วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ th-TH วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข 2822-0382 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/270831 ตั้ม บุญรอด Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 ผลของโปรแกรมชะลอไตเสื่อมต่อพฤติกรรมการรับรู้ของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่สามคลินิกโรคไต โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/268834 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research design) แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (Two group pretest-posttest design) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ประสิทธิผลของโปรแกรมชะลอไตเสื่อมต่อพฤติกรรมการรับรู้ของผู้ป่วยโรคไต เรื้อรังระยะที่สามคลินิกโรคไต โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้รับบริการคลินิกโรคไตที่มารับบริการตั้งแต่ระยะที่สาม จำนวน 60 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 1) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยคือ คู่มือโปรแกรมชะลอไตเสื่อม 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย คือ แบบวัดความรู้เรื่องโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนจากโรคไตวายเรื้อรังระยะที่สามและแบบสอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติตัวเพื่อชะลอไตเสื่อม คุณภาพเครื่องมือได้ค่าดัชนีความเที่ยงตรง เท่ากับ 0.92 และค่าความเชื่อมั่นโดยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 ใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired t-test&nbsp; Independent t-test&nbsp; &nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการรับรู้ของผู้รับบริการหลังการใช้โปรแกรมชะลอไตเสื่อมในกลุ่มทดลอง (=3.80, SD=.203) มากกว่าค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการรับรู้ของผู้รับบริการกลุ่มควบคุม (=3.01, SD=.145) &nbsp;อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่&nbsp; (p &lt; .05) &nbsp;การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โปรแกรมชะลอไตเสื่อมต่อพฤติกรรมการรับรู้ของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง บริการผู้บริหารทางการพยาบาลสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการให้บริการในโรงพยาบาลได้</p> จันทนี นิลพัฒน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-29 2024-04-29 2 1 1 13 ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/270616 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้นั้นมีโอกาสที่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูงอายุนี้จะช่วยลดปัญหาอาการแทรกซ้อนดังกล่าวได้</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยแบบกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ที่มีอายุ 60-89 ปี ที่มารับบริการในคลินิกโรคเบาหวานโรงพยาบาลบางแก้วและกลุ่มผู้ดูแล กลุ่มทดลองจำนวน 47 คน เป็นผู้สูงอายุ 24 คน และผู้ดูแลจำนวน 23 คน กลุ่มควบคุมจำนวน&nbsp; 45 คน เป็นผู้สูงอายุ 24 คน และผู้ดูแล 21 โดยโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประกอบไปด้วยใบสะสมแต้มระดับน้ำตาลในเลือด และแผ่นพับความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน การบันทึกระดับน้ำตาลในเลือด นำตัวแบบด้านบวกมาเล่าประสบการณ์&nbsp; และการติดตามเยี่ยมบ้าน ใช้สถิติเชิงพรรณนา, Paired t-test , Wilcoxon Sign Rank test และสถิติ Mann-Whitney U test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้สูงอายุมีคะแนนทัศนคติเกี่ยวกับโรคเบาหวาน คะแนนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร&nbsp; คะแนนพฤติกรรมการรับประทานยา ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกัน (p &lt; 0.05) สำหรับกลุ่มผู้ดูแลพบว่าความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับโรคเบาหวานแตกต่างกันระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(p &lt; 0.05) หลังจากการทดลองพบว่าผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองมีค่าระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) ลดลงกว่าก่อนการทดลอง ( p &lt; 0.05) แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>สรุปผล</strong>:การจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นในเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการจัดอบรมให้ความรู้ผู้ดูแล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS) ลดลง</p> นูรีมาน มะสาและ อรณิชา สอนรัตน์ ถนอมขวัญ เบื้องบน ธัชกร สุทธิดาจันทร์ วิชชาดา สิมลา Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 14 25 ผลของโปรแกรมการกระตุ้นพัฒนาการในเด็กอายุ 2-5 ปี ที่มีพัฒนาล่าช้าด้านภาษาโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/268884 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังทดลอง (one group pretest posttest design) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้ถึงอันตรายและผลกระทบต่อการพัฒนาการเด็ก และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาในเด็กอายุ 2-5 ปีของผู้ปกครอง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม และ 2. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้ถึงอันตรายและผลกระทบต่อการพัฒนาการเด็ก และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาในเด็กอายุ 2-5 ปีของผู้ปกครอง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง คือ พ่อแม่ ผู้ดูแล หรือผู้ปกครองที่ดูแลเด็กอายุ 2-5 ปี และเด็กที่มีอายุ 2-5 ปี ที่รับบริการในคลินิกกระตุ้นพัฒนาการ โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2566 จำนวน 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติทดสอบค่าที Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองที่เข้าร่วมโปรแกรมการกระตุ้นพัฒนาการในเด็กอายุ 2-5 ปี ที่มีพัฒนาล่าช้าด้านภาษาโดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ของผู้ดูแลเรื่องพัฒนาการเด็ก การรับรู้ถึงอันตรายและผลกระทบต่อการพัฒนาการเด็ก และพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาในเด็กอายุ 2-5 ปีของผู้ปกครอง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ซึ่งจากผลการวิจัยครั้งนี้ ควรแนะนำสร้างความตระหนักและส่งเสริมให้ผู้ปกครองสามารถทำการประเมินและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่บ้านให้มากขึ้น โดยใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) และควรมีการติดตามและประเมินผลของการใช้โปรแกรมอย่างต่อเนื่องทุก 6 เดือน หรือ 12 เดือน</p> จินตนา คงจินดา Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-29 2024-04-29 2 1 26 40 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบึงบอน อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/269638 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>โรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจนส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เศรษฐกิจ และครอบครัว การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะช่วยให้สามารถนำความรู้มาใช้ในการวางแผนการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research design)<strong> </strong>มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล และพฤติกรรมสุขภาพกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบึงบอน อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 81 คน ที่เข้ารับการตรวจรักษาระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ถึง 15 มกราคม 2565 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป และข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมสุขภาพ และผลการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยสถิติ Chi- square test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>1) ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดครั้งล่าสุด มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt; .05) และ 2) ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด พบว่า การรับประทานอาหาร การรับประทานยา และการออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt; .05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ข้อมูลส่วนบุคคลและพฤติกรรมสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถนำไปใช้ออกแบบเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเอง ทั้งนี้รวมถึงผู้ดูแล และบุคคลในครอบครัว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้นหรือรุนแรงขึ้น</p> โสวณี มุกนพรัตน์ นิชาพร ชูช่วย Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-30 2024-04-30 2 1 41 51