https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/issue/feed
วารสารวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ
2025-12-12T20:56:39+07:00
นิสิต บุญอะรัญ
jrhisasuk101@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ </strong>โดย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นวารสารวิชาการทางวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาขาที่เกี่ยวข้อง ที่มีการควบคุมคุณภาพโดยทุกบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารฯ ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ซึ่งการพิจารณานั้นจะเป็นแบบ Double-blind review อย่างน้อย 2 ท่าน</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282216
การพัฒนาแนวทางการดำเนินงานตรวจคัดกรอง ค้นหา และดูแลผู้ป่วยยาเสพติดแบบมีส่วนร่วม ของชุมชน“ร้อยเอ็ดโมเดล”อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-03T09:28:42+07:00
วัฒนศักดิ์ สุกใส
jack24711@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา พัฒนาแนวทางการดำเนินงาน ทดลองใช้ และปรับปรุงและเผยแพร่แนวทางการดำเนินงานตรวจคัดกรอง ค้นหา และดูแลผู้ป่วยยาเสพติดแบบมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มเป้าหมายเป็น 1) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สำหรับการสำรวจสภาพปัจจุบันและปัญหา จำนวน 260 คน 2) กลุ่มเป้าหมายสำหรับการตรวจคัดกรองเป็นประชาชนอายุตั้งแต่ 16-65 ขึ้นไป 31,910 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) และ 3) กลุ่มผู้ร่วมวิจัยเป็นชุดปฏิบัติการระดับตำบล (ชปต.) ชุดละ 30 คน จำนวน 13 ชุด จำนวน 390 คน ดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 -ธันวาคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสำรวจสภาพปัจจุบันและปัญหาที่มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach's Alpha) เท่ากับ 0.92 แนวคำถามสำหรับการสนนากลุ่ม และแบบบันทึกที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of item objective congruence) ตั้งแต่ 0.80-1.00 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>พบว่า 1) สถานการณ์ยาเสพติดในจังหวัดร้อยเอ็ดและอำเภอพนมไพรยังคงรุนแรง โดยปัญหาหลักคือ การแพร่ระบาดของยาบ้าและการมั่วสุมในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งด้านอาชญากรรมและความสงบสุข แม้จะมีช่องทางแจ้งเบาะแส แต่ความกลัวและความไม่เชื่อมั่นยังเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหา แนวทางสำคัญในการลดผลกระทบและฟื้นฟูผู้ป่วยคือ การบำบัดรักษาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้จากการดำเนินงานอย่างบูรณาการและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน 2) รูปแบบและกลไก ประกอบด้วย 6 ขั้นคือ (1) ขั้นเตรียมการ (2) การค้นหาและคัดกรอง (3) สรุปผลการตรวจคัดกรองและการคืนข้อมูลแก่ชุมชน (4) การบำบัดรักษาตามรูปแบบ CBTx จำนวน 9 ครั้งและสรุปผล (5) การส่งต่อความยั่งยืน และ (6) การติดตามและเฝ้าระวังการกลับมาเสพซ้ำและ 3) ผลทดลองใช้แนวทางผลการตรวจคัดกรอง กลุ่มเป้าหมายอายุ 16-65 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจคัดกรอง Re x-ray ทั้งหมดจำนวน 31,910 คน พบว่า ผลการตรวจปัสสาวะเป็นผลบวก (Positive) 1,118 (3.5%) ความก้าวร้าวสีแดง 20 คน (1.79%) พฤติกรรมการใช้สารเสพติดเป็นผู้ใช้ 21 คน (1.88%) ผู้เสพ 1,069 คน(95.62%) และผู้ติด 28 คน (2.50%) ส่วนผลการบำบัด พบว่าผลการบำบัด CBTx ครบ 9 ครั้งในกลุ่มผู้เสพยาเสพติดทั้งหมด 1,064 คน การตรวจปัสสาวะเป็นผลบวก 177 คน (16.64%) และกลับไปเสพซ้ำโดยรวม 123 คน (11.56%) </p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: ผลการดำเนินการส่งผลกระทบต่อชุมชน การบำบัดตามรูปแบบ CBTx และการมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยลดผลกระทบและฟื้นฟูผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน </p>
2025-09-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282217
การพัฒนารูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติ งานผู้ป่วยใน โรงพยาบาลธวัชบุรี
2025-09-03T09:50:52+07:00
รัตนาภรณ์ อุปแก้ว
rp.1970porn@gmail.com
นงลักษณ์ เตชะนาม
rp.1970porn@gmail.com
จันทร์เมือง ทนงยิ่ง
rp.1970porn@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหา พัฒนารูปแบบ ทดลองใช้ และประเมินและปรับปรุงรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติ งานผู้ป่วยใน </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย: </strong>แหล่งข้อมูลสำหรับการศึกษาเวชระเบียนการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติที่มารับบริการในแผนกงานผู้ป่วยใน 108 ฉบับ กลุ่มเป้าหมายสำหรับการสนทนกลุ่ม 19 คน และกลุ่มเป้าหมายสำหรับการทดลองใช้รูปแบบฯ พยาบาลวิชาชีพที่ 13 คน และผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 43 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแบบบันทึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> 1) การดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติพบว่าปัญหาสำคัญเกิดจากผู้ป่วยและญาติ ผู้ให้บริการ (พยาบาล) ระบบบริการ และครุภัณฑ์และวัสดุทางการแพทย์ 2) รูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนคือ (1) การเตรียมความพร้อมและบุคลากร (2) การจำแนกและการรับผู้ป่วย (3) การปรับเปลี่ยนพื้นที่รองรับ (4) กระบวนการบำบัด และ (5) กระบวนการรับผู้ป่วยเข้าผู้ป่วยในและจำหน่าย หลังจากนำรูปแบบฯ ไปทดลองใช้แล้ว พบว่า จำนวนวันที่ผู้ป่วยนอนรักษาระยะ Acute น้อยที่สุด คือ 3 วัน (2.32%) มากที่สุด คือ 12 วัน (2.32%) ผู้ป่วยนอนรักษาระยะ Acute 7 วันจำนวน 29 คน (44.18%) จำนวนผู้บำบัดที่ผ่านการรักษาระยะ Acute และไปบำบัดระยะ IMC ครบ จำนวน 32 คน (74.41%) และผู้ให้บริการมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดระยะวิกฤติโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.52, SD. = 0.44)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> ผลการศึกษาข้างต้นสามารถลดวันนอนรักษาระยะ Acute ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราการบำบัดสำเร็จสูงและผู้ให้บริการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ดังนั้น จึงควรขยายผลรูปแบบการดูแลดังกล่าวไปใช้ในโรงพยาบาลเครือข่าย พร้อมปรับปรุงเรื่องครุภัณฑ์และระบบสนับสนุนให้ครบถ้วนทั้งนี้ควรมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนารูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่</p>
2025-09-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282335
ผลของการใช้โปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนก่อนการสวนหัวใจต่อความวิตกกังวล และความพร้อมของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในโรงพยาบาลร้อยเอ็ด
2025-09-08T20:39:41+07:00
โสภา สุวรรณศรี
sophanu12@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความวิตกกังวลและคะแนนความพร้อมของโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนก่อนการตรวจสวนหัวใจต่อความวิตกกังวลและความพร้อมของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในโรงพยาบาลร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย :</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 44 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม (ได้รับการพยาบาลตามปกติ) 22 คน และกลุ่มทดลอง (ได้รับโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผน) 22 คน โปรแกรมสร้างตามกรอบแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ และเครื่องมือวัดประกอบด้วยแบบประเมินความวิตกกังวลและแบบประเมินความพร้อม ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (0.84 และ 0.96) และค่าความเที่ยง (0.89 และ 0.87) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ไคสแควร์ การทดสอบค่าทีคู่ และค่าทีอิสระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ก่อนการตรวจสวนหัวใจ กลุ่มทดลองมีความวิตกกังวลระดับปานกลาง (Mean= 3.41±0.82) มีความพร้อมระดับค่อนข้างมาก (Mean= 3.62±0.83) กลุ่มควบคุมมีความวิตกกังวลระดับค่อนข้างมาก (Mean = 3.76±0.41) ความพร้อมระดับปานกลาง (Mean = 3.30±0.66) และหลังการตรวจสวนหัวใจ กลุ่มทดลองมีความวิตกกังวลระดับน้อยที่สุด (Mean =1.33±0.36) ความพร้อมระดับมากที่สุด (Mean =4.97±0.05) กลุ่มควบคุมมีความวิตกกังวลระดับปานกลาง (Mean =2.35±0.62) ความพร้อมระดับปานกลาง (Mean =3.33±0.80) การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม พบว่า กลุ่มทดลองมีความวิตกกังวลลดลงและความพร้อมเพิ่มขึ้นมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>โปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนก่อนการตรวจสวนหัวใจมีประสิทธิภาพในการลดความวิตกกังวลและเพิ่มความพร้อมของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงเสนอแนะให้นำไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการพยาบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลและประสบการณ์ผู้ป่วยต่อไป</p>
2025-09-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282337
การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อน (SMI-V) แบบมีส่วนร่วม ของครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-08T20:53:49+07:00
สายใจ สิงห์ยะเมือง
Mail.sai.0th@gmail.com
ศุภิศา บุญปก
Mail.sai.0th@gmail.com
สุพี ช่างม่วง
Mail.sai.0th@gmail.com
วิชชากร ไชยรัตน์
Mail.sai.0th@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการสร้างระบบ ทดลองใช้และประเมินผล ปรับปรุง และเผยแพร่ระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อน (SMI-V) แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกรและ อสม. 40 คน ผู้รับบริการ เช่น ผู้ป่วยจิตเวชและครอบครัว 30 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2567 - กรกฎาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความสามารถโดยรวม แบบประเมินอาการทางจิต แบบประเมินคุณภาพชีวิต แบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินความเหมาะสมและการปฏิบัติได้จริง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Paired t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> 1) ปัญหาการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อน (SMI-V) จำแนกสภาพปัญหาและสาเหตุออกด้านผู้รับบริการและญาติ ผู้ให้บริการ ระบบบริการ และวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 2) ระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อน (SMI-V) แบบมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนประกอบด้วย (1) การจัดให้มีคณะทำงานในพื้นที่ร่วมดูแลต่อเนื่อง (2) การจัดตั้งกลุ่มสื่อสารทางไลน์ (Line Group) (3) การจัดการรายกรณี (Case Management) (4) การติดตามและประเมิน และ (5) การบำบัดผู้ป่วยด้วยกระบวนการจิตสังคมบำบัดและการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และ 3) หลังการพัฒนาพบว่า ผู้ดูแลมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าก่อนการพัฒนา (p<.001) โดยมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่า 4.00 คะแนน (95%CI: 3.09, 4.09); มีคะแนนเฉลี่ยอาการทางจิตโดยรวม, ความสามารถโดยรวม และคุณภาพชีวิตโดยรวมมากกว่าก่อนการพัฒนา (p<.001, .001 และ .001) โดยมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่า 28.43, 15.46 และ 33.43 คะแนน (95%CI: 22.82, 34.03; 12.55, 18.37; 29.20, 37.65) และคะแนนเฉลี่ยความเหมาะสม และการปฏิบัติได้จริงโดยรวม อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.39, SD.= 0.12) </p> <p><strong>สรุปและข้อเสนแนะ</strong>: การสร้างนวัตกรรมด้านระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่ยุ่งยากซับซ้อนโดยอาศัยความร่วมมือจากครอบครัวและชุมชน ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกทั้งในระดับผู้ป่วย ผู้ดูแล และระบบบริการ แต่ข้อจำกัดด้านการประยุกต์ใช้ในวงกว้างและการติดตามผลระยะยาวเป็นประเด็นที่ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้แนวทางที่มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น</p>
2025-09-08T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282445
การวิเคราะห์สมรรถนะ และผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานด้านงานการเงินและบัญชี ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-13T13:24:29+07:00
บุญเรือง แซ่อึ้ง
iladanine@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อวิเคราะห์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะกับผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานด้านงานการเงินและบัญชีของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Study) </p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องการปฏิบัติงานด้านงานการเงินและบัญชีในเครือข่ายสุขภาพในจังหวัดร้อยเอ็ด และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ จำนวน 132 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) และสุ่มอย่างง่ายโดยใช้วิธีจับสลาก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาตั้งแต่ 0.80-1.00 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.93 และการหาค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อ (Discrimination Power) ตั้งแต่ 0.42-0.78 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ Multiple regression analysis</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>สมรรถนะและผลสัมฤทธิ์ของเจ้าหน้าที่งานการเงินและบัญชีในเครือข่ายสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ดโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (Mean±SD.=4.12±0.51 และ Mean±SD.= 4.20±0.78) และความรู้และบุคลิกลักษณะประจำตัวบุคคลมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของเจ้าหน้าที่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยทั้งสองปัจจัยสามารถร่วมกันอธิบายความเปลี่ยนแปลงของผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานได้คิดเป็นร้อยละ 23.4</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยด้านความรู้และบุคลิกภาพของเจ้าหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานทางการเงินและบัญชีในหน่วยงานสาธารณสุข</p>
2025-09-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282446
การศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพภาพและปริมาณรังสี ในการถ่ายภาพรังสีทรวงอกด้วยเทคนิค ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่แตกต่างกัน กรณีศึกษาโรงพยาบาลบางพลี
2025-09-13T13:39:33+07:00
ญาณวุฒิ สมศรี
yannawutsomsri@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของภาพและปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยได้รับ (Entrance Surface Air Kerma: ESAK) จากการถ่ายภาพรังสีทรวงอกด้วยเทคนิคความต่างศักย์ไฟฟ้า 95, 105 และ 120 kVp</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษากึ่งทดลอง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>ทำการเก็บข้อมูลจากผู้รับบริการถ่ายภาพรังสีทรวงอกท่า PA upright จำนวน 180 ราย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามเทคนิคความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ใช้ 95, 105 และ 120 kVp กลุ่มละ 60 ราย ประเมินคุณภาพของภาพโดยรังสีแพทย์ 3 ท่าน เก็บข้อมูลค่าดัชนีบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณรังสี (Deviation Index: DI) และวัดค่าปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยได้รับ</p> <p><strong>ผล</strong><strong>การวิจัย</strong>: ค่าปริมาณรังสีเฉลี่ยที่ผิวผู้ป่วยได้รับของกลุ่มเทคนิค 95, 105 และ 120 kVp เท่ากับ 0.40, 0.49 และ 0.25 mGy ตามลำดับ โดยเทคนิค 120 kVp ให้ค่าปริมาณรังสีต่ำที่สุด ลดลงจากเทคนิค 95 และ 105 kVp คิดเป็นร้อยละ 37.50 และ 48.97 ตามลำดับ และต่ำกว่าค่าปริมาณรังสีอ้างอิงของประเทศไทย (0.4 mGy) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ค่าดัชนีบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณรังสีส่วนใหญ่อยู่ในช่วงที่เหมาะสม (±3) ทุกกลุ่ม และความพึงพอใจของรังสีแพทย์ต่อคุณภาพของภาพอยู่ในระดับดีถึงดีเยี่ยม โดยเทคนิค 120 kVp ได้คะแนนความพึงพอใจสูงสุด</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การถ่ายภาพรังสีทรวงอกด้วยเทคนิคความต่างศักย์ไฟฟ้า 120 kVp สามารถลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ ภาพที่ได้มีคุณภาพเพียงพอต่อการวินิจฉัย จึงเป็นเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายภาพรังสีทรวงอก</p>
2025-09-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282469
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ในเครือข่ายโรงพยาบาล ในจังหวัดมหาสารคาม
2025-09-14T14:17:30+07:00
อัมพร นาคสมบูรณ์
ampornjaa4450@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาประสิทธิผลของการดำเนินงานป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ในเครือข่ายโรงพยาบาล ในจังหวัดมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มเป้าหมายคือ 1) ทีมสหวิชาชีพในโรงพยาบาล ในจังหวัดมหาสารคาม ทั้ง 11 แห่ง (พยาบาล ห้องคลอด/ฝากครรภ์ และแพทย์) รวมจำนวน 20 คน 2) สตรีตั้งครรภ์ที่เข้ารับการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 30 คน 3) มารดาที่คลอดก่อนกำหนดในช่วงระยะเวลาการศึกษา ระหว่าง 1 ธันวาคม 2566 ถึง 31 พฤษภาคม 2567 จำนวน 120 คน การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม (Quantitative data) จากฐานข้อมูลโรงพยาบาล ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มย่อย (Qualitative data) จากผู้ปฏิบัติ</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่า รูปแบบการดำเนินงานที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การคัดกรองและประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ 2) การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่สตรีตั้งครรภ์ 3) การส่งต่อและการดูแลแบบสหวิชาชีพ และ 4) การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการใช้รูปแบบดังกล่าว พบว่าอัตราการคลอดก่อนกำหนดในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดลดลงจากร้อยละ 6.86 เป็น ร้อยละ 6.30 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) และบุคลากรทางการแพทย์มีความพึงพอใจต่อรูปแบบการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> รูปแบบการดำเนินงานที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิผลในการลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม และสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานในโรงพยาบาลเครือข่ายได้ โดยควรมีการขยายผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว</p>
2025-09-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282470
การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของโรงพยาบาลปทุมรัตต์
2025-09-14T14:33:16+07:00
ดวงใจ คำแหล่
dungjai2555@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาแนวทาง และประเมินผลการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของโรงพยาบาลปทุมรัตต์</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&D)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ 7 คน สำหรับการสนทนากลุ่ม 10 คน และญาติ 30 คน และผู้ป่วยสำหรับทดลองใช้แนวทาง 30 คน เก็บรวบรวมโดย แบบสอบถามความต้องการ แบบประเมินความเหมาะสม แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์และแบบประเมินความพึงพอใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา One Sample t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> พบปัญหาหลักในการดูแลผู้ป่วย STEMI ได้แก่ การประเมินที่ยังไม่ครอบคลุม การวินิจฉัยและรักษาล่าช้า เนื่องจากขาดบุคลากรเฉพาะทาง และข้อจำกัดในการส่งต่อ ความต้องการจำเป็น (PNI) สูงสุดคือ ความพร้อมของแพทย์และพยาบาลในการรองรับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง (PNI = 0.530) แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การคัดกรองอาการโดยใช้แบบประเมินเจ็บหน้าอกจากกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันโรงพยาบาลปทุมรัตต์ เพิ่มการคัดกรองในกลุ่มโรค DM, HT, old MI ที่มาด้วยอาการ Dizzeness, Dyspepsia ให้ทำ EKG ทุกรายและทำระบบแจ้งเตือนในโปรแกรม HOSxP 2) ทำ EKG รายงานแพทย์อ่านผลภายใน 10 นาที 3) Consult cardio med โรงพยาบาลแม่ข่าย วินิจฉัยเป็น STEMI, ให้ยา Streptokinase โดยใช้ช่องทางด่วนเบิกยารอเพื่อลดระยะเวลาการให้ยา, Workshop เจ้าหน้าที่ เรื่องการให้ยา Streptokinase บันทึกการให้ยาระบุเวลาให้ยา เวลายาหมดเพื่อให้ได้รับยาทันเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ประสานการส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายคือโรงพยาบาลร้อยเอ็ด, ส่งข้อมูลใน Line ส่งต่อ STEMI fast track นำส่งผู้ป่วยโดยพยาบาล 2 คน 5) การติดตามผลการรักษา ติดตามเยี่ยมบ้านทุกราย และ 6) พยาบาลคลินิกโรคเรื้อรังและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้สุขศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค AMI และระบบ EMS ให้ผู้ป่วยและญาติทราบอาการฉุกเฉินที่ต้องมาโรงพยาบาล ประเมินผลพบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาทันเวลาระบบ Fast Track จำนวน 27 คน (90%), เข้ารับบริการโดยระบบ EMS จำนวน 15 คน (50%), ระยะเวลาเริ่มให้ยาละลายลิ่มเลือด (Door-to-needle) เวลาเฉลี่ย 27 นาที จำนวน 25 คน (83.33%), Onset to Needle Time (OTN) เวลาเฉลี่ย 85 นาที จำนวน 21 คน (70%), อัตราการเสียชีวิต 0 %</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>:</strong> ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางดังกล่าวลดอัตราการตายและเพิ่มคุณภาพการดูแล ดังนั้น จึงควรจัดอบรมพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จัดระบบ EKG แบบเรียลไทม์ และส่งเสริมให้โรงพยาบาลชุมชนอื่นนำแนวทางไปปรับใช้ </p>
2025-09-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282471
การขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม
2025-09-14T14:44:32+07:00
สมัย ทองพูล
mikethong7722@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาวิเคราะห์รูปแบบ การพัฒนา และปัจจัยแห่งความสำเร็จการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม </p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) </p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ศึกษาในคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ และส่วนท้องถิ่น โดยดำเนินงานผ่าน 4 ระยะหลัก ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติ การเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย การวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพปัญหา การประชุม การสังเกตการปฏิบัติงาน และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>1) รูปแบบการการดำเนินงานขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในอำเภอนาดูน ใช้กลไกศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอและส่วนท้องถิ่นอย่างบูรณาการ มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน และรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในทุกพื้นที่และสถานศึกษา โดยพัฒนาเป็น NADUN Model (N=Network, A=Action, D=Development, U=Unity, N=No Accident) หมายถึง “การพัฒนา ลงมือปฏิบัติ โดยภาคีมีส่วนร่วมอย่างเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน” 2) ผลการพัฒนาทำให้เยาวชนมีวินัยจราจร รู้จักการสวมหมวกนิรภัย และมีทักษะ “วัคซีนจราจร” ในการเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน โรงเรียนมัธยมทั้ง 2 แห่งจัดทำ MOU ร่วมกับ ศปถ.อำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้สโลแกน “ชาวนาดูนมีวินัย ขับขี่ปลอดภัย สวมหมวกนิรภัย 100%” เกิดพื้นที่ต้นแบบสวมหมวกนิรภัยครบทุกตำบลและหมู่บ้านต้นแบบเมาไม่ขับ จำนวน 9 หมู่บ้าน การสอบสวนอุบัติเหตุเสียชีวิตดำเนินการครบ 100% มีการบริหารจัดการข้อมูลความเสี่ยง 3 ด้าน (จุดเสี่ยง กลุ่มเสี่ยง พฤติกรรมเสี่ยง) ช่วงเทศกาลมีการตั้งด่านหลัก-ด่านรองครอบคลุมทางออกสู่ถนนหลัก และแก้ไขจุดเสี่ยงสำคัญได้ 12 ใน 17 จุด (70.58%) การสะท้อนข้อมูลในเวทีประชุมประจำเดือน สร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ ส่งผลให้จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุลดลงจาก 1,499 เหลือ 1,175 ครั้ง (ลดลง 21.6%) ผู้บาดเจ็บลดจาก 1,798 เหลือ 1,506 ราย (ลดลง 16.2%) และผู้เสียชีวิตลดจาก 42 เหลือ 39 ราย (ลดลง 7.1%) พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มสุราและไม่สวมหมวกนิรภัย ก็ลดลงทั้งช่วงปกติและเทศกาล และ 3) ปัจจัยแห่งความสำเร็จมาจากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างคณะกรรมการ ศปถ.อำเภอและส่วนท้องถิ่นร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ รพ.สต. อสม. กำนันผู้ใหญ่บ้านและประชาชน ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการตั้งแต่การวางแผน ดำเนินงาน ติดตามผล และสะท้อนผลลัพธ์ ทำให้เกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> การขับเคลื่อนกลไกการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในอำเภอนาดูน เป็นกระบวนการที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ ทั้งการรับผิดชอบ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมแก้ไขปัญหา และร่วมลงมือปฏิบัติ ปัจจัยแห่งความสำเร็จประกอบด้วย การมีคำสั่งแต่งตั้งที่ชัดเจน การวางแผนและดำเนินงานอย่างเป็นระบบ การให้ความสำคัญจากผู้บริหาร การสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงการนิเทศ ติดตาม และควบคุมกำกับอย่างต่อเนื่องในเชิงบวก กระบวนการทั้งหมดสรุปเป็น NADUN Model (N= Network, A= Action, D= Development, U= Unity, N= No Accident) ซึ่งหมายถึง “การพัฒนาและลงมือปฏิบัติ โดยภาคีมีส่วนร่วมอย่างเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน”</p>
2025-09-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282629
ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเข้มข้นต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด และดัชนีมวลกายของผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ ในโรงพยาบาลเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-22T09:13:15+07:00
เกตุแก้ว เพ็ชรรัศมี
namtaohoo76@gmail.com
ปาริชาต ชรากาหมุด
namtaohoo76@gmail.com
อภิญญา จันทะคัด
namtaohoo76@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด และดัชนีมวลกายของผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง (One Group Pretest-Posttest Design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>ศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ค่าดัชนีมวลกาย 25.00-29.90 HbA1c 7.00-7.50 ในช่วง 6 เดือน จำนวน 40 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง สุ่มอย่างง่ายด้วยการจับฉลากไม่แทนที่และวัดก่อน-หลังการทดลอง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการปรับ ลดแป้ง (Low carb) และงดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting) 8 ทำกิจกรรมเป็นรายบุคคล ครั้งละ 20-30 นาที (เดือนที่ 1, 3, 5) ครอบคลุม 1) การตั้งเป้าหมายโดยใช้ค่าดัชนีมวลกายและประวัติการกินยา 2) การปรับพฤติกรรมการบริโภคและโภชนาการ 3) การให้แรงเสริมตนเอง สร้างแรงบันดาลใจ 4) การตรวจเลือดด้วยตนเองที่บ้าน และ 5) การประเมินค่าดัชนีมวลกายร่วมกับการทำ Telemedicine การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานวัดก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมการปรับพฤติกรรม พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ย การบริโภคอาหารดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<.05 โดยมีคะแนนเพิ่มขึ้น 8.60 คะแนน (95%CI:-1.82, -1.48) ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<.0001 โดยมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดลง 0.25 mg% (95%CI: 0.192, 0.313) และค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<.0001 โดยดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลง 0.68 kg/m<sup>2</sup> (95%CI: 0.40, 0.96) </p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: จะเห็นได้ว่าโปรแกรมการปรับพฤติกรรมแบบเข้มข้นทำให้ผู้ป่วยมีการบริโภคอาหารดีขึ้นระดับน้ำตาลสะสมในเลือดและค่าดัชนีมวลกายลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจที่จะดูแลตนเอง และพร้อมที่จะเป็นตัวอย่างให้กับผู้ป่วยเบาหวานในกลุ่มต่อไป</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282631
การพัฒนาระบบเฝ้าระวังปัญหาสายตาของนักเรียน ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 จังหวัดมหาสารคาม
2025-09-22T09:37:13+07:00
ศิริรัตน์ จ่ากุญชร
sirirat.phe@gmail.com
ปิยะลักษณ์ ภักดีสมัย
sirirat.phe@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อพัฒนาและประเมินผลระบบเฝ้าระวังปัญหาสายตาของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 จังหวัดมหาสารคาม</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> : การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยแบ่งเป็นระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ ระยะที่ 2 พัฒนาระบบ และระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนาระบบ โดยใช้แนวคิด PAOR ในการดำเนินงานวิจัยร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย คู่มือแนวทางการดำเนินงานคัดกรองสายตานักเรียน แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย สมุดบันทึกสุขภาพของนักเรียน แบบบันทึกการคัดกรองสายตา และระบบโปรแกรม Vision2020 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์จำแนกประเภทข้อมูล และการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>: </strong>ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่าการดำเนินงานเดิมยังไม่มีความต่อเนื่อง การประสานงานไม่เป็นระบบ และขาดเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ระยะที่ 2 การพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นวางแผน (Planning) ขั้นปฏิบัติการ (Action) ขั้นสังเกตการณ์ (Observation) ขั้นสะท้อนผล (Reflection) ได้รูปแบบที่ประกอบด้วย 1) ระบบบริหารจัดการ 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร 3) ระบบคัดกรองและส่งต่อที่มีมาตรฐาน และ 4) ระบบข้อมูลและรายงานผล ระยะที่ 3 การประเมินผลการดำเนินงานพบว่าในปีการศึกษา 2567 นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ได้รับการคัดกรองสายตาร้อยละ 85.31 พบภาวะสายตาผิดปกติร้อยละ 2.26 และในกลุ่มที่มีความผิดปกติได้รับแว่นสายตาที่เหมาะสมถึงร้อยละ 82.12 โดยภาวะสายตาสั้นเป็นปัญหาหลัก รองลงมาคือสายตายาวและสายตาเอียง นอกจากนี้ ระบบที่พัฒนายังส่งเสริมการทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานในพื้นที่ สร้างความต่อเนื่องในการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>:</strong> ระบบเฝ้าระวังปัญหาสายตานักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ช่วยเพิ่มอัตราการคัดกรอง คัดแยกผู้มีภาวะสายตาผิดปกติ และส่งต่อเพื่อรับบริการที่เหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินงานที่ยั่งยืน สามารถขยายผลได้ในระดับจังหวัดและพื้นที่อื่นต่อไปได้<strong> </strong></p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282641
ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้นหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในโรงพยาบาลชุมชน: การศึกษาเชิงย้อนหลัง
2025-09-22T11:27:03+07:00
ณัฐกานต์ บาริศรี
Natthakan43@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้นหลังการผ่าตัด TKA ในโรงพยาบาลชุมชน</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย :</strong> การศึกษาเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong> : การศึกษาเชิงย้อนหลังนี้ได้วิเคราะห์เวชระเบียนของผู้ป่วย 97 ราย ที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมข้างเดียว ณ โรงพยาบาลสุวรรณภูมิระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2567 การผ่าตัดทั้งหมดดำเนินการโดยศัลยแพทย์เพียงท่านเดียว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผู้ป่วยถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ผู้ที่มีระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น (> 3 วัน) และกลุ่มที่มีระยะเวลามาตรฐาน (≤ 3 วัน) วิเคราะห์แบบตัวแปรเดียว (Chi-square test) เพื่อคัดเลือกตัวแปรที่มีค่า p < .20 และใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบ Multiple logistic regression with backward elimination เพื่อระบุปัจจัยเสี่ยง กำหนนัยสำคัญทางสถิติที่ 95% Confidence interval</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>การวิเคราะห์แบบพหุตัวแปรพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลที่นานขึ้น ได้แก่ เพศหญิง (aOR = 6.25; 95% CI : 2.11, 8.87; p = .003), ภาวะแผลแยก (aOR = 13.86; 95% CI: 3.05, 62.96; p = .001) และ การดมยาสลบแบบ Spinal Block (aOR = 4.71; 95% CI: 1.79, 12.39; p = .002)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ :</strong>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าเพศหญิง, ภาวะแผลแยก และการดมยาสลบแบบ Spinal Block เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่เพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้นหลังการผ่าตัด TKA การจัดการปัจจัยเหล่านี้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการดูแลแผลผ่าตัดอย่างใกล้ชิดจะช่วยลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลและเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลได้</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282642
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลการวางแผนการดูแลล่วงหน้าผู้ป่วยระยะท้าย โรงพยาบาลธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-09-22T11:44:42+07:00
วารุณี บุตรนัย
Waruneebootnai@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลการวางแผนการดูแลล่วงหน้าผู้ป่วยระยะท้าย และประเมินผลการใช้รูปแบบการวางแผนล่วงหน้าในผู้ป่วยระยะท้าย (Palliative care) ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลธวัชบุรี</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>การวิจัยและพัฒนา (Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>กลุ่มเป้าหมายเป็นพยาบาลวิชาชีพ จำนวน 14 คน กลุ่มผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เข้ารับการรักษาที่ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลธวัชบุรี จำนวน 35 คนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า ดำเนินการระหว่างเดือนมกราคม - สิงหาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบแบบประเมินคุณภาพชีวิต WHOQOL-BREF แบบประเมินความพึงพอใจของครอบครัว และแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong> รูปแบบการพยาบาลการวางแผนการดูแลล่วงหน้าผู้ป่วยระยะท้ายตึกผู้ป่วยใน ประกอบขั้นตอน 1) การประเมินปัญหาความต้องการของผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล (Assessment) 2) การวางแผนการดูแลและให้การพยาบาลตามแผนการดูแล (Planning and Nursing care) และ 3) การบันทึก และหลังจากนำรูปแบบฯ ไปใช้ หลังการพัฒนาพบว่า ผู้ป่วยระยะท้ายมีคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่งผลให้ผู้ดูแลมีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก รูปแบบการพยาบาลการวางแผนการดูแลล่วงหน้าผู้ป่วยระยะท้ายมีคะแนนเฉลี่ยความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก </p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>หลังการนำไปใช้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ดูแลมีความพึงพอใจในระดับดีมาก ผู้ป่วยเลือกเสียชีวิตที่บ้านมากขึ้น และจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจลดลง</p>
2025-09-22T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282826
ปัจจัยที่ส่งต่อการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างของผู้ปฏิบัติงานด้านพัสดุและด้านการเงินการบัญชีล่าช้า ในโรงพยาบาลตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
2025-09-28T21:32:29+07:00
พัชรา เดชาวัตร
Pachara_2513@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาระดับปัจจัย ขั้นตอนการจัดทำเอกสาร และปัจจัยที่ส่งต่อการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างของผู้ปฏิบัติงานด้านพัสดุและด้านการเงินการบัญชีล่าช้าในโรงพยาบาลตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Analytical Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติงานการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างของงานพัสดุและด้านการเงินการบัญชีในโรงพยาบาลตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 105 คน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน - สิงหาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>ปัจจัยและขั้นตอนการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างของผู้ปฏิบัติงาน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean ± SD. = 3.37 ± 0.82); (Mean ± SD. = 3.06 ± 0.91) และปัจจัยที่ส่งต่อการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างของผู้ปฏิบัติงานด้านพัสดุและด้านการเงินการบัญชีล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ปัจจัยด้านกระบวนการและขั้นตอน และด้านการจัดการและนโยบาย สามารถร่วมกันอธิบายความล่าช้าในการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างได้ถึง 36.5%</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการและขั้นตอน และการจัดการและนโยบายส่งผลต่อของความล่าช้าที่เกิดขึ้นในการจัดทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาและปรับปรุงเพื่อลดปัญหาความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้น</p>
2025-09-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282951
การพัฒนาระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ของทีมดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-10-02T14:32:58+07:00
นิพล มหาอุตย์
niponrx8@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาระบบ และประเมินผลระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานในโรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นใบสั่งยาผู้ป่วยเบาหวานในคลินิกเบาหวาน ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 เครื่องมือที่ใช้การดำเนินงานเป็นแนวปฏิบัติการให้บริการสำหรับการป้องกันความคลาดเคลื่อนในคลินิกเบาหวาน และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบรายงาน โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทีมดูแลผู้ป่วย (สหวิชาชีพ) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> 1) พบอุบัติการณ์ความคลาดเคลื่อนทางยาส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอน Pre-dispensing error คือการสั่งยาผิดจำนวน และขั้น Dispensing error คือ การจ่ายยาผิดคน 2) ระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานประกอบด้วย ได้แก่ (1) การใช้บัตรประชาชนและ/หรือบาร์โค๊ดป้อนข้อมูล (2) สมุดประจำตัวผู้ป่วย (3) ทบทวนชื่อ-สกุลและที่อยู่ผู้ป่วยทุกครั้ง (4) อบรมการใช้ HosXp, learning by doing (5) กำหนดแนวทางการป้องกัน ME ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน (6) เภสัชกรทำ Medication Reconciliation (7) พยาบาลลงวันนัดในสมุดผู้ป่วย HosXp (8) ทะเบียนยาใน HosXp ให้สีตัวอักษรของกลุ่มยาโรคเรื้อรังแตกต่างจากกลุ่มยาอื่น (9) แพทย์พิมพ์สั่งยาใน HosXp และเขียนคำสั่งในสมุดประจำตัวผู้ป่วย (10) ทำป้ายชื่อยาบนชั้นเก็บยาให้ตัวอักษร (Font) เหมือนกับบนฉลากซองยา (11) จัดเรียงยาตามบ้านเลขที่ยา (12) จัดหาไมโครโฟนสื่อสารสองทางที่จุดจ่ายยา (13) จัดให้บริการแก่ผู้ป่วยก่อนเวลาราชการ (คลินิกรุ่งอรุณ) และ (14) จัดส่งยาทางไปรษณีย์กับผู้ป่วยที่สมัครใจและหลังจากนำระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาไปใช้พบว่า หลังการวิจัยมีอัตราความคลาดเคลื่อนทางยา (ต่อพันใบสั่งยา) ลดลงทั้ง 3 ประเภท คือ Prescribing Error ลดลง 6.62 จาก 11.07 เป็น 4.45, Pre-dispensing error จาก 9.22 เป็น 7.79 ลดลง 1.43 และ Dispensing error จาก 0.92 เป็น 0.00 ลดลง 0.92 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ทั้ง 3 ประเภท และผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจกับระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา ร้อยละ 85.71</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> ผลการวิจัยครั้งนี้ช่วยลดการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาและผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจและต้องการให้ใช้ระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยานี้ในกลุ่มโรคเรื้อรังทุกคลินิกโรค เนื่องจากมีบริบทที่ใกล้เคียงกัน</p>
2025-10-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/282952
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์และยื่นขอ เลข อย. ของผู้ประกอบการ ที่ผลิตอาหารที่ไม่เข้าข่ายโรงงานในจังหวัดยโสธร
2025-10-02T14:51:51+07:00
ทินกร แสงสวัสดิ์
tinnakorn.nara@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์และยื่นขอเลข อย. ของผู้ประกอบการทีผลิตอาหารที่ไม่เข้าข่ายโรงงานในจังหวัดยโสธร</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>แบบเชิงสำรวจ (Exploratory Research Design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นผู้ประกอบการที่ผลิต ผลิตภัณฑ์สุขภาพประเภทอาหาร ที่ไม่เข้าข่ายโรงงานในจังหวัดยโสธร จำนวน 54 แห่ง ดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2567- มีนาคม 2568เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured interview) และแนวทางคำถามสำหรับการสัมภาษณ์ (Interview guide) และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Chi-Square test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>1) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์และยื่นขอ เลข อย. ของผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารที่ไม่เข้าข่ายโรงงานในจังหวัดยโสธร ได้แก่ การสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (p=.003) ขั้นตอนการผลิตที่ชัดเจนเป็นระบบ (p=.045) และการทำบัญชีการเงินที่เป็นระบบ (p=.025) วัตถุดิบที่เหมาะสมในการผลิต (p=.045) ความรู้ด้านการแปรรูปพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดขอเลข อย. (p=.006) และเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาที่ครบถ้วน ชัดเจน เข้าใจง่าย (p=.003) 2) ผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารที่ไม่เข้าข่ายโรงงานในจังหวัดยโสธรแสดงความต้องการการสนับสนุน เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและเพิ่มความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและความปลอดภัยทางอาหารในระดับชุมชน ได้แก่ การสนับสนุนเครื่องจักรขนาดเล็กที่เหมาะสมกับลักษณะกิจการและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของ อย. การเสริมทักษะด้านการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้สื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน แนวทางที่จำเป็นเพื่อให้เกิดความยั่งยืนคือ การสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องจักร และเงินทุน พร้อมกับการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการยื่นขอ อย. อย่างละเอียด และการมีภาคีเครือข่ายหรือหน่วยงานสนับสนุนที่คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอดกระบวนการ</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>ผู้ประกอบการอาหารที่ไม่เข้าข่ายโรงงานต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดการการผลิตและการเงินอย่างเป็นระบบ รวมถึงการได้รับคำปรึกษาที่ชัดเจน เพื่อยื่นขอเลข อย. และเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต และควรสนับสนุนเครื่องจักรและบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน เสริมทักษะด้านการตลาดดิจิทัล และจัดอบรมพร้อมภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดความยั่งยืน</p>
2025-10-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283026
วิเคราะห์การใช้ยาต้านจุลชีพและปัจจัยการเสียชีวิตในผู้ป่วย K. pneumoniae ดื้อยา โรงพยาบาลมุกดาหาร
2025-10-06T10:18:17+07:00
ประภัสสร นนท์จุมจัง
lekkyjj92@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาต้านจุลชีพกลุ่มคาร์บาพีเนม (Carbapenem-Resistant Organisms) และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อ K. pneumoniae ดื้อยา</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การศึกษาแบบย้อนหลัง (Retrospective cohort study)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 149 ราย เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อ <em>K. pneumoniae</em> ดื้อยา 42 ราย โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาและได้รับการอนุมัติใช้ยาต้านจุลชีพชนิดควบคุม ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เครื่องมือวิจัยคือแบบบันทึกข้อมูล ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.84) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบทางสถิติด้วย Chi-square test และ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> จากผู้ป่วยทั้งหมด 149 ราย พบว่า กลุ่มเชื้อที่ไวต่อ Carbapenem 51 ราย (34.28%) มีอัตราเสียชีวิตเพียง 5.88% โดยมีความเหมาะสมในการเลือกใช้ยา 92.16% และความเหมาะของขนาดยา 88.24% ระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 17.0 ± 10.1 วัน ในขณะที่กลุ่มเชื้อดื้อ Carbapenem 98 ราย (65.77%) มีอัตราเสียชีวิตสูงถึง 25.51% โดยมีความเหมาะสมในการเลือกใช้ยา 74.49% และความเหมาะสมของขนาดยาเพียง 24.49% ระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 37.7 ± 29.5 วัน ผลการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าอัตราการเสียชีวิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (Chi-square test, p= .007) และระยะเวลานอนโรงพยาบาลต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน (Independent t-test, p < .001) เชื้อที่พบมากที่สุดคือ CRAB (51.01%) และเชื้อที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดคือ CRKP (35.71%) และปัจจัยสำคัญที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตคือความเหมาะสมของขนาดยาและวิธีให้ยา (p=.02) โดยผู้ป่วยที่ได้รับการปรับขนาดยาและวิธีให้ยาตามหลัก PK/PD Optimization เช่น Meropenem high-dose prolonged infusion หรือ Colistin loading dose ที่เหมาะสม มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โดยสูตรยาที่ใช้บ่อยที่สุดคือ Colistin ร่วมกับ Meropenem (65.31%) และพบอาการไม่พึงประสงค์จาก Colistin 22.78% (ส่วนใหญ่ Nephrotoxicity)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> การติดเชื้อจากเชื้อดื้อ Carbapenem มีความรุนแรงสูงและสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตและระยะเวลานอนโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงควรมีการปรับปรุง CPG ของโรงพยาบาล โดยเพิ่ม Sulbactam เป็น First-line สำหรับ CRAB และ Ceftazidime-avibactam เป็น First-line สำหรับ CRE (กรณีเข้าเกณฑ์ จ.2) รวมถึงปรับระบบ Drug Utilization Evaluation (DUE) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการรักษา ลดอัตราการเสียชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว</p>
2025-10-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283028
ผลของแนวทางการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพต่อพัฒนาการเด็ก ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
2025-10-06T10:33:29+07:00
พัทนี เดชธรรมรงค์
Pathanee.srithep@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของแนวทางการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ (4D: Diet, Development & Play, Dental, Disease) ต่อพัฒนาการด้านสุขภาพของเด็กปฐมวัย และศึกษาความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบก่อน-หลังการทดลอง (Pretest–Posttest Two-Group Design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 42 คน (กลุ่มทดลอง n=21, กลุ่มควบคุม n=21) โดยกลุ่มทดลองเข้าร่วมกิจกรรมตามแนวทาง 4D เป็นเวลา 4 เดือน ขณะที่กลุ่มควบคุมดำเนินกิจกรรมตามปกติ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แนวทาง 4D (เครื่องมือทดลอง) แบบประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยของกรมอนามัย (DSPM) แบบบันทึกกิจกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพัฒนาการด้านสุขภาพสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกมิติ (p<.05) และคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลองยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากก่อนการทดลอง สำหรับด้านความพึงพอใจ ทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด (Mean=4.65, SD.=0.37) ขณะที่ผู้ปกครองและครูผู้ดูแลเด็กมีความพึงพอใจโดยรวมในระดับมาก (Mean=4.25, SD.=0.45 และ Mean=4.10, SD.=0.36 ตามลำดับ) โดยทุกกลุ่มมีความพึงพอใจสูงสุดในด้านโภชนาการและการเจริญเติบโต และพัฒนาการและการเล่น อย่างไรก็ตาม ด้านที่ได้รับความพึงพอใจต่ำสุดจากครูคือด้านโภชนาการ และจากผู้ปกครองคือด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> แนวทาง 4D สามารถส่งเสริมพัฒนาการด้านสุขภาพของเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับการยอมรับในระดับสูงจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผลวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการวางแผนและดำเนินกิจกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต่อไป</p>
2025-10-06T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283214
การพัฒนาระบบบริการทางเทคนิคการแพทย์ในคลินิกเบาหวาน ความดันโลหิต โดยการประยุกต์ ใช้ระบบลีน โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-10-13T10:14:38+07:00
ธีรารัตน์ จิตประเสริฐวงศ์
Theeraratjitprasertwong@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาระบบ และประเมินระบบบริการผู้ป่วยหลังใช้ระบบ Lean เพื่อลดเวลารอคอยในโรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยและพัฒนา (Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างคือคนไข้ที่มารับบริการจำนวน 200 คน ระยะเวลาแบ่งเป็น 2 ช่วงคือก่อนการประยุกต์ใช้ระบบ Lean รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2567 รอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 31 กรกฎาคม 2567 โดยกระบวนการพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะ 1) ระยะเตรียมการ เก็บข้อมูลระยะเวลาบริการและความพึงพอใจผู้รับบริการ 2) ระยะพัฒนารูปแบบใช้เครื่องมือลีนกำจัดความสูญเปล่าและออกแบบระบบใหม่ 3) ระยะทดลองใช้รูปแบบ และประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกเวลา แบบสอบถามความพึงพอใจผู้รับบริการ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตร Paired t-test กำหนดนับสำคัญทางสถิติที่ 95% Confidences interval</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> (1) สภาพปัจจุบันปัญหาพบว่า จำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้ความต้องการรับบริการด้านการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการและภาระงานของห้องปฏิบัติการเพิ่มขึ้น เกิดปัญหาความล่าช้าในการให้บริการ ผู้ป่วยต้องใช้เวลารอคอยผลตรวจนานกว่ามาตรฐานที่กำหนด นำไปสู่สภาวะความแออัดในพื้นที่บริการ และสร้างความไม่พึงพอใจแก่ผู้มารับบริการ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการรักษาพยาบาลและความต่อเนื่องของการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (2) ระบบบริการตรวจทางเทคนิคการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นจำแนกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก คือ จุดรับบัตร จุดเจาะเลือด จุดปั่นเลือดเตรียมปัสสาวะ จุดตรวจวิเคราะห์ และจุดรายงานผล โดยแยกเป็นขั้นตอนย่อย 23 ขั้นตอนตามมาตรฐาน และหลังจากนำระบบบริการฯ ไปดำเนินการแล้วพบว่า 1) ลดขั้นตอนย่อยจาก 23 ขั้นตอน เหลือ 20 ขั้นตอนย่อย 2) ลดระยะเวลาการรับบริการเฉลี่ยจาก 126.31 นาที เป็น 76.10 นาที (p <.001) และ 3) และหลังการพัฒนา พบว่า ผู้ป่วยมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 29.15</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong> <strong>: </strong>ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้ระบบ Lean ทำให้ระยะเวลารอคอยลดลง ส่งผลให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นดังนั้นจึงควรนำระบบบริการดังกล่าวนำไปใช้เพื่อลดปัญหาความแออัด และระยะเวลารอคอย ในโรงพยาบาลได้ทุกระดับ</p>
2025-10-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283215
การพัฒนาระบบสนับสนุนการสั่งใช้ยาสมุนไพรในทีมสหวิชาชีพ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-10-13T10:34:51+07:00
เปมิกา ยี่ทอง
Paymika193@gmail.com
อัจฉรียา อภัยสูงเนิน
Paymika193@gmail.com
ปรียารัตน์ เรืองบุญ
Paymika193@gmail.com
สนธยา คณาศรี
Paymika193@gmail.com
ภูมิณรงค์ วาณิชย์พุฒิกุล
Paymika193@gmail.com
มนฤดี แก้วฮ่องคำ
Paymika193@gmail.com
กุลธิดา ง่อนสว่าง
Paymika193@gmail.com
ธนภัทร พลเยี่ยม
Paymika193@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา พัฒนาระบบ และประเมินผลระบบสนับสนุน การสั่งใช้ยาสมุนไพรในทีมสหวิชาชีพ จังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>การวิจัยและพัฒนา (Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>การวิจัยและพัฒนานี้มุ่งเน้นการศึกษาและพัฒนาระบบสนับสนุนการสั่งใช้ยาสมุนไพรบนพื้นฐานระบบ HOSxP สำหรับทีมสหวิชาชีพจังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้วงจรการพัฒนาระบบ (SDLC) แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และสภาพปัญหา ผู้ให้ข้อมูลเป็นบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ โดยทำการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 พัฒนาระบบ เป็นผู้ให้ข้อมูลกลุ่มเดิม โดยทำการทดลองใช้งานและปรับปรุง 2 รอบ แต่ละรอบใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 ประเมินผลระบบจากกลุ่มผู้ใช้งาน คือ บุคลากรทางการแพทย์จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>ระบบสนับสนุนการสั่งใช้ยาสมุนไพรที่พัฒนาขึ้นสามารถบูรณาการข้อมูลยาสมุนไพรที่ครอบคลุม โดยมีฟังก์ชันสนับสนุนการตัดสินใจที่สำคัญ ได้แก่ การแนะนำข้อบ่งใช้ ขนาดยา ข้อควรระวัง และการแจ้งเตือนอันตรกิริยาระหว่างยาและอาการไม่พึงประสงค์ โดยระดับประสิทธิภาพของระบบอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.18, SD.=0.617) ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.32, SD.=0.493) และมูลค่าการใช้ยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.10</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถสนับสนุนการสั่งใช้ยาสมุนไพรในทีมสหวิชาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขยายผลการใช้งานในระดับจังหวัดจึงมีความเหมาะสมและสามารถดำเนินการได้จริงจึงส่งผลให้การสั่งใช้ยาสมุนไพรเพิ่มขึ้น และทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อระบบในระดับสูง</p>
2025-10-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283325
การศึกษาปริมาณรังสี และค่าดัชนีบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณรังสี ในการถ่ายภาพ เอกซเรย์ทรวงอกเคลื่อนที่ของทารกแรกคลอดหอผู้ป่วยวิกฤติ
2025-10-17T08:32:14+07:00
อุษณา แรงทอง
ausana_2012@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong> เพื่อศึกษาปริมาณรังสีที่ทารกแรกคลอดได้รับจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ทรวงอกเคลื่อนที่ วิเคราะห์ดัชนีบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณรังสี และประเมินความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณรังสี</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษา Cross-sectional descriptive study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>ศึกษาในทารกแรกคลอดหอผู้ป่วยวิกฤติ จำนวน 58 ราย วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างค่าปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยได้รับ (ESAK) กับพารามิเตอร์ต่างๆ ได้แก่ ค่ากระแสหลอดคูณเวลา (mAs) ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า (kVp) ความหนาของทรวงอก ขนาดลำรังสี และน้ำหนักของทารก</p> <p><strong>ผล</strong><strong>การวิจัย</strong>: ก่อนการพัฒนาปรับปรุง ค่า ESAK เฉลี่ย 1.36 ± 0.05 mGy หลังปรับปรุงลดลงเหลือ 0.06 ± 0.01 mGy (ลดลงร้อยละ 95.58, p <.001) ค่า mAs มีความสัมพันธ์สูงที่สุดกับปริมาณรังสี (r = 0.991) รองลงมาคือ kVp (r = 0.885) และความหนาทรวงอก (r = 0.421) ส่วนขนาดลำรังสีและน้ำหนักไม่สัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ ค่า DI อยู่ในช่วงเหมาะสม (DI ± 3) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.17 เป็น 94.83 ภายหลังการปรับปรุง และ Overexposure ลดลงจากร้อยละ 44.83 เหลือ 5.17 ค่าปริมาณรังสีหลังปรับปรุงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอ้างอิงของประเทศไทย (≤ 0.06 mGy)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>การปรับปรุงเทคนิคการถ่ายภาพเอกซเรย์ทรวงอกเคลื่อนที่ช่วยลดปริมาณรังสีที่ทารกแรกคลอดได้รับได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพภาพถ่ายสำหรับการวินิจฉัย โดยมีค่า mAs และ kVp เป็นปัจจัยหลักในการควบคุมปริมาณรังสี</p>
2025-10-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283327
ลักษณะทางคลินิก ปัจจัยกระตุ้น และการรักษา ในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ในโรงพยาบาลทั่วไป
2025-10-17T09:36:33+07:00
ธนา เหลืองพิกุลทอง
thana.cheng@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาลักษณะทางคลินิก ปัจจัยกระตุ้น การรักษา อัตราการเสียชีวิต การกลับไปดูแลที่บ้านหรือส่งต่อของผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพระพุทธบาท และเพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ด้านการดูแลโรคหัวใจในโรงพยาบาล</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>งานวิจัยเชิงพรรณาย้อนหลัง Retrospective descriptive study</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน อายุ 18 ปีขึ้นไปทั้งหมด ที่รับไว้ในหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพระพุทธ จังหวัดสระบุรี ตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2566 – 31 ตุลาคม 2567 เก็บข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของโรงพยาบาล เข้าถึงข้อมูลโดยการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็กโทรนิก วิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบร้อยละของผู้ป่วยทั้งหมด</p> <p><strong>ผล</strong><strong>การวิจัย</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน 328 คน เป็นหญิงร้อยละ 174 คน คิดเป็นร้อยละ 53.05 และเป็นชาย 154 คน คิดเป็นร้อยละ 46.95 อายุเฉลี่ย 62.71 ปี เคยมีประวัติหัวใจล้มเหลวมาก่อน ร้อยละ 58.23 มีโรคร่วมเป็นโรคความดันโลหิตสูง สูงถึงร้อยละ 71.65 โรคเบาหวานร้อยละ 45.12 มาด้วยอาการหายใจหอบเหนื่อย Dyspnea ร้อยละ 98.48 มีเสียงปอดผิดปกติชนิด Crepitation ร้อยละ 86.89 และการตรวจภาพรังสีทรวงอกมักจะพบมีหัวใจโต Cardiomegaly ร้อยละ 89.33 และมี Pulmonary congestion/cephalization ร้อยละ 81.4 ปัจจัยกระตุ้นเกิดจากภาวะการได้รับน้ำและเกลือเกิน Salt water retention ร้อยละ 62.5 อันดับที่สองเกิดจากสภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด Sepsis ร้อยละ 20.73 เคยทำ Echocardiogram ร้อยละ 11.28 เคยทำบายพาสหัวใจ (CABG) ร้อยละ 1.83 และเคยสวนหลอดเลือดหัวใจร้อยละ 1.83 สามารถจำหน่ายกลับบ้านได้ร้อยละ 86.89 ส่งต่อร้อยละ 1.21 และเสียชีวิตร้อยละ 11.89 จำนวนวันที่นอน โรงพยาบาลเฉลี่ยคือ 6.14 วัน มีค่ามัธยฐานอยู่ที่ 3 วัน จำนวนครั้งที่นอนโรงพยาบาลต่อปีอยู่ที่ 1.26 วัน และค่ามัธยฐานอยู่ที่ 1 วัน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในโรงพยาบาลทั่วไปแห่งนี้มีอายุเฉลี่ย 62.71 ปี เป็นหญิงและชายใกล้เคียงกัน มี มีโรคร่วมเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเกือบทั้งหมด มีอาการนำคือหายใจหอบเหนื่อย การตรวจวินิจฉัยก่อนหน้ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ทำการตรวจภาพสะท้อนหัวใจ ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการได้รับเกลือและน้ำเกิน รองลงมาพบว่าเกิดจากภาวะติดเชื้อในกระแส พบว่าผลการรักษามีอัตราการตายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการศึกษาอื่นและมีการส่งต่อที่ต่ำกว่าด้วย ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลให้ดีขึ้น ให้มีจัดตั้งคลินิกผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษา</p>
2025-10-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283366
การศึกษาสมรรถนะการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของบุคลากรสาธารณสุข ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
2025-10-18T15:04:36+07:00
บุญเลิศ ศรีอารีย์
mr.sriaree@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสมรรถนะการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถนะการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของบุคลากรสาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงและพัฒนาแบบผสมผสาน (Mixed methods Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรสาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 40 คน ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จำนวน 15 คำถาม โดยการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และค่า Cronbach’s alpha ทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา มาตรประมาณค่า ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันและหาปัจจัยทำนายสมรรถนะด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณรายงานผลด้วย 95%CI ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 รวมทั้งการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีสมรรถนะโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (Mean= 52.50, SD. = 18.25) โดยสมรรถนะด้านการบริการมีคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด (Mean= 50.20, SD. = 16.12) ด้านการประสานงานมีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด (Mean= 46.80, SD. = 16.90) การทดสอบ Pearson’s correlation พบว่า ประสบการณ์การปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับสมรรถนะการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ (r = 0.583, p < .001) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบ Stepwise ระบุว่าประสบการณ์การปฏิบัติงานเป็นปัจจัยที่สามารถทำนายสมรรถนะการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุได้ดีที่สุด (β = 0.56, p < .001) ข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างประสบปัญหาด้านการประสานงานระหว่างหน่วยงานและภาคีเครือข่าย มีอุปสรรคด้านเวลาและปริมาณงาน<br>ไม่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งความห่างไกลของพื้นที่และภาษาในการสื่อสาร</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>แนวทางพัฒนาสมรรถนะเน้นการอบรมแบบแบ่งเนื้อหาการเรียนรู้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ขนาดเล็กและกระชับ มีสื่อดิจิทัลที่สั้นและเข้าใจง่ายในเวทีประชุมประจำเดือน เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและมีระบบพี่เลี้ยงตามระดับการปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและข้อจำกัดด้านการสื่อสาร</p>
2025-10-18T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283536
การพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีประวัติเชื้อดื้อยาในเขตรับผิดชอบ ของโรงพยาบาลหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-10-27T10:16:16+07:00
อาภัสรา ธรรมสาร
Prueksasit23@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อดื้อยา การรับรู้ความสามารถของตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา ภายในและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังการทดลอง</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) รูปแบบ Two Group Pretest-Posttest Design</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่มีประวัติเชื้อดื้อยา อายุ 60-79 ปี แบ่งเป็น กลุ่มทดลอง (โรงพยาบาลหนองพอก) จำนวน 35 คน ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และกลุ่มเปรียบเทียบ (โรงพยาบาลโพนทอง) จำนวน 35 คน โปรแกรมประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 4 ส่วน ได้แก่ การให้ความรู้ การออกกำลังกาย การปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และการฝึกปฏิบัติการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> โดยการเปรียบเทียบผลต่างคะแนนเฉลี่ยของคะแนนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อดื้อยา การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันการติดเชื้อ แรงสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา ภายในและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง พบว่า หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีผลต่างคะแนนเฉลี่ยของความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อดื้อยา การรับรู้ความสามารถของตนเองในการป้องกันการติดเชื้อ แรงสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา สูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p<.001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผู้สูงอายุที่มีประวัติเชื้อดื้อยา มีประสิทธิผลสูง ในการพัฒนาความรู้ ความสามารถตนเอง แรงสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิต และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา ควรมีการขยายผลโปรแกรมนี้เพื่อส่งเสริมสุขภาพและลดการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในกลุ่มผู้สูงอายุต่อไป</p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283539
การพัฒนารูปแบบบริการไร้รอยต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-10-27T10:37:55+07:00
ศศิวิมล วิบูลชัย
sasiday@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและประสิทธิภาพของระบบบริการโรคหลอดเลือดสมอง โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ระบุช่องว่างของการบริการและความท้าทายที่ต้องแก้ไขในระบบบริการปัจจุบัน และเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบบริการไร้รอยต่อที่เหมาะสมกับบริบทของจังหวัดร้อยเอ็ดและเขตสุขภาพที่ 7</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย :</strong> การศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive Study) ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย :</strong> ใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากรายงานตรวจราชการ เขตสุขภาพที่ 7, ข้อมูล Stroke Tour, และฐานข้อมูล HDC ระหว่างปี พ.ศ. 2565–2567 ตัวชี้วัดที่นำมาวิเคราะห์ ได้แก่ อัตราการได้รับยา rt-PA, ระยะเวลาเฉลี่ย Door-to-Needle (DTN), อัตราตายในโรงพยาบาล และการครอบคลุมของระบบ Tele-stroke วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการเปรียบเทียบ (Descriptive & Comparative Analysis) และนำเสนอผลผ่านตารางและกราฟประกอบ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>: พบว่าอัตราการได้รับยา rt-PA ในจังหวัดร้อยเอ็ดเพิ่มขึ้นจาก 10.0% (พ.ศ. 2565) เป็น 13.9% (พ.ศ. 2567) สูงกว่าค่าเฉลี่ยเขตสุขภาพที่ 7 (10.5%) และค่าเฉลี่ยประเทศ (9.0%) ระยะเวลาเฉลี่ย DTN ลดลงจาก 74 นาทีในปี พ.ศ.2565 เหลือ 68 นาทีในปี พ.ศ.2567 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (78 นาที) อัตราตายในโรงพยาบาลของจังหวัดร้อยเอ็ดลดลงจาก 8.2% เหลือ 7.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ประเทศอยู่ที่ 8.3% และความครอบคลุมของระบบ Tele-stroke ในเขตสุขภาพที่ 7 เพิ่มจาก 65% (18 Node) ในปี พ.ศ.2565 เป็น 92% (29 Node) ในปี พ.ศ.2567</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>การพัฒนาระบบบริการโรคหลอดเลือดสมองแบบไร้รอยต่อในจังหวัดร้อยเอ็ดและเขตสุขภาพที่ 7 ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ ลดระยะเวลาการรักษาและอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ควรขยายการลงทุนด้าน CT Scan และ Endovascular Therapy (EVT) ให้ครอบคลุมโรงพยาบาล Node, พัฒนาศักยภาพระบบ Tele-stroke, การอบรมบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ และเชื่อมโยงการดูแลต่อเนื่องด้าน Rehabilitation เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระดับประเทศ</p>
2025-10-27T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283630
การพัฒนาระบบบริการและศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลาง (Intermediate Care) ที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2025-10-30T11:37:25+07:00
วันวิสาข์ พรหมเมตตา
wanwisaphrom@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาระบบบริการและประเมินผลระบบบริการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลาง (Intermediate Care) ที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย : </strong>การวิจัยและพัฒนา (Research and Development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย : </strong>การวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ การศึกษาสภาพปัญหา พัฒนา และประเมินผลระบบบริการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลาง (Intermediate Care) ที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในจังหวัดร้อยเอ็ด ทำการศึกษาระหว่างธันวาคม 2566 - กันยายน 2567 โดยการสัมภาษณ์ผู้รับผิดชอบผู้ให้บริการแพทย์แผนไทยฯ จากนั้นนำข้อมูลไปวิเคราะห์หารูปแบบการจัดการการบริการแพทย์แผนไทยที่เหมาะสม เก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าถึงบริการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong>จากการศึกษาพบว่าโรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดร้อยเอ็ดทุกแห่ง จัดบริการการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลางด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกบูรณาการร่วมกับสหวิชาชีพทั้งแผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน คิดเป็นร้อยละ 100 มีคลินิกฝังเข็ม 7 แห่ง มีการใช้ยาสมุนไพรในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลางทุกแห่ง ผลการดำเนินงาน ปี พ.ศ.2566-2567 ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลาง (Intermediate Care) และดูแลด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (Community base) คิดเป็นร้อยละ 11.85, 30.13 ตามลำดับ ผู้ป่วยระยะกลางสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้เพิ่มขึ้นถึง 2.54 เท่า และจากการประเมินกิจวัตรประจำวัน (Barthel Activities of Daily Living : ADL) พบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตระยะกลางที่ได้รับการดูแลด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีค่าคะแนน Barthel index เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 65.56 ผู้ป่วยมีความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองมากขึ้นลดระดับการพึ่งพา (Dependency) จากครอบครัวหรือผู้ดูแล</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ : </strong>ในระบบบริการสุขภาพหากมีระบบบริการที่ดี มีการส่งต่อผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ และผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการได้ทุกโรงพยาบาลในจังหวัดร้อยเอ็ด จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสามารถจัดโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยแบบบูรณาการร่วมกับทีมสหวิชาชีพได้อย่างครอบคลุม</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283645
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
2025-10-30T13:25:50+07:00
พวงผกา ธรรมสมบัติ
Toptap101@gmail.com
วารุณี สีสันต์
Toptap101@gmail.com
สุจิตตา ฤทธิ์มนตรี
Toptap101@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหาและวิเคราะห์ปัญหาการพยาบาลผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอก พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อระบายทรวงอก และศึกษาผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อระบายทรวงอก ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and development)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยในครั้งนี้ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน 2568 ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ (1) ศึกษาสถานการณ์ (2) การพัฒนาแนวปฏิบัติ (3) นำแนวปฏิบัติไปใช้ และ (4) ประเมินผล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ แฟ้มประวัติผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอก 54 แฟ้ม พยาบาลวิชาชีพ 18 คน และผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอก 12 ราย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลทางคลินิก แบบบันทึกการพัฒนาแนวปฏิบัติ และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> : </strong>ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ใส่ท่อระบายทรวงอกในหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ จำนวน 54 ราย พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 90.7 อายุเฉลี่ย 32 ปี พบอาการไม่พึงประสงค์หลังใส่ท่อระบายทรวงอกร้อยละ 57.4 ส่วนใหญ่เป็นข้อต่อท่อระบายเลื่อนหลุดร้อยละ 45.2 รองลงมาคือปอดอักเสบและปอดแฟบ ร้อยละ 16.1 เท่ากัน และมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 9.7 ส่วนพยาบาลพบว่าขาดความรู้ ทักษะการประเมินการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน การเตรียมอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ขาดการฟื้นฟูและเตรียมผู้ป่วยก่อนจำหน่าย และการสื่อสารในทีมสุขภาพคลาดเคลื่อน ผลการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ใส่ท่อระบายทรวงอกประกอบด้วย 5 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะการรับผู้ป่วยใหม่ 2) ระยะการเตรียมผู้ป่วย 3) ระยะการดูแลขณะใส่ท่อ 4) ระยะฟื้นฟูปอด และ 5) ระยะการเตรียมถอดท่อและการดูแลหลังถอดท่อระบาย ผลการแนวใช้แนวปฏิบัติพบว่าผู้ป่วยมีจำนวนวันใส่คาท่อระบายทรวงอกลดลง จำนวนวันนอนลดลง อาการไม่พึงประสงค์ภาวะแทรกซ้อนลดลง และพยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติมีความพึงพอใจในระดับมาก</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong> : </strong>แนวปฏิบัติการพยาบาลสำหรับผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอกที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพในการลดภาวะแทรกซ้อนหลังใส่ท่อระบาย ลดระยะเวลาคาท่อ และลดจำนวนวันนอนในโรงพยาบาล และส่งเสริมความพึงพอใจของบุคลากร ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์แสดงถึงศักยภาพของการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลในหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหต โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เพื่อการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ทางการพยาบาลควรจัดทำแนวปฏิบัติเป็นคู่มือมาตรฐาน สำหรับการดูแลผู้ป่วยใส่ท่อระบายทรวงอกในหอผู้ป่วยและมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหอผู้ป่วยศัลยกรรมอุบัติเหตุ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283716
รูปแบบการประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะด้านความรอบรู้สุขภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน ด้วยแนวคิด อสม 4.0 และ Smart อสม. พื้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
2025-11-02T19:58:46+07:00
เอกชัย สมบัติรัตนากร
ekachaisocool@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษา (1) ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (2) พฤติกรรมสุขภาพ (3) การปฏิบัติงานตามแนวคิด อสม.4.0 และ Smart อสม. และ (4) ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>การศึกษาวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed methods research design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. ที่ปฏิบัติงานในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ และขึ้นทะเบียนตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 229 คน ดำเนินการศึกษาหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ได้เท่ากับ 0.95 แบบสัมภาษณ์ และแนวคำถามสำหรับการประชุมกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ผลการวิจัยพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 70.77) พฤติกรรมสุขภาพด้านปัจจัยนำอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 64.11) ปัจจัยเอื้อ (Mean =3.50, SD.=1.02) และปัจจัยเสริม (Mean =3.62, SD.=1.01) อยู่ในระดับมากเช่นกัน การปฏิบัติงานตามแนวคิด อสม.4.0 และ Smart อสม. อยู่ในระดับมาก (Mean =3.59, SD.=0.89) โดยพบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ำกับการปฏิบัติงาน (r=0.282, p<.01) นำไปสู่การสร้างรูปแบบ “การประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะด้านความรอบรู้สุขภาพของ อสม. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานด้วยแนวคิด อสม 4.0 และ Smart อสม.” พื้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาที่ได้นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมความรอบรู้สุขภาพให้กับ อสม. และออกแบบโปรแกรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และ อสม. ที่ดำเนินงานความรอบรู้สุขภาพในพื้นที่ได้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพในพื้นที่อย่างยั่งยืน ในชื่อว่า “อสม. กัลยาณิวัฒนา เสริมพลัง พัฒนาความรอบรู้ เพื่อสุขภาพประชาชน”</p>
2025-11-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283772
ผลของโปรแกรมจิตอาสาผู้ป่วยเบาหวานเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วย ตำบลพระธาตุ อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-11-05T07:48:02+07:00
กรรณิกา นาควัน
kannikanacwan@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยก่อนและหลังพัฒนาโปรแกรม</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental design) แบบกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลัง (One Group Pretest-Posttest Design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 40 คน ที่ได้มาโดยสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับฉลากไม่แทนที่ ดำเนินการเดือนตุลาคม 2566 ถึง พฤษภาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมจิตอาสาผู้ป่วยเบาหวานเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาล โดยมีจิตอาสาจับคู่กับผู้ป่วยในการพัฒนาเรื่องโรคเบาหวานในรูปแบบการประชุมการฝึกปฏิบัติ การสังเกตการณ์เยี่ยมบ้านผู้ป่วยและการทำ Telemedicine การเสริมพลังทบทวนการดูแลผู้ป่วยร่วมกัน โดยใช้แนวคิดการจัดการตนเอง จำนวน 16 สัปดาห์ๆละ 1 ครั้ง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมานวัดก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติ Paired t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ภายหลังการใช้โปรแกรมพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดภาพรวมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลสะสมในเลือด(HbA1c) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<.0001 โดยมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ลดลง0.60mg% (95%CI: 0.431, 0.784)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> จะเห็นได้ว่าโปรแกรมจิตอาสาทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนการเข้าร่วม ทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจที่จะดูแลตนเองและพร้อมที่จะเป็นตัวอย่างให้กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานต่อไป</p>
2025-11-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/283773
การพัฒนาแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-11-05T08:02:05+07:00
ศุภิศา บุญปก
supisa.2514@gmail.com
สายใจ สิงห์ยะเมือง
supisa.2514@gmail.com
วิชชากร ไชยรัตน์
supisa.2514@gmail.com
สุพี ช่างม่วง
supisa.2514@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาแนวทาง และประเมินแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน โรงพยาบาลเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบลงมือปฏิบัติร่วมกัน (Mutual collaborative action research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> ผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วยผู้รับบริการ ได้แก่ กลุ่มผู้มีภาวะซึมเศร้าและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตัวด้วยการวินิจฉัยโดยแพทย์ และครอบครัว 24 คน ในระยะศึกษาสถานการณ์ 12 คน ระยะพัฒนาแนวทาง 12 คน ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลเมยวดี 6 คน และ 3) ผู้รับผิดชอบหลักที่พัฒนาแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย 11 คน เก็บรวบรวมข้อมูลแบบทดสอบความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการเฝ้าระวัง ป้องกันการฆ่าตัวตาย และการส่งต่อผู้ป่วย ที่มีค่า ดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1.00 แบบทดสอบความรู้มีค่า KR20 เท่ากับ 0.84 และค่ายากความยากตั้งแต่ 0.43-0.76 แบบสอบถามทัศนคติ และพฤติกรรมการเฝ้าระวัง ป้องกันการฆ่าตัวตาย และการส่งต่อผู้ป่วยมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 และ 0.89 ตามลำดับ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Percentage differences</p> <p><strong>ผลการวิจัย : </strong> 1) พบสถานการณ์ปัญหาทั้งในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล การให้บริการในโรงพยาบาล ขณะส่งต่อผู้ป่วย และระยะติดตามหลังกลับบ้าน 2) แนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายประกอบด้วยกิจกรรม 1) การจัดอบรมและกิจกรรมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ 2) การดำเนินการคัดกรองกลุ่มเป้าหมายในโรงเรียน ชุมชนและสถานพยาบาล 3) การส่งต่อผู้มีความเสี่ยงไปยังหน่วยบริการระดับสูงตามระบบที่กำหนด 4) การให้บริการดูแลรักษาโดยทีมสุขภาพจิต 5) การจัดประชุมวางแผนจำหน่ายร่วมกับผู้ป่วย ครอบครัว และหน่วยงานชุมชน และ 6) การเยี่ยมบ้านเพื่อประเมินสภาพจิตใจ ความพร้อมของครอบครัว และให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง และผลลัพธ์หลังการดำเนินการพัฒนา พบว่า สัดส่วนของผู้มีภาวะซึมเศร้าในระดับน้อย (คะแนน 7–12) เพิ่มขึ้นจาก 25.0% ก่อนการพัฒนาเป็น 50.0% หลังการพัฒนา คิดเป็นร้อยละความแตกต่าง 66.7 ขณะที่ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าในระดับปานกลาง (คะแนน 13–18) เพิ่มขึ้นจาก 16.7% เป็น 25.0% หลังการพัฒนา คิดเป็นร้อยละความแตกต่าง 40.0 และกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าในระดับรุนแรง (คะแนนมากกว่า 19 คะแนน) ลดลงจาก 58.3% ก่อนการดำเนินงานเหลือเพียง 25.0% หลังการดำเนินการลดลง คิดเป็นร้อยละความแตกต่าง 80.0 และครอบครัวมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละความแตกต่าง 38.31 ทัศนคติและพฤติกรรมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละความแตกต่าง 39.35 และ 39.88 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ :</strong> แนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันที่พัฒนาขึ้นส่งผลให้สัดส่วนของผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าระดับรุนแรงลดลงอย่างมาก และครบครัวมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับการป้องกันการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น</p>
2025-11-05T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284136
การพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชพฤติกรรมรุนแรง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-11-24T15:20:51+07:00
นิภากร อึ้งเจริญธนกิจ
nipakorn132517@gmail.com
โชคนิติพัฒน์ วิสูญ
nipakorn132517@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีพฤติกรรมรุนแรงในพื้นที่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รููปแบบการวิจัย: </strong>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงมีนาคม 2566 กลุ่มผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วยบุคลากรสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข และญาติผู้ดูแล รวม 120 คน ดำเนินการผ่าน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเตรียมการ ระยะพัฒนารูปแบบตามวงจร PAOR (Planning-Action-Observe-Reflex) และระยะประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ (1) ระบบ Fast Track แบบไร้รอยต่อ ครอบคลุม Pre-hospital, In-hospital และ Post-hospital (2) ระบบการจำแนกกลุ่มผู้ป่วยตามระดับความรุนแรง 3 ระดับ (สีแดง เหลือง เขียว) และ (3) กลไกการติดตามดูแลต่อเนื่องโดยเครือข่ายพหุภาคีผ่านระบบ Line Group หลังการดำเนินงาน 1 ปี 8 เดือน พบว่าจำนวนผู้ป่วยระดับความรุนแรงสูง (สีแดง) ลดลงจาก 9 รายเหลือ 1 ราย (ลดลง 88.9%) อัตราการกลับมารักษาซ้ำภายใน 28 วันลดลงจากร้อยละ 8.2 เป็นร้อยละ 2.1 และอัตราการส่งต่อด้วยอาการรุนแรงลดลงจากร้อยละ 15.3 เป็นร้อยละ 4.8 ทั้งหมดไม่มีผู้ป่วยก่อความรุนแรงซ้ำในชุมชน</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> การพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนที่บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมกับระบบการดูแลแบบไร้รอยต่อและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการประสานงาน สามารถลดอัตราการกลับมาป่วยซ้ำและป้องกันการก่อความรุนแรงในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284137
ประสิทธิผลรูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดต่ออุบัติการณ์คลอดก่อนกำหนด และความปลอดภัยของผู้คลอดในตำบลหัวช้าง อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-11-24T15:31:21+07:00
ศศธร จันทะคาม
sasitorn391@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และประเมินผลรูปแบบเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดของผู้คลอดในตำบลหัวช้าง อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็น 1) ผู้ใช้บริการ ได้แก่ เป็นหญิงตั้งครรภ์ในเขตตำบลหัวช้างที่มาฝากครรภ์ในคลินิกฝากครรภ์โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมานในระยะศึกษาสถานการณ์ 5 คน ระยะพัฒนาระบบบริการ 22 คน 2) บุคลากรผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน 14 คน และ 3) ผู้รับผิดชอบหลักสำหรับการพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด 6 คน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่มกราคม - มิถุนายน 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ Paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: การวิเคราะห์สถานการณ์พบปัญหาทั้งระยะก่อนถึงโรงพยาบาล (Pre-hospital) ที่โรงพยาบาล (Hospital level) และหลังออกจากโรงพยาบาล (Post-hospital) การพัฒนารูปแบบการพยาบาลเพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ประกอบด้วยกิจกรรม 1) การให้ความรู้เกี่ยวกับการคลอดก่อนกำหนดและคู่มือการป้องกัน 2) การประเมินความเข้าใจและการวางแผนพฤติกรรมลดความเสี่ยง 3) การติดตามผลและทบทวนพฤติกรรม 4) การตอบแบบสอบถามและการคัดกรองปัจจัยเสี่ยง และ 5) การติดตามอาการอย่างต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุข และผลการประเมินรูปแบบการพยาบาลฯ พบว่า หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดคือ เคยผ่าตัดมดลูก (รวมถึงผ่าคลอด) (27.27%) ; หลังการพัฒนา พบว่า หญิงตั้งครรภ์มีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและป้องกันการคลอดก่อนกำหนดโดยรวมมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) โดยมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.98 คะแนน (95%CI; 2.37-3.58) หลังการพัฒนาไม่พบอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนด (0.00%) และเจ้าหน้าที่, อาสาสมัครสาธารณสุข และหญิงตั้งครรภ์มีความพึงพอใจโดยรวนอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>รูปแบบการพยาบาลในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด สามารถใช้เป็นแนวทางในการเฝ้าระวังและป้องกับภาวะคลอดก่อนกำหนดของหญิงตั้งครรภ์ได้ และควรขยายไปใช้ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ต่อไป</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284232
การประเมินผลการบริหารโครงการด้านสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร
2025-11-29T07:30:29+07:00
อนุวัฒน์ วภักดิ์เพชร
anuwatwapagpat@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อประเมินผลการบริหารโครงการด้านสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร และศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะจากการดำเนินงาน</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>: </strong>การวิจัยแบบประเมินผล</p> <p><strong>วัสดุและวิธีวิจัย </strong><strong>:</strong> ประเมินผลการบริหารโครงการด้านสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร โดยใช้ซิปป์โมเดล กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากรที่รับผิดชอบโครงการด้านสุขภาพ ที่ปฏิบัติงานในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถามเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong> : </strong>กระบวนการโครงการด้านสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต ผลการประเมินภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานมี 2 ด้านหลัก ได้แก่ (1) ด้านปัจจัยนำเข้า พบปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายและไม่เพียงพอของงบประมาณ และภาระงานของบุคลากรที่มากเกินไป และ (2) ด้านกระบวนการ พบปัญหาระบบการติดตามและประเมินผลยังขาดคุณภาพ ข้อเสนอแนะจากกลุ่มตัวอย่าง คือ (1) ควรมีการพัฒนาบุคลากรและระบบการทำงานให้ดียิ่งขึ้น (2) ปรับปรุงระบบงบประมาณ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณ และ (3) เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและวางแผนโครงการตั้งแต่เริ่มต้น</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>: </strong>โครงการด้านสาธารณสุขในปัจจุบันเน้นการประเมินด้านผลผลิต ดังนั้นควรมีการวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบของโครงการที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในระยะยาว เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิผลที่แท้จริงของโครงการ และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงานด้านสาธารณสุขในอนาคต</p>
2025-11-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284259
ผลของโปรแกรมให้ความรู้มารดาต่อพฤติกรรมการดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลือง
2025-11-30T19:47:00+07:00
ศจี สุวรรณศรี
sajeesuwannasri2521@gmail.com
ดวงใจ นิ่มวัฒนกุล
sajeesuwannasri2521@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมมารดาในการดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองระหว่างกลุ่มมารดาที่ได้รับโปรแกรมให้ความรู้การดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองกับกลุ่มมารดาที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>:</strong> เป็นมารดาที่ตั้งครรภ์ครบกำหนดที่มาคลอดบุตรที่ไม่จำกัดวิธีการคลอดและไม่มีภาวะแทรกซ้อนและทารกแรกเกิดครบกำหนดตึกพิเศษสงฆ์ชั้น 3 โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 1พฤษภาคม 2568 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 จำนวน 40 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 20 ราย กลุ่มทดลอง 20 รายวัดหลังการทดลองครั้งเดียว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการให้นมมารดาและแบบสอบถามพฤติกรรมการประเมินทารกตัวเหลือง ผ่านการตรวจสอบโดยมีผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.76 และ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> การเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมของกลุ่มมารดาที่ได้รับการพยาบาลตามปกติและกลุ่มมารดาที่ได้รับความรู้ตามโปรแกรมเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลือง กลุ่มทดลองมีทักษะการให้นมมารดามากกว่ากลุ่มควบคุม (p = .017) ซึ่งมีค่าน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และการประเมินภาวะตัวเหลืองในทั้งสองกลุ่มมีค่าไม่แตกต่างกัน (p = .134) ซี่งมีค่ามากกว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>.05) แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลร้อยละในตารางพบว่ากลุ่มทดลองมีการปฏิบัติทำทุกครั้งสูงกว่ากลุ่มควบคุมทุกข้อ แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมมีแนวโน้มที่จะช่วยให้มารดาสามารถประเมินภาวะตัวเหลืองได้อย่างถูกต้อง</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>: </strong>การนำโปรแกรมไปใช้ในการบริการพยาบาลผลการวิจัยยืนยันว่าโปรแกรมเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองมีประสิทธิผลอย่างชัดเจนในการเพิ่มทักษะการให้นมมารดา ดังนั้นควรนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้ในการให้ความรู้แก่มารดาหลังคลอดทุกคนโดยเฉพาะมารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะตัวเหลืองเพื่อให้ทารกได้รับน้ำนมเพียงพอและถูกวิธี</p>
2025-12-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284287
งานวิจัยและพัฒนางานบริหารเวชภัณฑ์ยาโดยใช้ระบบ First Expired, First Out (FEFO) และเทคนิคการประเมินความถูกต้องสถานะคงคลังรายวัน โรงพยาบาลมุกดาหาร
2025-12-02T08:57:25+07:00
วิภาดา ชาญธนบดีสมบัติ
Jajuaig@hotmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลการบริหารคลังเวชภัณฑ์ยา โดยใช้ระบบ First Expired, First Out (FEFO) ร่วมกับเทคนิคการประเมินความถูกต้องสถานะคงคลังรายวัน โรงพยาบาลมุกดาหาร</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย :</strong> การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย :</strong> กลุ่มตัวอย่างคือเวชภัณฑ์ยาและวัสดุเภสัชกรรม 1,053 รายการ ที่จัดเก็บในคลังเวชภัณฑ์ยาหลัก โรงพยาบาลมุกดาหาร ภายใต้การจัดการด้วยระบบโปรแกรม INVS ดำเนินการประเมินความถูกต้องของข้อมูลคงคลังทุกวันโดยใช้แบบฟอร์ม DIAAF–FEFO (Daily Inventory Accuracy Assessment Form with FEFO System) เป็นเวลา 9 เดือน (ธันวาคม 2567 - สิงหาคม 2568) รวม 24 รอบการตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ และช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (95% Confidence Interval: CI)</p> <p><strong>ผลการวิจัย :</strong> ตรวจสอบเวชภัณฑ์ทั้งหมด 21,908 รายการ พบว่าความถูกต้องของจำนวนคงคลังเฉลี่ย 99.99% (95%CI = 99.97-99.99) ความถูกต้องของลอตและวันหมดอายุเฉลี่ย 99.68% (95%CI = 99.60-99.75) ความถูกต้องของการติดสติ๊กเกอร์แยกลอตเฉลี่ย 98.33% (95%CI = 98.15-98.49) และความถูกต้องของการจัดเรียงตามหลัก FEFO เฉลี่ย 99.75% (95%CI = 99.68-99.81) มูลค่ายาที่ต้องคืนหรือแลกเปลี่ยนลดลงจาก 1,377,678.66 บาท ในปีงบประมาณ 2567 เหลือ 956,585.64 บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ลดลงร้อยละ 30.60</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ :</strong> การใช้ระบบ DIAAF–FEFO Model ช่วยเพิ่มความถูกต้องในทุกขั้นตอนของการบริหารคลังเวชภัณฑ์ยา ยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของการควบคุมภายใน ให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ และป้องกันความคลาดเคลื่อนได้อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ข้อมูลคงคลังมีความถูกต้อง โปร่งใส และนำไปใช้วางแผนจัดซื้อได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ควรดำเนินการต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานความถูกต้องของข้อมูลและพัฒนาระบบการควบคุมภายในของคลังเวชภัณฑ์ให้มีความยั่งยืนในระยะยาว</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284290
ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาศักยภาพครูพี่เลี้ยงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้การเรียนรู้แบบยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
2025-12-02T09:17:56+07:00
นงนุช แก้วจิตร์
nuchsongsermlomkao65@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาและประเมินประสิทธิผลโปรแกรมพัฒนาศักยภาพครูพี่เลี้ยงในการจัดการเรียนรู้แบบยึดเด็กเป็นศูนย์กลางที่ส่งผลต่อการยกระดับความรู้และพฤติกรรมของครูพี่เลี้ยง คุณภาพสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน พฤติกรรมเด็กปฐมวัย พัฒนาการเด็กปฐมวัย DSPM และทักษะสมองส่วนหน้า EF</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบแผนการวิจัยกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The One Group Pretest-Posttest Design)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย:</strong> กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยครูพี่เลี้ยงจำนวน 12 คน และเด็กปฐมวัยจำนวน 100 คน จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 12 แห่ง ในเขตอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยคัดเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการทดลองด้วยโปรแกรมฯ เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลองด้วยสถิติ Paired t-test โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่าหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ครูพี่เลี้ยงมีคะแนนความรู้ (Mean=17.25, SD.=0.75) และพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ (Mean=28.67, SD.=0.89) สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <.001) คะแนนคุณภาพสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนเพิ่มขึ้น (Mean = 29.25, SD.= 1.22) และพฤติกรรมเด็กปฐมวัยดีขึ้น (Mean=25.79, SD.=3.04) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) สำหรับพัฒนาการ DSPM พบว่าคะแนนเฉลี่ยรวมเพิ่มจาก Mean= 4.57 (SD. = 0.79) เป็น Mean=4.96 (SD.=0.20) โดยพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว การเข้าใจภาษา และการใช้ภาษา มีอัตราการผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100 นอกจากนี้ คะแนนทักษะสมองส่วนหน้าเพิ่มจาก Mean =72.82 (SD.=22.38) เป็น Mean=100.29 (SD.= 18.91) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> โปรแกรมพัฒนาศักยภาพครูพี่เลี้ยงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้การเรียนรู้แบบยึดเด็กเป็นศูนย์กลางมีประสิทธิผลในการยกระดับสมรรถนะครูและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทั้งในมิติพัฒนาการพื้นฐาน (DSPM) และทักษะสมองส่วนหน้า (EF) ควรพิจารณาขยายผลโปรแกรมฯ และบรรจุเนื้อหาในหลักสูตรอบรมครูเพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาเด็กในระยะยาว</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284552
การพัฒนาโปรแกรมกำกับติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการ ตามแผนยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-12-12T20:46:40+07:00
อิทธิพล ดวงแก้ว
Ittipoldk@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการ พัฒนาและทดลองและประเมินผลการใช้โปรแกรมกำกับติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการตามแผนยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย</strong> : การวิจัยเชิงพัฒนา (Developmental Research) โดยดำเนินการตามขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle: SDLC)</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย</strong> : กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและบุคลากรสาธารณสุข จำนวน 130 คน ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน 2567 - กันยายน 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นด้วยภาษาสคริปต์ PHP และฐานข้อมูล MySQL แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบประเมินความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพและความพึงพอใจที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.87 ค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคทั้งฉบับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : 1) สภาพปัญหาและความต้องการ พบว่า การกำกับติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการตามแผนยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด มีปัญหาความล่าช้าในการรวบรวมข้อมูล (93.3%) ข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน (86.7%) และรูปแบบรายงานที่ไม่เป็นมาตรฐาน (80.0%) ทำให้เกิดความต้องการด้านการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การติดตามผลแบบเรียลไทม์ การสร้างรายงานที่เป็นมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง 2) ได้พัฒนาโปรแกรม เพื่อการดำเนินการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติราชการตามแผนยุทธศาสตร์ (Web Application) ที่ประกอบด้วย 5 โมดูลหลัก ได้แก่ การจัดการผู้ใช้งาน การจัดการตัวชี้วัด การบันทึกผลการดำเนินงาน แดชบอร์ดแสดงผลแบบเรียลไทม์ และระบบสร้างรายงาน โดยระบบผ่านการทดสอบความถูกต้อง (100%) มีเวลาตอบสนอง 1.8 วินาที รองรับผู้ใช้พร้อมกัน 120 คน และมีความพร้อมใช้งาน (99.4%) และ 3) ผลการทดลองและประเมินผล พบว่า ระบบสามารถลดระยะเวลาการรวบรวมข้อมูล (80%) ลดเวลาสร้างรายงาน (95%) เพิ่มความถูกต้องของข้อมูลจาก 75% เป็น 95% ความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพของระบบ 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.28, SD. = 0.33) และความพึงพอใจของผู้ใช้งาน 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก (Mean = 4.19, SD = 0.39)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong> : โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานมีระบบรายงานผลปฏิบัติราชการตามแผนยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดที่รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม สามารถพัฒนาไปสู่การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการตัดสินใจในอนาคต และพัฒนาต่อยอดให้รองรับ Mobile application เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jrhi/article/view/284553
การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงโดยใช้สื่อดิจิทัลในการส่งเสริมการดูแลตนเองของโรงพยาบาลปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด
2025-12-12T20:56:39+07:00
ทิวานันท์ นาเมือง
Tiwatiwanun@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงโดยใช้สื่อดิจิทัลในการส่งเสริมการดูแลตนเอง และเพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงโดยใช้สื่อดิจิทัล</p> <p><strong>รูปแบบการวิจัย </strong><strong>:</strong> การวิจัยและพัฒนา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการวิจัย </strong><strong>: </strong>กลุ่มเป้าหมายเป็นหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง 33 ราย รับบริการที่คลินิกฝากครรภ์ ระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2568 ดำเนินการวิจัย 2 ระยะ (1) พัฒนารูปแบบ ศึกษาสถานการณ์ สภาพแวดล้อมในหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง สนทนากลุ่มทีมสหวิชาชีพ ร่างรูปแบบโดยใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ ปรับปรุงยืนยันรูปแบบก่อนนำไปใช้จริง และ (2) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบโดยทดสอบความรู้หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง การปฏิบัติตัวก่อนและหลังการใช้รูปแบบ ความพึงพอใจหลังการใช้รูปแบบ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบความรู้และการปฏิบัติตัว แบบสัมภาษณ์ แบบสำรวจความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Wilcoxon signed-rank test</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong><strong>:</strong> รูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงโดยใช้สื่อดิจิทัลในการส่งเสริมการดูแลตนเอง มี 5 ขั้นตอน [AICLK] คือ 1) ประเมินหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงสูง (Assessment) 2) ตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการและอัลตร้าซาวด์ (Investigation) 3) สื่อสารความรู้การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง (Communication) 4) เรียนรู้จากสื่อดิจิทัล (Learning) และ 5) ประเมินความรู้ในการตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูง (Knowledge) หลังการใช้รูปแบบพบว่าหญิงตั้งครรภ์มีความรู้เพิ่มขึ้นการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจในระดับดีมาก</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ </strong><strong>: </strong>ความรู้ในรูปแบบสื่อดิจิทัลทำให้หญิงตั้งครรภ์เรียนรู้ได้เองผ่านสมาร์ทโฟน และเรียนรู้ได้ซ้ำๆ ลดข้อจำกัดเรื่องเวลาให้บริการ การให้ความรู้เฉพาะรายบุคคลทำได้ง่ายเพิ่มคุณภาพการดูแลเชิงลึกในปัญหาที่เฉพาะแตกต่างกัน</p>
2025-12-12T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025