วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss
<p> <strong> วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ</strong> เป็นวารสารรายหกเดือนหรือครึ่งปี กำหนดการออกวารสาร ฉบับ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม). วารสารมีนโยบายการเผยแพร่บทความที่มีคุณภาพด้านสุขภาพ ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ซึ่งนิพนธ์โดยพยาบาล แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ซึ่งปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข สาธารณสุขชุมชน อนามัยสิ่งแวดล้อม และบทความด้านการพยาบาลทั่วไป ทฤษฎีการพยาบาลและการวิจัยการพยาบาลขั้นสูงและการพยาบาลเฉพาะทาง โดยมีผู้นิพนธ์จากทั้งภายในและภายนอกสถาบัน รับบทความประเภท บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ บทวิจารณ์หนังสือ และบทวิจารณ์บทความ</p> <p> บทความที่เสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ <span style="text-decoration: underline;"><strong>โดยทุกบทความผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบันที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะการดำเนินการปกปิดชื่อของผู้วิจัย แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ (<u>double-blinded review system </u>) อย่างน้อยจำนวน 2 ท่าน โดยตั้งแต่วารสารปีที่ 10 ฉบับที่ 2 วารสารมีผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความ 3 ท่านทุกบทความ และเผยแพร่ 2 ครั้งต่อปีในเดือนมกราคมและกรกฎาคม</strong></span></p> <p> บทความวิจัยที่จะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ<strong><span style="text-decoration: underline;">จะต้องผ่านการพิจารณาจริยธรรมวิจัยในคนและมีเลขที่รับรองก่อนตีพิมพ์</span></strong></p>
Boromarajonani College of Nursing, Nakhon Lampang
th-TH
วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ
1906-1919
<p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือก่อนเท่านั้น</p> <p> เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p> อนึ่ง ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ถือเป็นความเห็นของวารสารฯ และวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อความและข้อคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไขหรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด</p>
-
ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/268175
<p> การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง ในรายวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ 2 ของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่าง ผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้นปีที่ 3 ที่ผ่านการสอบภาคทฤษฎีรายวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ 2 จำนวน 11 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพยาบาลได้ระบุว่าการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลอง 1) มีวัตถุประสงค์ของการเรียนสอดคล้องกับรายวิชา 2) เป็นการพัฒนาความรู้และทักษะปฏิบัติทางการพยาบาล 3) เป็นการเรียนที่สนุก ไม่น่าเบื่อต้องตื่นตัวตลอดเวลา 4) มีการจำลองอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ 5) มีเทคนิคการสอนการที่กระตุ้นการเรียนรู้ ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น 6) มีการสรุปผลการเรียนรู้การสะท้อนคิดและประสบการณ์เชื่อมโยงความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ 7) ส่งเสริมทักษะที่ไม่ใช่การปฏิบัติการพยาบาลได้แก่การทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร และ 8) ส่งเสริมการตัดสินใจทางการพยาบาลและลดความวิตกกังวลขณะให้การพยาบาล นอกจากนั้นให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอุปกรณ์และขั้นตอนการดำเนินการทั้งด้านผู้เรียนและผู้สอน</p> <p> </p>
ภารดี ชาวนรินทร์
สมฤดี กีรตวนิชเสถียร
ฉัตรฤดี ภาระญาติ
เจือจันทน์ เจริญภักดี
ทิพพาพรรณ เดียวประเสริฐ
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-28
2024-08-28
11 2
1
14
-
การประเมินระดับเสียงรบกวนและการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินการสัมผัสเสียงรบกวนของคนงานในโรงสีข้าวชุมชนในจังหวัดมหาสารคาม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/267839
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับเสียงรบกวนในพื้นที่ในโรงสีข้าวชุมชนและประเมินการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินของคนทำงานในโรงสีข้าวชุมชน ข้อมูลส่วนส่วนบุคคล โดยใช้แบบสอบถาม วัดระดับเสียงรบกวนในพื้นที่ทำงานโดยใช้ Sound level meter และวัดสมรรถภาพการได้ยินโดยใช้ Audiometer ทำการเก็บตัวอย่างในระหว่างเดือนมกราคม -มิถุนายน พ.ศ. 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ binary logistic regression</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความดังเสียงรบกวนเฉลี่ยตลอดระยะเวลาทำงานของโรงสีข้าวชุมชนอยู่ในช่วงระหว่าง 85.2 – 93.5 เดซิเบล เอ กลุ่มตัวอย่างที่ทำงานในโรงสีข้าวชุมชน สูญเสียสมรรถภาพการได้ยิน ร้อยละ 40.6 โดยสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินที่ความถี่ 4000 – 8000 Hz ร้อยละ 18.8 และ สูญเสียสมรรถภาพการได้ยินทั้งสองช่วงความถี่คือ สูญเสียสมรรถภาพการได้ยินที่ความถี่ 500 – 3,000 Hz และ 4000 – 8000 Hz ร้อยละ 21.8 และพบว่าการสูญเสียสมรรถภาพการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับกลุ่มที่ไม่ได้ทำงานในโรงสีข้าวปัจจัยที่มีผลต่อการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินพบว่า อายุมีความสัมพันธ์กับการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95%CI = 1.11-10.61) ในขณะที่กลุ่มที่รับสัมผัสเสียงรบกวน โรคประจำตัว การสูบบุหรี่ ไม่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยิน</p>
จักรกฤษ เสลา
มงคล รัชชะ
อนุ สุราช
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-08-29
2024-08-29
11 2
15
27
-
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาวัยรุ่น ต่อการรับรู้ความสามารถและพฤติกรรมการให้นมแม่ในทารกแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด โรงพยาบาลลำปาง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/269250
<p> การวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาวัยรุ่นในการให้นมแม่ ต่อการรับรู้ความสามารถและพฤติกรรมการให้นมแม่แก่ทารกเกิดก่อนกำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ มารดาวัยรุ่นที่คลอดทารกก่อนกำหนดจำนวน 28 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาวัยรุ่นในการให้นมแม่ แบบสอบถามพลังอำนาจมารดาวัยรุ่นและการรับรู้ความสามารถ และแบบประเมินพฤติกรรมการให้นมแม่ แก่ทารกเกิดก่อนกำหนด ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ มีความเที่ยงเท่ากับ .81 และ .80 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย และสถิติทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) ค่าเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถของมารดาวัยรุ่นที่มีทารกเกิดก่อนกำหนดหลังการทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถของมารดาวัยรุ่นที่มีทารกเกิดก่อนกำหนดหลังการทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการให้นมแม่ของมารดาวัยรุ่นที่มีทารกเกิดก่อนกำหนด หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) หลังการทดลองค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการให้นมแม่ของมารดาวัยรุ่นในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ดังนั้นโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจมารดาวัยรุ่น ต่อการรับรู้ความสามารถ และพฤติกรรมการให้นมแม่ทารกเกิดก่อนกำหนดสามารถนำไปใช้ในการจัดการทางการพยาบาลเพื่อเพิ่มการรับรู้สมรรถนะของมารดาวัยรุ่นในการให้นมแม่แก่ทารกที่เกิดก่อนกำหนดได้</p>
ไฉไล ผาเงิน
ชัชชฎาภร พิศมร
วรรณ์วิการ์ ใจกล้า
อนงค์พร อุปสิทธิ์
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-12
2024-10-12
11 2
28
45
-
ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุไทยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ที่ฟอกไตทางช่องท้อง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/271022
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกไตทางช่องท้อง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีอายุ 60 ปีจำนวน 100 คน ขึ้นไป รับการรักษาด้วยวิธีการฟอกไตทางช่องท้อง และเข้ารับบริการที่คลินิกฟอกไต 6 แห่ง ในจังหวัดพะเยา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางคลินิก และแบบวัดภาวะซึมเศร้า ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติเชิงพรรณนา สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน และสถิติไคสแควร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่ฟอกไตทางช่องท้องมีคะแนนของภาวะซึมเศร้าอยู่ในระดับที่คาดว่าอาจจะเกิดภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 43.00 และเกิดภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 5<strong> </strong>พบว่าตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่ฟอกไตทางช่องท้อง คือ อายุ และการติดเชื้อในช่องท้อง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>rs=0.20</em>, p < 0.05 และ <em>rs</em>=0.29, <em>p </em>< 0.01) ตามลำดับ รายได้ต่อเดือนมีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (𝑥<sup>2</sup>=49.00, <em>p<</em>.01) ผลการวิจัยนี้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะพึ่งพิงในการล้างไตทางช่องท้องและภาวะโรคร่วมกับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทยที่ฟอกไตทางช่องท้อง</p> <p> ข้อเสนอแนะ พยาบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุขควรมีการพัฒนาแนวปฏิบัติเพื่อลดความรุนแรง การเกิดภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ คัดกรองการเกิดภาวะซึมเศร้าในกลุ่มผู้สูงอายุที่ฟอกไตทางช่องท้องตั้งแต่เริ่มต้นการรักษาด้วยการฟอกไตทางช่องท้อง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง คือ อายุมาก มีประสบการณ์การติดเชื้อในช่องท้อง รายได้ต่อเดือนน้อย และมีภาวะพึ่งพิงในการล้างไตทางช่องท้อง เพื่อป้องกันการเกิดและลดความรุนแรงภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ในอนาคต</p>
วาสนา กันคำ
ชลธิมา ปิ่นสกุล
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-10-22
2024-10-22
11 2
46
60
-
การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมุทรปราการ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/267105
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์ ปัญหาการดำเนินงาน พัฒนาแนวปฏิบัติ และประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ ดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 สังเคราะห์สภาพการณ์และปัญหา ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลโดยผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาล ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้บริหาร ดำเนินการเดือนกันยายน 2565 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2566 ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">หน่วยงานมีแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามความรู้และประสบการณ์ ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะที่ชัดเจน</li> <li class="show">แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ ประกอบด้วย การประเมินข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยบาดเจ็บที่ศีรษะ การประเมินอาการทางระบบประสาท การประเมินอาการผิดปกติอื่นที่อาจพบร่วมกับการบาดเจ็บที่ศีรษะ และการพยาบาลตามความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะ</li> <li class="show">ประสิทธิผลของแนวปฏิบัติการพยาบาลใหม่ คือ คะแนนการปฏิบัติของพยาบาลที่ปฏิบัติถูกต้องในการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการใช้แนวปฏิบัติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คะแนนการสังเกตปฏิบัติของพยาบาลที่ปฏิบัติถูกต้องในการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ พบว่าค่าคะแนนในการปฏิบัติหลังการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าก่อนการใช้แนวปฏิบัติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </li> <li class="show">ได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการขยายแนวปฏิบัตินี้ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการดูแลผู้ปาวยบาดเจ็บที่ศีรษะเพื่อเพิ่มคุณภาพการดูแล คุณภาพชีวิตผู้ป่วย ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนและความพิการ</li> </ol>
จุฑามาศ สมร่าง
สืบตระกูล ตันตลานุกุล
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-01
2024-11-01
11 2
61
80
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกหลังคลอดของมารดาวัยรุ่น ในจังหวัดนครสวรรค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/271966
<p> การศึกษาเชิงทำนายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์และความสามารถในการทำนายปัจจัยที่เลือกสรรต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวของมารดาหลังคลอดวัยรุ่น ในจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 166 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากทะเบียนประวัติมารดาหลังคลอด รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 6 ฉบับประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และการรับรู้ถึงการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบของวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ไคสแคว์ และสถิติถดถอยโลจิสติก</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวของมารดาหลังคลอดวัยรุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (OR = 4.24, 95%CI = 1.61, 11.19, p =.004) รายได้ครอบครัว (OR = 2.59, 95%CI = 1.02, 6.57 p =.045) ความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (OR = 2.43, 95%CI = 1.06, 5.57, p =.035) ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (OR = 3.36, 95%CI = 1.42, 7.97, p =.006) การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (OR = 2.79, 95%CI = 1.19, 6.55, p =.019) และการรับรู้ความสามารถในการควบคุมตนเอง (OR = 3.47, 95%CI = 1.41, 8.58, p =.007) ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันทำนายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวของมารดาหลังคลอดวัยรุ่นได้ 42% (Nagelkerke R2 = 0.42) การค้นพบนี้อาจช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพพัฒนากิจกรรมและกลยุทธ์ในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวโดยการเพิ่มความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง และการรับรู้ความสามารถในการควบคุมตนเองในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</p>
สุดกัญญา ปานเจริญ
ชุติมา บูรณธนิต
พรวิไล คล้ายจันทร์
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-05
2024-11-05
11 2
81
97
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอายุ 30 - 70 ปี ในเขตความรับผิดชอบของศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาลนครนนทบุรีที่ 2 สวนใหญ่
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/271325
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีอายุ 30-70 ปี ในเขตความรับผิดชอบของศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาลนครนนทบุรีที่ 2 สวนใหญ่ โดยใช้กรอบแนวคิด PRECEDE Framework ของ Green & Kreuter กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีอายุระหว่าง 30-70 ปี จำนวน 403 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตร KR-20 มีค่าเท่ากับ 0.85 และวิธีอัลฟาของครอนบาคได้ค่าเท่ากับ 0.73 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าไคสแควร์ และสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีระดับความรู้และการรับรู้อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเอง การรับรู้ประโยชน์การตรวจเต้านมด้วยตนเอง การรับรู้อุปสรรคของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง และการรับรู้ความสามารถในการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ร้อยละ 42.18, 48.64, 52.85 และ 66.50 ตามลำดับ 2) ปัจจัยเอื้อด้านความสะดวกเกี่ยวกับการตรวจเต้านมด้วยตนเองอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 67.00 3) ปัจจัยเสริมการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในเรื่องโรคมะเร็งเต้านมและการตรวจเต้านมด้วยตนเองอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 39.36 4) กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอหรือมีความถี่ในการตรวจเต้านมด้วยตนเองจำนวน 1 ครั้งต่อเดือนหรือมากกว่า ร้อยละ 30.63 5) อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><0.05) ปัจจัยความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.101, <em>p</em><0.05) และปัจจัยเสริมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.127, <em>p</em><0.01) จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรมีการวางแผนส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุม</p> <p> </p>
กัลยา ธัญญะวัน
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-05
2024-11-05
11 2
98
115
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เข้าสู่เบาหวานระยะสงบ อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง หน่วยงานคลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเกาะคา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/273003
<p> การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เข้าสู่เบาหวานระยะสงบ ใช้วิธีกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด น้อยกว่าร้อยละ 6.5 และใช้ยาเบาหวานชนิดรับประทานที่มารับการรักษา ณ คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเกาะคา อ.เกาะคา จ.ลำปาง จำนวน 29 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ผู้วิจัยพัฒนามาจากการทบทวนวรรณกรรม ส่วนที่ 2 คือเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ แบบบันทึกค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ค่าน้ำหนัก ค่ารอบเอว และค่าดัชนีมวลกาย การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired t-test</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพ ค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด ค่าน้ำหนัก ค่ารอบเอว และค่าดัชนีมวลกายก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value เท่ากับ 0.001, 0.042, 0.001, 0.022 และ 0.010 ตามลำดับ) ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมปรับพฤติกรรมสุขภาพ มีประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ระยะสงบ นอกจากนี้บุคลากรสุขภาพควรมีการติดตามผู้ป่วยเบาหวานที่เข้าสู่เบาหวานระยะสงบอย่างต่อเนื่อง โดยการเยี่ยมบ้าน หรือการติดตามในชุมชนวิธีอื่น เช่น วิธี 3 หมอ เพื่อให้ผู้ป่วยคงอยู่ในระยะสงบและป้องกันภาวะแทรกซ้อน</p>
สมเพ็ชร ขัดทะเสมา
ณัฏฐ์ฐภรณ์ ปัญจขันธ์
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-05
2024-11-05
11 2
116
133
-
ผลของการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจต่อความเข้มแข็งทางใจของผู้ใหญ่วัยทำงาน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/270986
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม เพื่อศึกษาผลของการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจต่อความเข้มแข็งทางใจของผู้ใหญ่วัยทำงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ใหญ่วัยทำงาน ตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยวิธีการจับสลากเลือก 1 ตำบล จากทั้งหมด 17 ตำบล จำนวน 36 ราย กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ ซึ่งประกอบด้วย 10 กิจกรรม จำนวน 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และแบบประเมินความเข้มแข็งทางใจ ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.72 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติทีแบบจับคู่</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยความเข้มแข็งทางใจของผู้ใหญ่วัยทำงานหลังได้รับโปรแกรมสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจสามารถเพิ่มความเข้มแข็งทางใจได้ ส่งผลดีต่อภาวะสุขภาพจิต และความผาสุก ดังนั้น สามารถนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติในการพัฒนาโปรแกรมหรือกิจกรรมในการดูแลสุขภาพจิตของผู้ใหญ่วัยทำงานให้สามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้</p>
นิรนาท วิทยโชคกิติคุณ
นิศานาถ ทองใบ
กาญจนาณัฐ ทองเมืองธัญเทพ
จุฑารัตน์ สว่างชัย
กาญเขตร์ ทรัพย์สอาด
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-06
2024-11-06
11 2
134
147
-
การพัฒนาคุณภาพการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤตในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 2 โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/272377
<p> ผู้ป่วยเด็กที่รักษาตัวในโรงพยาบาลมักมีอาการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้ง่ายและรวดเร็ว ตลอดเวลา ดังนั้นการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤตในผู้ป่วยเด็กจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การศึกษาเชิงพัฒนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 2 โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ โดยใช้วงจร พี ดี ซี เอ (PDCA) ของเดมมิ่ง เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษา ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (plan) การปฏิบัติ (do) การตรวจสอบผลการปฏิบัติ (check) และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (act) ประชากรในการศึกษาครั้งนี้คือ พยาบาลวิชาชีพจำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการศึกษา ได้แก่ 1) แนวทางการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤตในหอผู้ป่วยโดยปรับปรุงจากเครื่องมือ ประเมินและเฝ้าติดตามอาการผู้ป่วยเด็กที่เริ่มมีอาการทรุดลง (Pediatric Early Warning Signs: PEWS) 2) แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ และ3) แบบบันทึกอุบัติการณ์ภายในหอผู้ป่วย ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (content validity index: CVI) ของแบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติในหอผู้ป่วย เท่ากับ 0.99 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ภายในชั้น (intraclass correlation coefficient : ICC) เท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า พยาบาลมีการปฏิบัติกิจกรรมตามแนวทางการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติของผู้ป่วยเด็กได้ถูกต้องครบถ้วน ร้อยละ 84.75 และไม่พบว่ามีรายงานผู้ป่วยเด็กเกิดอุบัติการณ์ ภาวะหายใจล้มเหลว การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติโดยไม่ได้วางแผน และการเสียชีวิต ในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม 2 โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ในช่วงระยะเวลาการเก็บข้อมูล</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการ พี ดี ซี เอ (PDCA) เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติของผู้ป่วยเด็กในหอผู้ป่วย โดยทำให้ได้แนวทางในการดูแลผู้ป่วยเด็กก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติที่เหมาะสมและผู้บริหารควรส่งเสริมให้พยาบาลปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการดูแลก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติของผู้ป่วยเด็ก</p> <p><strong> </strong></p>
โสภิดา ตันหิง
สมใจ ศิระกมล
ชญาภา แสนหลวง
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-07
2024-11-07
11 2
148
162
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้ การรับรู้ความสามารถ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยสูงอายุที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johss/article/view/273451
<p> การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความรู้ การรับรู้ความสามารถ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยสูงอายุที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก โรงพยาบาลลำปาง จำนวน 30 คน เครื่องมือการวิจัย คือ 1) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และ 2) เครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 2.1) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล 2.2) แบบสัมภาษณ์ความรู้ในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม 2.3) แบบสัมภาษณ์การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม 2.4) แบบสัมภาษณ์พฤติกรรมการดูแลตนเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาค่า IOC ระหว่าง .67 – 1.00 แบบสอบถามความรู้ มีค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตร K-R 20 เท่ากับ .74 แบบสอบถามการรับรู้ความสามารถตนเอง และแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง มีค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .84 และ .72 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ สถิติ Wilcoxon signed Ranks Test </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในผู้ป่วยสูงอายุที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการดูแลตนเอง การรับรู้ความสามารถในการดูแลตนเอง และพฤติกรรมการดูแลตนเอง สูงกว่าก่อนใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 พยาบาลสามารถใช้แนวทางในการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดพฤติกรรมการฟื้นตัวหลังผ่าตัดที่ดี และสามารถกลับไปปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด</p> <p> </p>
ศิริพร ไชยคำ
พรรณี ไพศาลทักษิน
Copyright (c) 2024 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-11-08
2024-11-08
11 2
163
176