วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya <p>วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ดำเนินการโดยสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงานวิชาการทางด้านสุขภาพจิตและจิตเวช กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ สามารถตีพิมพ์บทความได้ 6 รูปแบบ คือ 1.บทบรรณาธิการ 2.นิพนธ์ต้นฉบับ 3.บทความฟื้นฟูวิชาการ 4.รายงานเบื้องต้น 5.รายงานผู้ป่วย และ 6.ปกิณกะ โดยบทความที่ส่งตีพิมพ์จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2-3 ท่าน ต่อ 1 บทความ</p> สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา th-TH วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา</p> <p>&nbsp;</p> การพัฒนาแผ่นกันกัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในช่องปากระหว่างทำการรักษาด้วยไฟฟ้า https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/265800 <p>-</p> นารีรัตน์ ทองยินดี ศิริลดา เลิศวิบูลย์อนันต์ Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-11-03 2023-11-03 17 2 78 82 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าของนิสิตกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวรในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/259349 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เปรียบเทียบข้อมูลส่วนบุคคลกับความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ :</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้กระบวนการเก็บข้อมูลโดยใช้การตอบแบบสอบถามออนไลน์ ในนิสิตกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 เครื่องมือใช้ คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ (STAI Form Y-1) และ แบบประเมินภาวะซึมเศร้า (PHQ-9) สถิติที่ใช้ คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยเปรียบเทียบข้อมูลส่วนบุคคลกับความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าด้วยการวิเคราะห์สหสัมพันธ์</p> <p><strong>ผล : </strong>กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 414 คน เป็นเพศหญิง ร้อยละ 71.7 และเพศชาย ร้อยละ 28.3 ส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2 ร้อยละ 30.2 และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 4,000 บาท ร้อยละ 44.7 พบค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลโดยรวม (ค่าเฉลี่ย = 56.4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 9.7) ค่าเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าโดยรวมอยู่ในระดับมีอาการซึมเศร้าเล็กน้อย (ค่าเฉลี่ย = 8.4 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 5.8) ข้อมูลส่วนบุคคลด้านชั้นปีที่แตกต่างกันส่งผลต่อความวิตกกังวลอย่างมีนัยสำคัญที่ และความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> <p><strong>สรุป :</strong> ในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นิสิตกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร มีความตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในระดับเล็กน้อย โดยชั้นปีที่แตกต่างกันส่งผลต่อความวิตกกังวลและยังพบพบความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง</p> กันตพัฒน์ อนุศักดิ์เสถียร ณัฐริณีย์ เทพา ธัญชนก สุขพันธ์ รยา นวรัตนากร สุทัตตา ศักดิ์สิทธิ์ ณัฐธิดา วงศ์เจริญ โสฬส อัครตันเสถียร แสงดาว วัฒนาสกุลเกียรติ จิราภร แสนทวีสุข Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-10-12 2023-10-12 17 2 1 14 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของพยาบาลจิตเวชในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/259864 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของพยาบาลจิตเวชในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ :</strong> การศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลจิตเวช ปฏิบัติงานที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จำนวน 92 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามความเครียด ความวิตกกังวล การสนับสนุนทางสังคม และภาวะหมดไฟในการทำงาน ค่าความเชื่อมั่นของสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.82, 0.75, 0.94 และ 0.90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ และสถิติของฟิสเชอร์</p> <p><strong>ผล : </strong>กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีภาวะหมดไฟในการทำงานด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ระดับต่ำ (ร้อยละ 43.5) การลดความเป็นบุคคลระดับต่ำ (ร้อยละ 63.0) และความสำเร็จของบุคคลระดับสูง (ร้อยละ 94.6) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ อายุ สถานภาพสมรสตำแหน่งงาน ระยะเวลาปฏิบัติงาน ชั่วโมงการทำงาน ความเครียด และความวิตกกังวล (<em>p</em>-value &lt; 0.05) การลดความเป็นบุคคล ได้แก่ ชั่วโมงการทำงาน ความเครียดและความวิตกกังวล (<em>p</em>-value &lt; 0.05) และความสำเร็จของบุคคล ได้แก่ ความเครียดและการสนับสนุนทางสังคม (<em>p</em>-value &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป :</strong> ผู้บริหารกลุ่มภารกิจการพยาบาล สามารถนำผลการศึกษานี้ไปใช้วางแผนการดูแลผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและภาวะหมดไฟในการทำงาน โดยการปรับภาระงาน เสริมสร้างแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมในงาน การสนับสนุนทางสังคม และจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิต</p> เอกพล สุดาชม ปิยธิดา สุนิรันดร์ นภัสเกตน์ ธีระวัฒนานนท์ Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-10-12 2023-10-12 17 2 15 35 ผลของการใช้สื่อมัลติมีเดียให้ความรู้สุขภาพจิตเพื่อลดภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/263467 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> ศึกษาผลของการใช้สื่อมัลติมีเดียให้ความรู้สุขภาพจิต เพื่อลดภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ :</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนหลัง กลุ่มทดลองเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ จำนวนทั้งสิ้น 32 คน ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้า เครื่องมือเป็นแบบสอบถามออนไลน์ภาวะหมดไฟในการเรียน และสื่อมัลติมีเดียให้ความรู้สุขภาพจิตเรื่อง How to break burn out ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบเปรียบเทียบด้วย paired t-test</p> <p><strong>ผล : </strong>กลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 96.9 อายุ 20 ปี ร้อยละ 56.3 อายุเฉลี่ย 20.50 ปี เกรดเฉลี่ยสะสม 2.50 - 3.00 ร้อยละ 75.0 ความต้องเข้าเรียนคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นความต้องการของตนเอง ร้อยละ 75.0 นอนหลับไม่เพียงพอ ร้อยละ 93.8 ภายหลังการใช้สื่อเรื่อง How to break burn out นักศึกษามีภาวะหมดไฟในการเรียนต่ำลง (<sup>ก่อน</sup>37.3 ± 4.26, <sup>หลัง</sup>11.1 ± 5.42) เมื่อเปรียบเทียบรายด้าน ความอ่อนล้าทางอารมณ์ (<sup>ก่อน</sup>18.3 ± 2.16, <sup>หลัง</sup>7.4 ± 3.33) การลดความเป็นบุคคล (<sup>ก่อน</sup>7.4 ± 1.21, <sup>หลัง</sup>1.4 ± 1.21) การลดความสำเร็จส่วนบุคคล (<sup>ก่อน</sup>11.6 ± 1.81, <sup>หลัง</sup>2.31 ± 1.59) มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt; 0.001)</p> <p><strong>สรุป :</strong> สื่อมัลติมีเดียให้ความรู้สุขภาพจิตเรื่อง How to break burn out ช่วยให้นักศึกษาพยาบาลสามารถจัดการกับภาวะหมดไฟในการเรียนของตนเองให้ลดลงได้</p> ชฎาภา ประเสริฐทรง พชรมณฐ์ กฤชปัญญาวโรช ชลธิชา แก่นนาคำ Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-10-16 2023-10-16 17 2 36 47 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดปัญหาสุขภาพจิตภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยที่รับบริการ home isolation สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/262891 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดปัญหาสุขภาพจิตภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยที่รับบริการ Home isolation สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ :</strong> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาในรูปแบบ home isolation ของสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จำนวน 95 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ที่กำหนด เก็บข้อมูลด้วยการรวบรวมข้อมูลจากแฟ้มประวัติและฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ป่วยประเมินตนเองด้วยแบบประเมินปัญหาสุขภาพจิตผ่านระบบ google form ภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลา 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ได้แก่ แบบประเมินความเครียด แบบประเมินความวิตกกังวล แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า 9 คำถาม และแบบประเมินความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p><strong>ผล : </strong>ความชุกของการปัญหาสุขภาพจิตหลังติดเชื้อโควิด-19 พบความเครียดร้อยละ 46.3 ภาวะวิตกกังวลร้อยละ 10.3 ภาวะซึมเศร้าร้อยละ 10.5 และนอนไม่หลับร้อยละ 35.8 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดปัญหาสุขภาพจิตหลังติดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ การว่างงานมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะเครียดและภาวะวิตกกังวล และอายุมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะนอนไม่หลับ</p> <p><strong>สรุป :</strong> ปัญหาสุขภาพจิตในผู้ป่วยหลังการติดเชื้อโควิด-19 พบได้ค่อนข้างสูง ควรมีการประเมินและให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดโรคทางจิตเวช โดยเฉพาะในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ตอนปลายที่ไม่ได้ประกอบอาชีพซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้สูง</p> ชุติกาญจน์ ทิพย์ปัญญา สาวิตรี แสงสว่าง กมลวรรณ บุญเพ็ง ธิติ เจริญศักดิ์ Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-10-16 2023-10-16 17 2 48 61 การพัฒนารูปแบบผสมผสานการพยาบาลต่อการป่วยซ้ำและเสพซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/journalsomdetchaopraya/article/view/266045 <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> 1) เพื่อพัฒนารูปแบบผสมผสานการพยาบาลในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีน และ 2) เพื่อศึกษาผลของรูปแบบผสมผสานการพยาบาลต่อการป้องกันการป่วยซ้ำและเสพซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีนในขั้นตอนการทดสอบการนำไปใช้ในภาคสนาม</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ :</strong> การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีนที่เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน จำนวน 84 คน เป็นกลุ่มทดลองได้รับการดูแลด้วยรูปแบบผสมผสานการพยาบาล จำนวน 42 คน และกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ จำนวน 42 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก: รูปแบบผสมผสานการพยาบาลในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีน แบบประเมินระดับอาการทางจิต และชุดทดสอบสารเสพติดเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะ ติดตามการป่วยซ้ำ และเสพซ้ำหลังสิ้นสุดการทดลองและจำหน่ายสัปดาห์ที่ 2 และสัปดาห์ 4</p> <p><strong>ผล : </strong>1) รูปแบบผสมผสานการพยาบาลพัฒนาเป็นคู่มือ “แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก: รูปแบบผสมผสานการพยาบาลในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีน” และ 2) ผลการทดลองภาคสนาม พบว่าการป่วยซ้ำหลังสิ้นสุดการทดลองสัปดาห์ที่ 2 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน แต่หลังสิ้นสุดการทดลองสัปดาห์ที่ 4 ทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกลุ่มทดลองมีโอกาสป้องกันการป่วยซ้ำเป็น 0.7 เท่าของกลุ่มควบคุม และการเสพซ้ำหลังสิ้นสุดการทดลองสัปดาห์ที่ 2 และ 4 ระหว่างทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกลุ่มทดลองมีโอกาสป้องกันการเสพซ้ำเป็น 0.67 เท่า และ 0.69 เท่าของกลุ่มควบคุม</p> <p><strong>สรุป :</strong> รูปแบบการผสมผสานการพยาบาลสามารถป้องกันการป่วยซ้ำและการเสพซ้ำในผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้เมทแอมเฟตามีนได้</p> เพลิน เสี่ยงโชคอยู่ วัฒนาภรณ์ พิบูลอาลักษณ์ สาวิตรี สุริยะฉาย สาวิตรี แสงสว่าง Copyright (c) 2023 วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-10-30 2023-10-30 17 2 62 77