005@gmail.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> การฉายรังสีด้วยเครื่องฉายรังสีแบบเกลียวหมุน ต้องประกันคุณภาพก่อนการฉายรังสี (DQA) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของแผนการรักษา ในกรณีที่ไม่สามารถทำได้ เช่น ผู้ป่วยที่ต้องฉายรังสีเพื่อหยุดการไหลของเลือด ผู้ป่วยที่ต้องฉายรังสีเพื่อบรรเทาอาการปวด และผู้ป่วยที่ต้องฉายรังสีตามระยะเวลาที่กำหนดที่ไม่สามารถรอทำประกันคุณภาพก่อนฉายได้ ซึ่งต้องวางแผนการรักษาแล้วฉายรังสีทันที</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาตัวทำนายที่ทำให้การประกันคุณภาพก่อนฉายรังสีล้มเหลว และสร้างแบบจำลองการประกันคุณภาพก่อนฉายรังสี</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> เก็บข้อมูลย้อนหลังจากแผนการรักษาที่ถูกเก็บไว้ในโปรแกรม Accuray Precision ได้แก่ treatment sites: head and neck, brain, chest, abdomen และ pelvis, fraction dose, target volume, field width: 1 cm, 2.5 cm, 5 cm, pitch, modulation factor (planned and actual), gantry rotations, gantry period, beam on time, couch travel, couch speed, fraction MUs, leaf open time(max), leaf open time(min), leaf open time(mean), leaf open time(mode) และ leaf open time(std) ภานในหน่วยรังสีรักษา กลุ่มงานรังสีวิทยา โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ตั้งแต่ มกราคม 2563 ถึง ธันวาคม 2566 วิเคราะห์ตัวแปรทำนายการทำประกันคุณภาพก่อนการฉายรังสีล้มเหลวด้วย odds ratio, OR จาก logistic regression analysis ผ่านวิธี stepwise backward selection</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ตัวทำนายที่เพิ่มโอกาสให้การทำประกันคุณภาพก่อนการฉายรังสีล้มเหลว จนเป็นเหตุให้ต้องทำการวางแผนการรักษาใหม่ ได้แก่ treatment sites: pelvis (OR 2.91, 95% CI 1.52-5.57), field width 2.5 cm (OR 0.25, 95% CI 0.07-0.91), beam on time (OR 0.99, 95% CI 0.99-0.99), Couch speed (mm/sec) (OR 0.14, 95% CI 0.03-0.60), leaf open time (mode) (ms) (OR 0.99, 95% CI 0.99-1.00) และ leaf open time (std) (ms) (OR 1.02, 95% CI 1.01-1.04)</p> <p><strong>ข้อสรุป:</strong> ตัวทำนายที่ได้จากการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการรักษา ลดความจำเป็นในการทำประกันคุณภาพก่อนการฉายรังสีซ้ำ และลดระยะเวลารอคอยในกรณีที่ต้องวางแผนใหม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่สามารถทำประกันคุณภาพได้ จึงเป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/article/view/278947
การประเมินความคลาดเคลื่อนในการจัดท่าผู้ป่วยในการฉายรังสีรักษามะเร็งอุ้งเชิงกราน: การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างระบบภาพพื้นผิวสามมิติ (AlignRT) กับระบบเลเซอร์
2025-06-07T12:17:07+07:00
เกวลิน พืชผล
kaewalin.ph@gmail.com
นภัสกร ศรีสุข
praew.napasakorn@gmail.com
จารึก ก้านเพ็ชร
Jaruek2525@gmail.com
ณัฐวัฒน์ สำราญใจ
Nattawatsamjanjai@gmail.com
ทวีป แสงแห่งธรรม
mairt34@yohoo.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>: </strong>การฉายรังสีมีบทบาทในการรักษามะเร็งบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งผู้ป่วยต้องทำการฉายรังสีหลายครั้ง ความแม่นยำในการจัดท่าผู้ป่วยก่อนการฉายรังสีในแต่ละครั้งมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบความคลาดเคลื่อนของการจัดท่าก่อนฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งบริเวณอุ้งเชิงกรานด้วยระบบเลเซอร์และระบบภาพพื้นผิวสามมิติ (AlignRT) รวมถึงศึกษาคุณลักษณะของระบบ AlignRT</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>: </strong>ทำการศึกษาคุณลักษณะของระบบ AlignRT โดยศึกษาการประกันคุณภาพประจำวัน ปัจจัยต่างๆที่อาจส่งผลต่อระบบ AlignRT และความถูกต้องในการอ่านความคลาดเคลื่อนของระบบ AlignRT จากนั้นเก็บข้อมูลความคลาดเคลื่อนของผู้ป่วยมะเร็งอุ้งเชิงกรานที่จัดท่าด้วยระบบเลเซอร์และจัดด้วยระบบ AlignRT จำนวน 10 ราย จากการตรวจสอบตำแหน่งก่อนฉายรังสีด้วย Cone beam computed tomography</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาคุณลักษณะของระบบ AlignRT พบว่าค่าความคลาดเคลื่อนประจำวันอยู่ภายใน 0.4 มิลลิเมตร มุมหัวเครื่องฉายรังสี ผลของมุมเตียง ความสว่างในห้องฉาย และขอบเขตที่สนใจ อยู่ภายใน 0.2 มม., 0.1 องศา, 0.1 มม., และ 0.2 มม. ตามลำดับ ผลทางคลินิกพบว่าค่าความคลาดเคลื่อนของผู้ป่วยที่ได้รับการจัดท่าด้วยระบบ AlignRT มีค่าน้อยกว่าระบบเลเซอร์ในแนว Longitudinal และ Lateral โดยพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในแนว Lateral แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในแนว Longitudinal และ Vertical</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong><strong>: </strong>ระบบ AlignRT มีความถูกต้อง แม่นยำสูง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดตำแหน่งก่อนฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งบริเวณอุ้งเชิงกรานอย่างมีประสิทธิภาพทดแทนวิธีดั้งเดิมที่มีการขีดเส้นบนตัวผู้ป่วยหรือระบบเลเซอร์ได้</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/article/view/279054
เทคนิคการทำ CT Simulation เพื่อทดแทนการทำ 4D-CT Simulation สำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอด
2025-07-16T13:56:26+07:00
พลอย ดังสมัคร
ploy.dan@mahidol.ac.th
จิราพร เสตกรณุกูล
Jiraporn.set@mahidol.ac.th
อุตุมพร พ่วงรักษา
utumporn.pua@mahidol.ac.th
ชณิดา สถิตวัฒนวิโรจน์
chanida.sat@mahidol.ac.th
ศันสนีย คงคุ้ม
sansanee.kon@mahidol.ac.th
นีรนุช ทวีบุญ
neeranoot.tav@mahidol.ac.th
นัทวรรณ ม่วงไม้
nattawan.mua@mahidol.ac.th
ศุภนิดา งามดี
supanida.nga@mahidol.ac.th
ไพลิน พาฬิโพธิ์
pailin.pha@mahidol.com
<p><strong>หลักการและเหตุผล</strong><strong>:</strong> ในการฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งปอด เนื่องจากรอยโรคในปอดมีการเคลื่อนที่ตามการหายใจตลอดเวลา ในปัจจุบันมีเทคนิคการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ 4 มิติ (four-dimensional computed tomography, 4D-CT) โดยสร้างภาพควบคู่กับการติดตามกราฟการหายใจในขณะทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ทำให้ได้ภาพเอกซเรย์ที่มีขนาดสำหรับการฉายรังสีและตำแหน่งของรอยโรคมะเร็งปอดที่แม่นยำ แต่วิธีการทำนี้มีความซับซ้อนและต้นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ค่อนข้างสูง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ทำการศึกษาข้อมูลงานวิจัยเทคนิคการกลั้นหายใจและเทคนิคการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบสแกนช้า (slow CT) เพื่อทดแทนการทำ 4D-CT</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> การศึกษานี้ใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Phillips รุ่น Big bore RT ในการเก็บข้อมูลภาพ โดยใช้หุ่นปฏิบัติการเสมือนจริงแสดงการเคลื่อนไหว (moving phantom) คือ computerized imaging reference systems (CIRS) ซึ่งเป็นอุปกรณ์จำลองแทนก้อนมะเร็ง ตั้งค่าอัตราความถี่ของการเคลื่อนที่อิงตามอัตราการหายใจเท่ากับ 12 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นอัตราการหายใจในผู้ป่วยปกติ โดยทำการสแกนแบบ 4D-CT, การสแกนแบบหายใจเข้า-ออก กลั้นหายใจ (inhale/exhale breath-hold CT), เทคนิคการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบสแกนช้าทั้งหมด 4 รูปแบบตามการกำหนดค่า pitch และ rotation time และ เทคนิคการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบมาตรฐาน (standard CT)โดยใช้อุปกรณ์ respiratory management คือ Sentinel 4D-CT (C-RAD AB, Sweden) เป็นอุปกรณ์ optical surface monitoring systems (OSMS) หลังจากได้ชุดภาพสําหรับวางแผนการรักษา แพทย์รังสีรักษาจะวาดก้อนมะเร็งจากแต่ละชุดภาพ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ชุดภาพ slow CT2 และชุดภาพ inhale/exhale breath-hold CT วัดขนาดก้อนมะเร็งที่วาดได้ปริมาตรได้เท่ากับ 8.16 และ 9.36 ลูกบาศก์เซนติเมตรตามลำดับ ใกล้เคียงกับการวาดก้อนมะเร็งรูปแบบ internal target volume (ITV) ที่ได้จากชุดภาพ 4D-CT ที่มีขนาดเท่ากับ 9.93 ลูกบาศก์เซนติเมตร อย่างไรก็ตามการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยวิธี inhale/exhale breath-hold มีข้อจำกัดที่ต้องควบคุมผู้ป่วยให้กลั้นหายใจอยู่ในระดับปกติ</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong><strong>:</strong> วิธีการที่เหมาะสมในการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Phillips รุ่น Big bore RT เพื่อทดแทนการทำ 4D-CT คือ การทำ slow CT โดยการตั้งค่าพารามิเตอร์ด้วยค่า pitch ที่ต่ำที่สุดเท่ากับ 0.563 และ rotation time ที่มากที่สุดเท่ากับ 1 วินาที เพื่อให้ภาพที่ได้มีคุณภาพใกล้เคียงกับการทำ 4D-CT</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jtaro/article/view/279003
จุดคุ้มทุนของการรักษาโรคมะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสีเทคนิคแปรความเข้มเชิงปริมาตรแบบหมุนรุ่น Radixact® X9
2025-07-09T12:47:48+07:00
ธราธร ตุงคะสมิต
medizine3095@gmail.com
เกศวลัย รักษ์จิรวัฒน์
Tharatorn.T@chula.ac.th
สุรินทร์ อวดร่าง
Tharatorn.T@chula.ac.th
<p><strong>หลักการและเหตุผล:</strong> เครื่องฉายรังสี Radixact® X9 เป็นเทคโนโลยีฉายรังสีเพื่อการรักษามะเร็งที่มีต้นทุนการลงทุนสูง และมีความจำเป็นต่อการประเมินทางเศรษฐศาสตร์เพื่อใช้ในการบริหารทรัพยากร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> วิเคราะห์จุดคุ้มทุนของการใช้เครื่องฉายรังสี Radixact® X9 ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีและโรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงพรรณนาด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขในมุมมองของผู้ให้บริการ วิเคราะห์จุดคุ้มทุนของเครื่องฉายรังสี Radixact® X9 ในโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีและโรงพยาบาลมะเร็งลพบุรี เก็บข้อมูลต้นทุนทางตรงและทางอ้อมในปี 2567 และคำนวณต้นทุนต่อหน่วย จุดคุ้มทุนในแง่ผู้ป่วยและจำนวนครั้งการฉายรังสีต่อปี พร้อมทำการวิเคราะห์ความไว</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานีมีต้นทุนต่อหน่วย 150,737.03 บาท และจุดคุ้มทุนที่ 356.45 รายต่อปี ขณะที่โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรีมีต้นทุนสูงกว่า 230,355.21 บาท และจุดคุ้มทุนที่ 499.27 รายต่อปี การวิเคราะห์ความไวพบว่าต้นทุนค่าครุภัณฑ์มีผลสูงสุด ต้นทุนค่าแรงมีผลน้อย</p> <p><strong>ข้อสรุป</strong><strong>:</strong> การบรรลุจุดคุ้มทุนจำเป็นต้องมีปริมาณผู้ป่วยเพียงพอ โดยต้นทุนเครื่องมือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความคุ้มค่าของการลงทุน ข้อมูลนี้มีประโยชน์สำหรับการวางแผนด้านการลงทุนและนโยบายรังสีรักษาในประเทศไทย</p>
2025-12-11T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาแห่งประเทศไทย