วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri <p><strong>วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข</strong></p> <p><strong>ISSN: 2822-0382</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงที่ครอบคลุมเนื้อหาด้านสาธารณสุขศาสตร์ ได้แก่ ชีวสถิติ และวิทยาการระบาด อาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม บริหารสาธารณสุข การส่งเสริมสุขภาพ นวัตกรรมสาธารณสุข และ สหสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p> </p> th-TH btum@tsu.ac.th (ผศ.ดร.ตั้ม บุญรอด) switchada@tsu.ac.th (ดร.วิชชาดา สิมลา ) Thu, 26 Dec 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/276290 ตั้ม บุญรอด Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/276290 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยก่อนได้รับการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/274299 <p><strong>บทนำ:</strong>การให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนแก่ผู้ป่วยก่อนการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ ส่งผลให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวถูกต้อง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการตรวจ ส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงผู้ป่วยที่ขาดความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติตัวเรื่องการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ เมื่อได้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนช่วยลดความวิตกกังวลได้</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อน และหลังการทดลอง (Two-group quasi-experimental research with a pre-test and a post-test) วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการ ให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยก่อนได้รับการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีกับกลุ่มที่ได้รับข้อมูลตามปกติ กลุ่ม<br />ตัวอย่างผู้รับบริการคลินิกระบบทางเดินปัสสาวะ จำนวน 60 ราย กลุ่มทดลอง 30 ราย และกลุ่มควบคุม 30 ราย โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย1) คู่มือการปฏิบัติตัวก่อนการส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ 2) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบสอบถามความวิตกกังวล ที่มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่นโดยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ยรอยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-square test, Fisher exact test,Paired t-test, Independent t–test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>หลังเข้าร่วมโปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยก่อนได้รับการตรวจ ส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ ระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมพบว่า กลุ่มทดลองมีความวิตกกังวลในระดับต่ำ (38.10, SD = 6.14) กลุ่มควบคุม (41.00, SD = 3.59) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (p &lt; 0.05) </p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการให้ข้อมูลอย่างมีแบบแผนสามารถลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยก่อนได้รับการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนั้นจึงควรนำโปรแกรมนี้มาใช้ในผู้ป่วยก่อนได้รับการตรวจส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ</p> รัชฎาภรณ์ เรืองจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/274299 Thu, 26 Dec 2024 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการป้องกันตนเองในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา(COVID-19) ของประชาชนในอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/275838 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>สถานการณ์การติดเชื้อ COVID-19 ของจังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2564 พบยอดผู้ติดเชื้อสะสม 3,720 คน เสียชีวิตสะสม จำนวน 33 คน สำหรับอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล มียอดผู้ติดเชื้อสะสม จำนวน 104 คน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีการใช้มาตรการการป้องกันควบคุมโรคโดยเน้นสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสจุดเสี่ยงที่สัมผัสร่วมกันบ่อยๆ แต่การระบาดของโรคก็ยังไม่มีอัตราที่จะลดลง ดังนั้นผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรค COVID-19 ในอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 388 คน โดยใช้ วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้ค่า IOC เท่ากับ 0.95 ค่าความเที่ยงของเครื่องมือด้วยสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคได้เท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด Chi-Square test และ Logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรค COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ได้แก่ อายุระหว่าง 30-44 ปี (OR=2.0; p-value = 0.014) และทัศนคติของบุคคลต่อ โรค COVID-19 (OR=2.0; p-value = 0.002) สำหรับเพศ อาชีพ สถานภาพ รายได้ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรค COVID-19 และความรู้เกี่ยวกับโรค COVID-19 ไม่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรค COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>อายุระหว่าง 30-44 ปี และทัศนคติของบุคคลต่อโรค COVID-19 มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรค COVID-19 ดังนั้นการสื่อสารองค์ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจ และปรับทัศนคติของประชาชนได้</p> กรรณิกา ปานศิริ, วรนัฐ สงเกิด, อภิชาติ ไชยจิตต์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/275838 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ระยะเวลา และ ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/275909 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2565 พบ ผู้ป่วยสะสม จำนวน 1,433,291 ราย มีผู้เสียชีวิตรายวันอยู่ที่ 92 ราย สำหรับในพื้นที่จังหวัดพัทลุง มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 18,285 ราย สำหรับพื้นที่อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 1,001 ราย จากสถานการณ์ดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาระยะเวลา และปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการติดเชื้อไวรัส โคโรนา (COVID-19) ในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะเวลาของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 และปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือผู้ป่วยโรค COVID-19 จำนวน 484 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชทะเบียนการตรวจคัดกรองโรค COVID-19 ได้รับการวินิจฉัยด้วยวิธี RT-PCR ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ค่า IOC เท่ากับ 0.85 ค่าความเที่ยงของเครื่องมือ เท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน และ Logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ได้แก่ เพศ (p-value &lt;0.001; 95% CI =1.6-4.4) อายุ (p-value = 0.044; 95% CI =1.0-2.6) อาชีพ (p-value = 0.018; 95% CI =0.1-0.8) การสัมผัสร่วมบ้านผู้ป่วยยืนยันและแสดงอาการ (p-value &lt;0.001; 95% CI =4.6-246.4) กลุ่มคนที่มีดัชนีมวลกายอ้วนระดับ1 (p-value = 0.050; 95% CI =1.0-5.0) และอ้วนระดับ3 (p-value = 0.044; 95% CI =1-19)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>เพศ อายุ อาชีพ การสัมผัสร่วมบ้านกับผู้ป่วยแสดงอาการ และค่าดัชนีมวลกาย มีความสัมพันธ์ต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดในครัวเรือน ดังนั้นหน่วยบริการสาธารณสุขควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการป้องกันโรค COVID-19</p> วรรณภา สุตาติ, วิลาสินี มากชุม, สุดา ขำนุรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/275909 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมภาวะโภชนาการของนักเรียนประถมศึกษา อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/276088 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>จากสถานการณ์ภาวะโภชนาการในเด็กวัยเรียน อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ปี 2558 และ ปี 2562 พบว่า นักเรียนที่มีภาวะสูงดีสมส่วน ลดลงจากร้อยละ 65.33 เป็นร้อยละ 65.05 ภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.02 เป็นร้อยละ 11.65 และเตี้ยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.47 เป็นร้อยละ 10.39 วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ สารอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน และการรับรู้ความสามารถของตนเอง ทักษะการเลือกบริโภคอาหาร และภาวะโภชนาการของเด็กวัยเรียนหลังการใช้โปรแกรมส่งเสริมภาวะโภชนาการระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยประยุกต์ทฤษฎีปัญญาสังคมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และผู้ปกครอง โดยมีจำนวนตัวอย่างในกลุ่มทดลอง 62 คน และกลุ่มควบคุม 62 คน ระยะเวลาศึกษา 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์การบริโภคอาหารย้อนหลัง 24 ชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test, Independent t–test, Wilcoxon Sign Rank test, Mann–Whitney U test, McNemar test, Fisher exact test</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการในเด็กนักเรียนระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.001) แต่ไม่พบความแตกต่างด้านการรับรู้ความสามารถของตนเองในการเลือกบริโภคอาหาร สำหรับปริมาณแคลเซียม วิตามินเอ และวิตามินซีที่ได้รับในแต่ละวัน พบว่า แตกต่างกันระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (p-value &lt;0.001) แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงของภาวะโภชนาการ ได้แก่ น้ำหนักต่ออายุ ส่วนสูงต่ออายุ และน้ำหนักต่อส่วนสูง สำหรับกลุ่มผู้ปกครอง พบว่า ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ และทัศนคติต่อการบริโภคอาหารระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน (p-value &gt; 0.05)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>โปรแกรมนี้ช่วยเพิ่มความรู้ และการรับรู้ความสามารถในเด็กวัยเรียน แต่ควรเพิ่มความถี่ของการกระตุ้น และกิจกรรมสำหรับกลุ่มผู้ปกครองเพื่อให้เด็กวัยเรียนมีภาวะโภชนาการที่ดี</p> วราภรณ์ หวันมาแสะ, โนรีซัน ลีเฮ็ง, สุดา ขำนุรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/276088 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0700