วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss <p> <strong> วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ</strong> เป็นวารสารรายหกเดือนหรือครึ่งปี กำหนดการออกวารสาร ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม). วารสารมีนโยบายการเผยแพร่บทความที่มีคุณภาพด้านสุขภาพ ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ซึ่งนิพนธ์โดยพยาบาล แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ซึ่งปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข สาธารณสุขชุมชน อนามัยสิ่งแวดล้อม และบทความด้านการพยาบาลทั่วไป ทฤษฎีการพยาบาลและการวิจัยการพยาบาลขั้นสูงและการพยาบาลเฉพาะทาง โดยมีผู้นิพนธ์จากทั้งภายในและภายนอกสถาบัน รับบทความประเภท บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ บทวิจารณ์หนังสือ และบทวิจารณ์บทความ</p> <p> บทความที่เสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ <strong>ในกระบวนการพิจารณาแบบ Double-blind ผู้ประเมินจะไม่ทราบตัวตนของผู้เขียนบทความ ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน จะได้รับการคัดเลือกจากสถาบันที่หลากหลาย ภายในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องหรือสาขาที่ใกล้เคียง และต้องไม่สังกัดสถาบันเดียวกันกับผู้เขียนบทความ</strong></p> <p> บทความวิจัยที่จะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ<strong><span style="text-decoration: underline;">จะต้องผ่านการพิจารณาจริยธรรมวิจัยในคนและมีเลขที่รับรองก่อนตีพิมพ์</span></strong></p> Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang th-TH วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ 1906-1919 <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือก่อนเท่านั้น</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p>&nbsp;&nbsp; อนึ่ง ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ถือเป็นความเห็นของวารสารฯ และวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อความและข้อคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไขหรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> ภูมิคุ้มกันบำบัดแบบมุ่งเป้า https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/280328 <p> ภูมิคุ้มกันบำบัดแบบมุ่งเป้าเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการรักษามะเร็ง โดยอาศัยการปรับระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถจดจำและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง เป็นการลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติ และเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากเอกสารวิชาการมากกว่า 100 เรื่อง ซึ่งคัดสรรเนื้อหาที่สำคัญเพื่ออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยกล่าวถึงกลไกการออกฤทธิ์การประยุกต์ใช้ทางคลินิกในมะเร็งชนิดต่าง ๆ ผลลัพธ์การรักษาที่สำคัญ ข้อจำกัด ความท้าทาย ตลอดจนแนวโน้มในอนาคต ข้อมูลปัจจุบันชี้ว่าภูมิคุ้มกันบำบัดแบบมุ่งเป้าสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่ายังมีปัญหา ได้แก่ การดื้อยา ผลข้างเคียง และการขาดตัวบ่งชี้ทำนายผล แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์ ปัญญาประดิษฐ์ และวัคซีนเฉพาะบุคคล ทำให้ภูมิคุ้มกันบำบัดแบบมุ่งเป้ามีศักยภาพที่จะกลายเป็นแนวทางหลักของการรักษาโรคมะเร็งอย่างแม่นยำได้ในอนาคตอันใกล้</p> ธนูศักดิ์ ตาตุ ยุพาลภัส สุภาเลิศภูรินทร์ วัชรพงษ์ จักรน้ำอ่าง ยุทธนา หมั่นดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-20 2025-11-20 12 2 e280328 e280328 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชน ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/279040 <p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 183 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วยปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจและสังคม การสนับสนุนทางสังคมจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ความเครียด และคุณภาพชีวิตการทำงาน ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1 ค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.92 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง 10 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมานโดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกเชิงพหุ <br /> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีภาวะหมดไฟในการทำงานอยู่ในระดับสูง จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 (95% CI:0.24 – 0.37) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชน ได้แก่ คุณภาพชีวิตการทำงานพบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนที่มีโอกาสในการพัฒนาความสามารถของบุคคลระดับต่ำและปานกลาง (AOR= 7.07, 95% CI: 2.99 - 16.72, p value&lt;0.001) ผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนที่มีความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวระดับต่ำและปานกลาง (AOR = 2.89, 95% CI: 1.07 - 7.77, p value&lt;0.001) ซึ่งการพัฒนาความสามารถของบุคคลและความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน ดังนั้นควรสนับสนุนผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขชุมชนในด้านการพัฒนาความสามารถของบุคคล และความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อไม่ให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน</p> สุภาพร บุญเทพ นครินทร์ ประสิทธิ์ คณิต ทิพย์ฤาตรี ณัฐพล โยธา พีรยุทธ แสงตรีสุ วรัญญู พอดี เพ็ญวิภา นิลเนตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-04 2025-11-04 12 2 e279040 e279040 ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักศึกษา หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (สำหรับผู้สำเร็จปริญญาตรีสาขาอื่น) คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/280476 <p> การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์แบบพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วยปัจจัยส่วนบุคคล ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (สำหรับผู้สำเร็จปริญญาตรีสาขาอื่น) คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 23 คน เก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูล แบบประเมินแรงจูงใจในการเรียน แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินเท่ากับ .82, .81 และ .80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติอนุมานไคสแควร์ และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<br /> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในการเรียนอยู่ในระดับสูง และมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับปานกลาง รวมทั้งมีความพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาอยู่ในระดับน้อย นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่า ผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรปริญญาตรีของผู้เข้าศึกษามีความสัมพันธ์กับระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมของผลการเรียนตลอดชั้นปีที่ 1 ในระดับปานกลาง (r=.547, p = .007) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้นควรเปิดกว้างคุณสมบัติผู้เข้าศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตเป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยพิจารณานำผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรปริญญาตรี ตั้งแต่ 3.00 ขึ้นไป มาเป็นเกณฑ์รับนักศึกษาใหม่ซึ่งมีแนวโน้มของการบรรลุผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ในระดับสูง ควบคู่กับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง </p> นิธิมา สุภารี อรจิรา วรรธนะพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-21 2025-11-21 12 2 e280476 e280476 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมสุขภาพ รอบเอว ค่าดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมัน และระดับค่าความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลป่าแดด จังหวัดเชียงราย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/281211 <p> การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมสุขภาพ รอบเอว ค่าดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมัน และระดับค่าความดันโลหิต ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลป่าแดด จังหวัดเชียงราย จำนวน 52 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 26 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการจัดการตนเอง ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 2) แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ที่ได้ดัชนีความตรงของเนื้อหาเท่ากับ .96 ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .71 3) เครื่องวัดความดันโลหิตชนิดดิจิตอล และ 4) เครื่องชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงแบบอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ paired t-test, independent t-test และ Mann-Whitney U test<br /> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองมีค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพหลังได้รับโปรแกรม (Mean = 71.62, S.D. = 7.80) สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (Mean = 68.23, S.D. = 6.11) และสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลตามปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ค่าเฉลี่ยรอบเอว ดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมัน ระดับค่าความดันโลหิตซิสโตลิค หลังเข้าร่วมโปรแกรมต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรม นอกจากนี้ระดับค่าความดันโลหิตซิสโตลิคต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนค่าเฉลี่ยรอบเอว ดัชนีมวลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมันและระดับค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิค หลังได้รับโปรแกรมในกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน ผลของโปรแกรมจัดการตนเองมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น ช่วยให้ลดความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูงได้</p> อรณิชชา จันโย ธีรพันธ์ จันทร์เป็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-14 2025-11-14 12 2 e281211 e281211 ผลของโปรแกรมการเรียนรู้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานต่อความรู้ ทักษะ และความมั่นใจ ของนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/283328 <p> ภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลในประเทศไทยมีอัตราการรอดชีวิตต่ำเพียงร้อยละ 2.00–8.00 ในขณะที่การช่วยฟื้นคืนชีพโดยผู้พบเห็นเหตุการณ์สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ 2–3 เท่า การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดซ้ำครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเรียนรู้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานแบบกดหน้าอกเท่านั้นต่อความรู้ ทักษะ ความมั่นใจ และการคงอยู่ของทั้งความรู้ ทักษะ และความมั่นใจในนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง 60 คน เข้าร่วมโปรแกรมระยะเวลา 90–120 นาที ประกอบด้วย การบรรยาย การสาธิต และการฝึกปฏิบัติแบบกลุ่มย่อย ทำการประเมินผลใน 4 ช่วงเวลา คือ ก่อนอบรม (T0) หลังอบรมทันที (T1) 1 เดือน (T2) และ 3 เดือนหลังอบรม (T3) และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Linear Mixed-Effects Model<br /> ผลการวิจัยพบว่าคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (5.80 ± 2.10 เป็น 12.40 ± 1.80, p &lt; 0.001) โดยมีอัตราการคงอยู่ร้อยละ 87.90 ที่ 1 เดือน และร้อยละ 74.20 ที่ 3 เดือน ทักษะการกดหน้าอกพัฒนาขึ้นทุกตัวชี้วัด โดยความลึกมีความถูกต้องเพิ่มจากร้อยละ 12.30 เป็น 68.50 อัตราการกดจากร้อยละ 22.50 เป็น 76.80 และการคลายตัวสมบูรณ์จากร้อยละ 35.20 เป็น 82.30 (p &lt; 0.001) อัตราการคงอยู่ที่ 1 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 76.50, 83.70 และ 86.90 ตามลำดับ ที่ 3 เดือน ความลึกของการกดลดลงเหลือร้อยละ 60.10 ความมั่นใจเพิ่มขึ้นจาก 18.30 ± 5.20 เป็น 39.70 ± 4.60 (p &lt; 0.001) โดยมีอัตราการคงอยู่ร้อยละ 91.20 ที่ 1 เดือน และร้อยละ 81.90 ที่ 3 เดือน สรุปได้ว่า โปรแกรมมีประสิทธิผลในการพัฒนาความรู้ ทักษะ และความมั่นใจ พร้อมทั้งการคงอยู่ในระดับที่ดี ควรมีการทบทวนทักษะทุก 3 เดือนเพื่อรักษาคุณภาพการกดหน้าอก</p> สืบตระกูล ตันตลานุกุล พรกมล วิศว์วิสุทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 12 2 e283328 e283328