https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/issue/feed
วารสารสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
2025-06-30T01:08:03+07:00
Rungrudee Wongchum
wongchum@hotmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือเป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯสาขาภาคเหนือ ได้รับการรับรองให้อยู่ในฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้นงานวิจัย ผลงานวิชาการ และการอ้างอิงของบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการไทย (Thai-Journal Citation Index, TCI) กลุ่มที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและความก้าวหน้าของวิชาชีพการพยาบาล เป็นสื่อกลางให้ทราบถึงข้อมูล สถานภาพ และเกียรติศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ เป็นศูนย์กลางรวบรวมและเผยแพร่ความคิดของมวลสมาชิก เสริมสร้างความแข็งแกร่งแห่งวิชาชีพ ก่อให้เกิดพลังสามัคคีสัมพันธภาพอันดีระหว่างมวลสมาชิก และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญขององค์กรวิชาชีพพยาบาล</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/277374
การพัฒนาคุณภาพการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง หอผู้ป่วยวิกฤตโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
2025-02-22T00:39:31+07:00
คนึงนิจ กลัดสุข
nong.kldsuk@gmail.com
อภิรดี นันท์ศุภวัฒน์
apiradee.n@cmu.ac.th
เพชรสุนีย์ ทั้งเจริญกุล
petsunee@gmail.com
<p>การศึกษาเชิงพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดยใช้กระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโฟกัสพีดีซีเอ (FOCUS PDCA) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยวิกฤตโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จำนวน 13 คน แบ่งเป็นทีมพัฒนา จำนวน 3 คน ทีมปฏิบัติ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์แบบกลุ่มโฟกัส แบบสังเกตและตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และแบบบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ตัวชี้วัดการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตแบบบรรยาย ใช้ความถี่ และร้อยละ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า จากการปฏิบัติของพยาบาลจำนวน 10 คน ใช้แนวปฏิบัติถูกต้องในการดูแลผู้ป่วย 24 ราย คิดเป็นร้อยละ 87.5 และการศึกษาตัวชี้วัดผู้ป่วยจาก 24 รายพบว่าผู้ป่วยได้รับการประเมินปวด ความวิตกกังวลและความพึงพอใจ คิดเป็น ร้อยละ 100 รวมทั้งมีการจัดการอาการปวดและความวิตกกังวล ผู้ป่วยและญาติมีความพึงพอใจต่อการดูแลแบบประคับประคอง</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในหน่วยงานอื่นต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/277574
ความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมอง ที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ
2025-03-22T15:11:01+07:00
จันทร์ฉาย กันไชย
janchai.kanchai@cmu.ac.th
นงลักษณ์ อินตา
nonglakinta@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ และเปรียบเทียบความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองระดับรุนแรงเล็กน้อย และระดับรุนแรงปานกลางถึงมาก เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ถึง มกราคม 2567 กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจง เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางกฎหมายหรือเครือญาติที่มีความผูกพันใกล้ชิด และเป็นผู้ดูแลหลักผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมอุบัติเหตุ หอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมประสาท และหอผู้ป่วยหนักศัลยกรรมประสาท อย่างน้อย 24 ชั่วโมง จำนวน 205 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบรวบรวมข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมอง แบบรวบรวมข้อมูลทั่วไปของสมาชิกครอบครัว แบบสอบถามความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองระยะวิกฤต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ สถิติทดสอบแมนวิทนียู</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"><span class="fontstyle0">ผลการศึกษาพบว่าสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาล ระดับตติยภูมิ มีความต้องการโดยรวมของสมาชิกครอบครัวอยู่ในระดับมาก (</span><span class="fontstyle2">ˉ</span><span class="fontstyle0">x= 3.5, S.D.= 0.28) และความต้องการ รายด้าน ได้แก่ ความต้องการด้านข้อมูลข่าวสาร (<span class="fontstyle2">ˉ</span>x</span><span class="fontstyle0">= 3.7, S.D.= 0.26) ความต้องการด้านจิตสังคม (</span><span class="fontstyle2">ˉ</span><span class="fontstyle0">x= 3.62, S.D.= 0.35) และ ความต้องการด้านจิตวิญญาณ (<span class="fontstyle2">ˉ</span>x</span><span class="fontstyle0">= 3.43, S.D.= 0.49) อยู่ในระดับมาก ขณะที่ความต้องการด้านร่างกาย</span> <span class="fontstyle0">อยู่ในระดับปานกลาง (<span class="fontstyle2">ˉ</span>x= 3.25</span><span class="fontstyle0">, S.D.= 0.55)</span> โดยความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยบาดเจ็บที่สมองระดับรุนแรงเล็กน้อย และระดับรุนแรงปานกลางถึงมาก แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p>.05) </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการศึกษานี้สนับสนุนการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยมิติจิตวิญญาณ ในการส่งเสริมปฎิสัมพันธ์ที่เอื้อต่อการเยียวยาระหว่างทีมผู้ให้บริการ ผู้ป่วย และครอบครัว และพยาบาลในหอผู้ป่วยวิกฤตควรให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ตรงกับความต้องการของสมาชิกครอบครัวผู้ป่วยมากที่สุด</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/277350
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยทวารเทียมรายใหม่ จังหวัดลำพูน
2025-05-13T23:59:37+07:00
ศศิธร พิชัยพงศ์
nurselamphun66@gmail.com
โสภา บัวงาม
fonSopabuangam@hotmail.com
<p>การวิจัยเพื่อพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยทวารเทียมรายใหม่ จังหวัดลำพูน และศึกษาผลของการปฏิบัติการพยาบาลตามรูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยทวารเทียมรายใหม่ ต่ออัตราการเกิดแผลเปื่อยรอบทวารเทียม อัตรากลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำจากภาวะแทรกซ้อนในการดูแลทวารเทียม อัตราการกลับมารับการสอนการดูแลทวารเทียมซ้ำ ความรู้เรื่องการดูแลทวารเทียมและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง วิธีการดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะพัฒนา กำหนดประเด็นปัญหา ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำสาระสำคัญจากการทบทวนที่มีบริบทคล้ายคลึงกันร่างรูปแบบการพยาบาลใหม่ นำมาตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินด้วยโดยใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพแนวปฏิบัติทางคลินิก (Agree II) ได้คะแนนร้อยละ 70.67 ระยะทดลองใช้ในกลุ่มผู้ป่วยทวารเทียมที่ผ่าตัดใหม่ที่โรงพยาบาลจังหวัดลพูน และผู้ป่วยรายใหม่ที่ได้รับการผ่าตัดทวารเทียมจากโรงพยาบาลอื่นแต่มารับบริการที่โรงพยาบาลลำพูน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการประมาณสัดส่วน ตามสูตรของ Cochran จำนวนกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 56 ราย เก็บข้อมูลในช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ระยะสรุปผล วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละและความถี่ เปรียบเทียบโดยใช้สถิติวิจัย Paired T test และ Independent T-Test </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยทวารเทียมรายใหม่ประกอบด้วย 1) เปิดให้บริการคลินิกออสโตมี 2) จัดระบบการให้บริการได้แก่การพยาบาลก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด วางแผนจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่อง 3) จัดทำแนวทางการดูแลทวารเทียมและการสำรองอุปกรณ์พิเศษในการดูแลทวารเทียม 4) จัดระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อเก็บฐานข้อมูล 5) ให้สุขศึกษาและวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโดยพยาบาลเฉพาะทางในการดูแลทวารเทียม 6) เชื่อมโยงเครือข่ายเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการส่งตัวผู้ป่วยกลับสู่ชุมชน ผลการใช้รูปแบบพบว่า การเกิดแผลเปื่อยรอบทวารเทียมลดลงจากค่าเฉลี่ย 0.14 เหลือ 0.04 ( p < .05) การกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำจากภาวะแทรกซ้อนในการดูแลทวารเทียมลดลงจาก ค่าเฉลี่ย 0.44 เหลือ 0.00 การกลับมารับการสอนการดูแลทวารเทียมซ้ำ ลดลงจากค่าเฉลี่ย 0.89 เหลือ 0.00 ทุกหัวข้อแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ค่า p < .05 ความรู้ความเข้าใจในการดูแลทวารเทียมเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทวารเทียม การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การออกกำลังกาย และอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ ทุกหัวข้อค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น (p < .01)</p> <p>ข้อเสนอแนะ การศึกษานี้มีความเฉพาะเจาะจง ผู้ใช้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยทวารเทียม ได้แก่ พยาบาลเฉพาะทางในการดูแลทวารเทียม จึงควรเพิ่มแนวทางนำไปใช้สำหรับพยาบาลวิชาชีพทั่วไป และเพิ่มช่องทางการให้คำปรึกษาในการใช้รูปแบบการพยาบาลทวารเทียม จากพยาบาลเฉพาะทางในการดูแลทวารเทียม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการสื่อสาร จะช่วยให้การทำงานสะดวก และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/278390
ผลของโปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
2025-04-02T00:58:54+07:00
สุรินทร์ มากไมตรี
surin0806@yahoo.com
<p><span class="fontstyle0">การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถ ของตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มา รับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอำเภอลำลูกกา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่ายด้วยการจับ สลากเลือกหมู่บ้านและผู้ป่วยเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมสุขศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) เครื่องมือในการทดลองคือโปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ใช้ ทฤษฎีความสามารถของตนเอง ที่ผู้วิจัยพัฒนามาจากงานวิจัยการรับรู้ความสามารถของตนเอง 2) เครื่องมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป การรับรู้ความสามารถของตนเองและพฤติกรรมการดูแลตนเองของ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หาค่าความเที่ยงได้ เท่ากับ .88 และ .83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบที</span></p> <p><span class="fontstyle0">ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของการรับรู้ความสามารถของตนเอง (ˉ<span class="fontstyle1">x</span></span><span class="fontstyle0">= 83.56, S.D. = 4.43) และคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการดูแลตนเอง (ˉ<span class="fontstyle1">x</span></span><span class="fontstyle0">= 62.30, S.D. = 4.68) สูงกว่ากลุ่มควบคุม และมีคะแนนเฉลี่ย ของการรับรู้ความสามารถของตนเอง สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมสุขศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001</span></p> <p><span class="fontstyle0">ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถของตนเอง ส่งผล ให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น จึงควรนำโปรแกรมสุขศึกษานี้ ไปศึกษา เพื่อทดลองใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานกลุ่มอื่นต่อไป</span> </p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/278075
ผลของโปรแกรมการโค้ชด้านสุขภาพต่อระดับฮีโมโกลบินเอวันซีในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้
2025-03-26T00:51:30+07:00
บำเหน็จ แสงรัตน์
xbumnet@gmail.com
<p>การโค้ชด้านสุขภาพเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความรู้และทักษะโดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการโค้ชด้านสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ วิธีการศึกษาเป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อน–หลัง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยเบาหวานที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม จำนวน 76 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 38 คน และกลุ่มควบคุม 38 คน ระหว่างเดือนมกราคม–พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการโค้ชด้านสุขภาพ แบบประเมินความรู้การดูแลตนเอง สื่อการสอน คู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน แบบประเมินความพร้อมในการจำหน่ายจากโรงพยาบาล แบบประเมินข้อมูลส่วนบุคคล และเครื่องตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยการหาความตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ Mann-Whitney U test และ Wilcoxon signed rank test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม ระดับฮีโมโกลบินเอวันซีในกลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (Z = –2.41, p = .016) และภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีระดับฮีโมโกลบินเอวันซีต่ำกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญ (Z = –3.33, p = .001)</p> <p>ดังนั้น โปรแกรมการโค้ชด้านสุขภาพจึงมีประสิทธิภาพในการลดระดับฮีโมโกลบินเอวันซีในผู้ป่วยเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ และควรถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยบริการสุขภาพเพื่อส่งเสริมการควบคุมโรคเบาหวานในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/277843
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมสุขภาพ ในการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
2025-03-23T00:02:15+07:00
จรัสศรี อินทรสมหวัง
somja00@gmail.com
นฤมล พรหมภิบาล
2497naru@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตในการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาจำนวน 400 คนจากทุกคณะ ตั้งแต่ชั้นปีที่ 1–4 ที่ศึกษาในภาคปกติ ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสอบถามบุคลิกภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมในการป้องกันโควิด-19 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 61.20 มีอายุระหว่าง 15–20 ปี ร้อยละ 76.25 มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ร้อยละ 54.50 พักอาศัยอยู่บ้านพักนอกมหาวิทยาลัย ร้อยละ 61.80 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับมาก (Mean=3.84, S.D.=.51) มีบุคลิกภาพระดับมาก (Mean =3.70, S.D.=.57) มีพฤติกรรมสุขภาพระดับดีมาก (Mean= 3.62, S.D.=.54) ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพ ในการป้องกันโรคไวรัส โควิด-19 อยู่ในระดับปานกลาง (r=.375) และบุคลิกภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพ ในการป้องกันโรค ไวรัส โควิด-19 อยู่ในระดับปานกลาง (r=.387) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>จากการวิจัยครั้งนี้สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาอาจารย์และนักศึกษาการจัดการเรียนการสอนด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นแนวทางที่นักศึกษาได้รับการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ในการเรียนรู้ ทดลอง แก้ไข ปรับปรุง ให้การจัดการเรียนการสอนเกิดความก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อนักศึกษา</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnorthnurse/article/view/278877
ผลของการส่งเสริมแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในทารกแรกเกิด หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรมและทารกแรกคลอด โรงพยาบาลน่าน
2025-05-08T00:41:06+07:00
วศินี ธิวรรณลักษณ์
wasinee_thiwannalak@cmu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อการป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจต่อระดับความรู้และการปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพ และอุบัติการณ์ในการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยวิกฤติกุมารเวชกรรมและทารกแรกคลอด โรงพยาบาลน่าน การศึกษาแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นวางแผน ขั้นลงมือปฏิบัติ ขั้นสังเกต และขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 13 ราย และทารกแรกเกิด 70 ราย รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการศึกษา และ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ทีอิสระ และไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการใช้แนวปฏิบัติของพยาบาลวิชาชีพเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของพยาบาลวิชาชีพเกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ สูงกว่าก่อนการใช้แนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=7.104, p<.001) พยาบาลวิชาชีพมีการปฏิบัติที่ถูกต้องในภาพรวม สูงกว่าก่อนการส่งเสริมแนวปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (X<sup>2</sup>=251.682, p<.001) และอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในทารกแรกเกิด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (X<sup>2</sup>=3.231, p=.036) จากก่อนการส่งเสริมแนวปฏิบัติ 11.24 ครั้ง ต่อ 1,000 วันที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ลดลงเหลือ 3.46 ครั้ง ต่อ 1,000 วันที่ใส่ท่อช่วยหายใจ</p> <p>ดังนั้นการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในทารกแรกเกิด ทำให้พยาบาลวิชาชีพมีความรู้และการปฏิบัติที่ถูกต้องมากขึ้น และสามารถลดอุบัติการณ์การเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในทารกแรกเกิดได้</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สาขาภาคเหนือ