https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/issue/feed
วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข
2025-08-31T20:32:07+07:00
ผศ.ดร.ตั้ม บุญรอด
btum@tsu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข</strong></p> <p><strong>ISSN: 2822-0382</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงที่ครอบคลุมเนื้อหาด้านสาธารณสุขศาสตร์ ได้แก่ ชีวสถิติ และวิทยาการระบาด อาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม บริหารสาธารณสุข การส่งเสริมสุขภาพ นวัตกรรมสาธารณสุข และ สหสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p> </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/282154
บทบรรณาธิการ
2025-08-31T20:32:07+07:00
ตั้ม บุญรอด
btum@tsu.ac.th
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/279262
การพัฒนาระบบตรวจสอบและป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในกระบวนการจ่ายยาผู้ป่วยในโรงพยาบาลบ้านโป่ง
2025-06-04T22:19:05+07:00
ศิริลักษณ์ ภู่สว่าง
kaesiriluck11@gmail.com
<p><strong>บทนำ:</strong> ความคลาดเคลื่อนทางยาเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการจ่ายยาผู้ป่วยใน ซึ่งมีความซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับบุคลากรหลายฝ่าย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบตรวจสอบและป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในกระบวนการจ่ายยาผู้ป่วยในของโรงพยาบาลบ้านโป่ง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ดำเนินการในโรงพยาบาลบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 - เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจ่ายยาผู้ป่วยใน จำนวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยา แบบตรวจสอบความปลอดภัย และแบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการตรวจสอบและป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired t-test และ Chi-square test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> หลังการพัฒนาระบบอัตราความคลาดเคลื่อนทางยาโดยรวมลดลงจาก 8.75 เป็น 3.12 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยาลดลง ร้อยละ 60.5 ก่อนการจ่ายยาลดลง ร้อยละ 67.2 และการจ่ายยาลดลง ร้อยละ 69.3 ความคลาดเคลื่อนในยาความเสี่ยงสูง และยาที่มีชื่อพ้องมองคล้ายลดลงถึง ร้อยละ 80.0 และ 81.2 ตามลำดับ นอกจากนี้ ระดับความรุนแรงของความคลาดเคลื่อนทางยาลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( = 12.56, p = 0.003) โดยสัดส่วนความคลาดเคลื่อนระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.79 เป็นร้อยละ 86.36 และระดับที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย ลดลงจากร้อยละ 36.21 เป็นร้อยละ 13.64 โดยไม่พบความคลาดเคลื่อนระดับที่ต้องเพิ่มการเฝ้าระวัง ในช่วงหลังการพัฒนาระบบ</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> การพัฒนาระบบตรวจสอบและป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาสามารถลดทั้งอัตราการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาและระดับความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรมีการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของระบบ และควรขยายผลการใช้ระบบนี้ไปยังโรงพยาบาลอื่น</p>
2025-08-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/280765
ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยหลังผ่าตัดลิ้นหัวใจ
2025-07-06T20:54:57+07:00
เบญจพร แก้วขอนแก่น
benjaporn921@gmail.com
พิชชาดา ประสิทธิโชค
pitchada@g.swu.ac.th
อังศินันท์ อินทรกำแหง
ungsinun@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตาย และจัดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ในปี พ.ศ.2567 ในประเทศไทยพบมีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด มากกว่า 2.5 แสนราย และเสียชีวิตมากถึง 4 หมื่นราย โรคลิ้นหัวใจเป็นโรคที่ต้องได้การรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงระดับที่ยาไม่ได้ผลผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมรวมถึงเปลี่ยนลิ้นหัวใจซึ่งการผ่าตัดจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นในระดับหนึ่ง ทั้งนี้การที่ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่องนั้น ผู้ป่วยต้องมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองที่ดีเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลให้ต้องกลับเข้ารับการรักษาและการผ่าตัดซ้ำ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจ ที่เข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดลิ้นหัวใจ ณ แผนกศัลยกรรมทรวงอก โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 40 ราย ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ด้วยวิธีจับฉลากแบบไม่ใส่คืน กลุ่มละ 20 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบวัดพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง มีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับอยู่ที่ระดับ 0.73 และ 0.81 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติ Independent samples t-test, Paired t-test, Mann-Whitney U Test, and Wilcoxon signed-rank test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ก่อนการทดลองกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (Mean = 179.40, SD = 14.45) และ(Mean = 178.10, SD = 7.05) ตามลำดับ หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับสูง (Mean = 224.60, SD = 9.09) กลุ่มควบคุมมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (Mean = 180.75, SD = 7.59) และผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาสนับสนุนโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นกว่าการได้รับการพยาบาลตามปกติเพียงอย่างเดียว การนำโปรแกรมนี้ไปใช้ดูแลผู้ป่วยอาจจะนำมาซึ่งการลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/280578
ผลของโปรแกรมพัฒนาการสื่อสารสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
2025-07-18T21:46:14+07:00
พันธะกานต์ ยืนยง
yy.phanthakan@gmail.com
ญาณันธร กราบทิพย์
Yananthorn@scphc.ac.th
กมล ลำบอง
dmax6333@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การสื่อสารสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการส่งเสริมสุขภาพ ถูกถ่ายทอดไปยังประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับของทักษะด้านการสื่อสารสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านก่อนและหลังการทดลอง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลโคกไทย ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 37 คน และสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่ายด้วยวิธีจับฉลากแบบไม่ใส่คืนจนครบจำนวน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ได้แก่ โปรแกรมพัฒนาการสื่อสารสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และแบบสอบถาม ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา CVI เท่ากับ 0.89 และ ค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติ paired t – test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่างส่วนมากเป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 57.24 ปี สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายและไม่ได้ประกอบอาชีพ ประสบการณ์เป็น อสม. เฉลี่ย 13.43 ปี และส่วนมากผ่านการอบรม อสม. หลังการทดลองคะแนนเฉลี่ยภาพรวมการสื่อสารสุขภาพ ( = 0.55, p-value <0.001) องค์ประกอบผู้ส่งสาร ( = 0.57, p-value = 0.003) องค์ประกอบด้านบริบท ( = 0.39, p-value <0.001) องค์ประกอบเนื้อหาของสาร ( = 0.65, p-value <0.001) องค์ประกอบการประเมินผล ( = 0.55, p-value <0.001) องค์ประกอบช่องทางการสื่อสารสุขภาพ กิจกรรม รูปแบบ วิธีการ ( = 0.53, p-value <0.001) และองค์ประกอบการประเมินผล ( = 0.55, p-value <0.001) สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้แสดงให้เป็นว่าโปรแกรมพัฒนาการสื่อสารสุขภาพ สามารถพัฒนาความรู้ ทักษะและพัฒนาทักษะการสื่อสารสุขภาพทั้ง 5 ด้าน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับประเด็นสุขภาพต่างๆ ที่ต้องการสื่อกับชุมชนโดยใช้สื่อดิจิทัลเข้ามาช่วยสื่อสารในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jphri/article/view/280517
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ของนิสิตคณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง
2025-07-16T10:01:01+07:00
อรนุช กำเนิดมณี
iorranuch@tsu.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในทุกภาคส่วนของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างผู้คนเพื่อป้องกันการติดต่อ <br />จากสถานการณ์ดังกล่าว สถาบันการศึกษาจึงได้มีการจัดการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ของนิสิตคณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ในช่วงสถานการณ์ COVID-19</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นิสิต คณะวิทยาการสุขภาพและการกีฬา ปีการศึกษา 2564 จำนวน 249 คน สุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาเท่ากับ 0.89 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์ ครอนบาคเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อันดับของสเปียร์แมน และ One Way ANOVA</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ของนิสิต ได้แก่ ชั้นปีการศึกษา มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ด้านผู้เรียน (p-value=0.041) และด้านการใช้เทคโนโลยีในการเรียน (p-value=0.033) และสาขาวิชามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ด้านผู้เรียน (p-value=0.019) ด้านหลักสูตร/เนื้อหา (p-value=0.001) ด้านการใช้เทคโนโลยีในการเรียน (p-value=0.001) และด้านการประเมินผลรายวิชา (การสอบ) (p-value=0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ชั้นปีการศึกษา และสาขาวิชาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนออนไลน์ของนิสิตในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการใช้เทคโนโลยี หลักสูตร/เนื้อหา และการประเมินผล ดังนั้นผู้ที่ออกแบบการเรียนการสอนออนไลน์ควรคำนึงถึงความแตกต่างเหล่านี้ โดยปรับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เนื้อหา การใช้เทคโนโลยี และวิธีการประเมินผลให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มนิสิต เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนออนไลน์</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสาธารณสุข