https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/issue/feed
วารสารโรงพยาบาลนครพิงค์
2025-11-14T00:00:00+07:00
Kijja Jearwattanakanok, M.D., Ph.D. (Clinical Epidemiology)
nkp.qc.r2r@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารโรงพยาบาลนครพิงค์ มีวัตถุประสงค์ ที่จะรับตีพิมพ์บทความที่มีคุณภาพในด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งภาษาไทยและอังกฤษ</p> <p>โรงพยาบาลนครพิงค์ เริ่มดำเนินการตีพิมพ์วารสารตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 เป็นต้นมา โดยมีกำหนดการออก<span style="font-weight: 400;">วารสารปีละ 2 ฉบับ และเพิ่มเป็นปีละ 3 ฉบับ (เดือนมกราคม – เมษายน, พฤษภาคม - สิงหาคม, กันยายน - ธันวาคม) เริ่มฉบับที่ 17, 2569 เป็นต้นไป</span></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/265873
ประสิทธิผลของการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกแบบเทคนิคใหม่ด้วยวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ (Ethibond) ในผู้ป่วยกระดูกไหปลาร้าหักส่วนปลายในโรงพยาบาลนครพิงค์: การศึกษาแบบนำร่อง
2025-03-21T10:00:53+07:00
นพรัตน์ รุจิวัฒนพงศ์
aeknopparat@hotmail.com
เฉลิมวุฒิ ปิยพัทธไชย์
Chaloemwut.piy@gmail.com
อธิพงศ์ กองฤทธิ์
aong_athipong@yahoo.co.th
อนุกูล นิรมิตรสันติพงศ์
goonortho@gmail.com
วรรธนัย อัตถากร
wattanai.att@gmail.com
ภาสกร วันทวิน
paowtw@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong>: การรักษาภาวะกระดูกไหปลาร้าส่วนปลายหักยังไม่มีวิธีการผ่าตัดที่เป็นมาตรฐาน การใช้โลหะหรือวัสดุยึดตรึงมีข้อจำกัดคือต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อนำโลหะหรือวัสดุออก มีหลักฐานจากต่างประเทศที่พบประสิทธิผลที่ดีในการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกแบบเทคนิคใหม่ด้วยวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ(Ethibond)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้เทคนิคใหม่ด้วยวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ(Ethibond) ในการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกไหปลาร้าส่วนปลายหัก</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong>: รูปแบบการศึกษานำร่อง pilot study ในผู้ป่วยกระดูกไหปลาร้าส่วนปลายหักทุกรายที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2564 ถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ.2566 รวม 22 ราย ได้รับการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกไหปลาร้าด้วยเทคนิคใหม่ด้วยวัสดุ Ethibond เข้ากับปุ่มกระดูกคอราคอยด์ (coracoclavicular- stabilization) ผลลัพธ์หลัก คือ อัตราการเชื่อมติดของกระดูก (union rate) และ ระยะเวลาในการเชื่อมติดของกระดูกไหปลาร้า (time-to-union) ผลลัพธ์รองได้แก่ coracoclavicular(CC) - distance, shoulder range of motion, DASH score, VAS score ที่ทำการวัดผลที่สัปดาห์ที่ 2, 6, 12, และ 24 และวัดภาวะแทรกซ้อน เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ วิเคราะห์ผลด้วยสถิติพรรณนา และ เปรียบเทียบผลลัพธ์ที่วัดซ้ำในผู้ป่วยแต่ละรายด้วยสถิติ mixed effect model</p> <p> <strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วย 22 ราย เป็นเพศชาย 15 คน(ร้อยละ68.2) อายุเฉลี่ย 43.64±13.61ปี ผ่าตัดด้านขวา 15 ราย (68.2%) หายไปจากการติดตามจำนวน 9 ราย (40.9%) ติดตามได้ 13 ราย พบว่าทุกราย มี clinical union โดย Time-to-union คือ 12 สัปดาห์ ส่วน radiographic union พบทั้งสิ้น 13 ราย จากที่มา x-ray ทั้งหมด 13 ราย ในสัปดาห์ที่ 12 ค่า VAS score และ DASH score มีค่าเท่ากับ 0 ที่หลังผ่าตัด 12 สัปดาห์ ค่าพิสัยมุมการขยับข้อไหล่ flexion, extension, abduction, adduction, การหมุนเข้าและออก, CC-distance ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์เป็นต้นไป ไม่พบมีภาวะแทรกซ้อน หรือ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการผ่าตัด </p> <p><strong>สรุปผลการวิจัย:</strong> การยึดตรึงกระดูกไหปลาร้าหักส่วนปลายด้วย Ethibond พบว่ามีประสิทธิผลดีในทุกผลลัพธ์ ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรม (function) ได้ตามปกติใน 12 สัปดาห์ จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีได้ในอนาคต</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/279978
ผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อความสำเร็จของการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับและการสั่นของเส้นเลือด 30 วันหลังผ่าตัดในผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดแดงและดำ โรงพยาบาลแม่สอด
2025-08-06T09:06:20+07:00
ดวงพร ประเสริฐน้อย
nuy.psn12@gmail.com
ศรีสุดา อัศวพลังกูล
srisopon1@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong>: การผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดแดงและดำสำหรับฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นสิ่งสำคัญในผู้ป่วยโรคไตวายระยะสุดท้ายที่รับการบำบัดทดแทนไต โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองในผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดโดยพยาบาลห้องผ่าตัดช่วยเพิ่มความสำเร็จของการผ่าตัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาความสำเร็จของการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดแบบวันเดียวกลับ การสั่นของเส้นเลือด 30 วันหลังผ่าตัดและความพึงพอใจในผู้ป่วยที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองในผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มควบคุมในอดีต ศึกษาในผู้ป่วยที่มารับการผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดเพื่อฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแบบวันเดียวกลับ ใน โรงพยาบาลแม่สอดจังหวัดตาก จับคู่กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองในผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือด กับกลุ่มควบคุมแบบ 1 : 1 กลุ่มควบคุมเก็บข้อมูลย้อนหลังได้รับการดูแลตามปกติ กลุ่มทดลองเก็บข้อมูล สิงหาคม 2567-มกราคม 2568 ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเอง แผ่นพับการปฏิบัติตัวและสื่อความรู้แบบวีดีทัศน์ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน การทดสอบไค-สแควร์, การทดสอบแม่นตรง, การทดสอบวิลค็อกซัน-แมนน์-วิทนีย์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุปัจจัยแบบไบนารี</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ศึกษา 60 ราย กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 30 ราย ความสำเร็จของการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับในกลุ่มทดลอง เท่ากับร้อยละ 100 มากกว่ากลุ่มควบคุม (ร้อยละ 93.33; p=0.492) การสั่นของเส้นเลือดหลังผ่าตัด 30 วันในกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุม (ร้อยละ 99.67 vs ร้อยละ 70.00, p=0.012) วิเคราะห์ถดถอยพหุปัจจัยแบบไบนารี ปรับความแตกต่างของอายุ ระดับการศึกษา การเคยผ่าตัดเส้นเลือด hemoglobin โรคเบาหวาน ผู้ดูแล ระยะเวลารอผ่าตัด ระยะเวลาผ่าตัด และตำแหน่งผ่าตัด กลุ่มทดลองเพิ่มการสั่นของเส้นเลือดร้อยละ 23.27 (RD 23.27, 95%CI 9.55-39.99, p=0.001) ความพึงพอใจในกลุ่มทดลองระดับดีมาก</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>โปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองเพิ่มความสำเร็จการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับและการสั่นของเส้นเลือดหลังผ่าตัด ผู้ป่วยพึงพอใจจึงมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ดูแลและติดตามผู้ป่วยผ่าตัดเชื่อมหลอดเลือดแบบวันเดียวกลับ</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/276538
การใช้ค่า pH แรกรับเพื่อทำนายการรอดชีวิตที่ 24 ชั่วโมงของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล ณ ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพิงค์
2025-03-03T12:15:49+07:00
คณพร คุณประดิษฐ์
thepaulpat@gmail.com
วรัตม์สุดา สมุทรทัย
waratsamuth@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา </strong>เมื่อผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นจะส่งผลให้ร่างกายมีการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายลดลง ก่อให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด และส่งผลให้ค่าความเป็นกรดในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงคาดว่าค่าความเป็นกรดในเลือดจะสามารถนำมาทำนายการกลับมามีชีพจรและการรอดชีพที่ 24 ชั่วโมงของผู้ป่วยได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของค่าความเป็นกรดในเลือดแรกรับในระหว่างการกู้ชีพขั้นสูงของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลกับการกลับมามีชีพจรและการรอดชีพที่ 24 ชั่วโมง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> การศึกษาวิจัยเชิงสังเกตแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้า ในผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลอายุมากกว่า 15 ปี ที่เข้ารับการรักษา ณ ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนครพิงค์ ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึงสิงหาคม พ.ศ. 2564 รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลทางคลินิก ค่าความเป็นกรดในเลือด และข้อมูลการกู้ชีพขั้นสูง วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย logistic regression แสดงค่า Adjusted odds ratio (AOR) และ 95% confidence interval (95% CI)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลรวมทั้งหมด 79 คน พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกลับมามีชีพจรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดังนี้ ระยะเวลาในการกดนวดหัวใจนอกโรงพยาบาล≥ 20 นาที (Odds ratio 6.9; 95% CI 2.11- 22.57; p 0.001) การเริ่มกดนวดหัวใจโดยผู้พบเห็นเหตุการณ์ (Odds ratio 0.26; 95%CI 0.08-0.82; p 0.021) และค่าความเป็นกรดในเลือดแรกรับที่ ≥7.0 (Odds ratio 3.75; 95%CI 1.46-9.64; p 0.006) ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับการรอดชีพที่ 24 ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ ระยะเวลาในการกดนวดหัวใจนอกโรงพยาบาลที่ 1-19 และมากกว่าเท่ากับ 20 นาทีเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ 0 นาที (Odds ratio 8.86, 95% CI 1.66-47.20 ;p 0.011 และ 13.12; 95% CI 2.54-67.61; p=0.002 ตามลำดับ) รวมถึงค่าความเป็นกรดของเลือดแรกรับที่มากกว่าเท่ากับ 6.8, 6.9 และ 7.0 (Odds ratio 11.35, 4.88, และ 5.56; 95%CI 1.42-90.73, 1.46-16.28, และ 1.85-16.66; p 0.022, 0.010, และ 0.002 ตามลำดับ) เมื่อควบคุมปัจจัยกวนพบว่า ระยะเวลาในการกดนวดหัวใจนอกโรงพยาบาลที่ 1-19 นาที และมากกว่าเท่ากับ 20 นาทีเมื่อเทียบกับเวลา 0 นาที สัมพันธ์กับการรอดชีพที่ 24 ชั่วโมง (AOR 6.4, 95% CI 1.12-37.41; p 0.037 และ AOR 8.03, 95% CI 1.28-50.19; p= 0.026 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุป</strong> จากการศึกษานี้พบระยะเวลาในการกดนวดหัวใจนอกโรงพยาบาลมีความสัมพันธ์กับการรอดชีพ แต่ค่าความเป็นกรดในเลือดแรกรับในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลกับการกลับมามีชีพจรและการรอดชีพที่ 24 ชั่วโมงยังไม่สามารถสรุปได้ ทั้งนี้การอาจต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/255900
แลคเตทในเลือดกับการเสียชีวิตในโรงพยาบาล: การศึกษาแบบไปข้างหน้าในผู้ป่วยวิกฤตแผนกฉุกเฉิน
2025-01-21T14:41:54+07:00
สรัล อินทพิบูลย์
sarun.intapibool@gmail.com
วรัตม์สุดา สมุทรทัย
waratsamuth@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> ระดับแลคเตทในเลือดสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ภาวะช็อกในระยะเริ่มแม้ยังไม่พบความดันโลหิตต่ำ ในปัจจุบันมีการตรวจระดับแลคเตทแรกรับในห้องฉุกเฉินโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเพิ่มขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของระดับแลคเตทแรกรับที่ห้องฉุกเฉินกับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่ได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลนครพิงค์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาเชิงสังเกตแบบเก็บข้อมูลไปข้างหน้าตั้งแต่ 1มกราคม – 30 เมษายน พ.ศ. 2563 ในผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพิงค์ ที่มีอายุ ≥18ปี มี MOPH ED triage ระดับ 1,2 และรับไว้นอนในโรงพยาบาล เกณฑ์คัดออกได้แก่ ผู้ป่วยบาดเจ็บ ผู้ป่วยถูกส่งต่อที่ไม่มีผลระดับแลคเตทในเลือดก่อนได้รับการรักษา ผู้ป่วยตั้งครรภ์ ปฏิเสธนอนโรงพยาบาล เสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉิน ไม่ได้รับการเจาะระดับแลคเตท หรือผู้ป่วย Stroke/STEMI fast track โดจัดกลุ่มตามระดับแลคเตทในหลอดเลือดดำแรกรับเป็นกลุ่มแลคเตทปกติ (<2 mmol/L), แลคเตทปานกลาง (2-4 mmol/L) และแลคเตทสูง (>4 mmol/L) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Multivariable Exponential Risk Regression เพื่อพยากรณ์การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยทั้งหมด 379 คน เสียชีวิตในโรงพยาบาล ในกลุ่มที่มีค่าแลคเตทในเลือดต่ำ 17 คน (12.5%), ปานกลาง 21 คน (14.2%) และ สูง 36 คน (37.9%) ตามลำดับ เมื่อทำการวิเคราะห์ถดถอย ผู้ป่วยที่มีระดับแลคเตทสูงสัมพันธ์กับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.77 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีค่าแลคเตทในเลือดต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Adjusted RR 2.77, 95% CI 1.68-4.55, p-value<0.001)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ระดับแลคเตทในเลือดที่สูงมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในผู้ป่วยวิกฤต การตรวจวัดระดับแลคเตทตั้งแต่ระยะแรกในห้องฉุกเฉินสามารถช่วยในการคัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และสนับสนุนการวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-11-14T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/283084
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียของประชาชนในพื้นที่ชายแดน อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
2025-10-10T17:50:48+07:00
ไพบูรณ์ จีรพัทธกุล
phaibunchiraphatthakun@gmail.com
ภมรศรี อินทร์ชน
pamornsri.sri@mfu.ac.th
อ่อง มิ ตู
aungmyintthu@shoklo-unit.com
พิษณุรักษ์ กันทวี
phitsanuruk.kan@mfu.ac.th
<p><strong>บทนำ: </strong>โรคมาลาเรียยังคงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสาธารณสุขในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดตาก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียของประชาชนในพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional study) ในกลุ่มประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่ตำบลขะเนจื้อ อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก ประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 25 มิถุนายน ถึง 9 สิงหาคม 2568 การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่น โดยผู้สัมภาษณ์เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อประเมินข้อมูลด้านประชากร ความรู้ ความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรีย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ใช้สถิติ Chi-square test, Fisher’s exact test และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุคูณ (Multivariate logistic regression)</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 250 คน ร้อยละ 74 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 76.8 สมรสแล้ว และร้อยละ 89.2 มีรายได้ต่ำ เกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 47.2) รายงานว่าตนเองเคยมีประวัติเป็นโรคมาลาเรีย โดยรวมแล้ว ผู้เข้าร่วมร้อยละ 66.8 แสดงพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียในระดับดี ระดับการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรีย ในการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุคูณ พบว่าการรับรู้อุปสรรคในระดับปานกลางและระดับสูงมีความสัมพันธ์อย่างมากกับพฤติกรรมการป้องกันที่ไม่ดี (AOR = 3.89 สำหรับระดับปานกลาง, 95% CI: 1.32–11.48, p = 0.014; AOR = 3.01 สำหรับระดับสูง, 95% CI: 1.59–5.69, p = 0.001) นอกจากนี้ การรับรู้ประโยชน์ในระดับปานกลางยังมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันที่ไม่ดีมากกว่าผู้ที่มีการรับรู้ประโยชน์ในระดับสูง (AOR = 2.19, 95% CI: 1.21–3.97, p = 0.010)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา:</strong> แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ชายแดนจะมีพฤติกรรมการป้องกันโรคมาลาเรียที่ดีอยู่แล้ว แต่การดำเนินงานเชิงรุกควรมุ่งเน้นไปที่การลดอุปสรรคและเสริมสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของมาตรการป้องกันโรคมาลาเรีย แนะนำให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขส่งเสริมการให้ความรู้ด้านสุขภาพและการดำเนินโครงการป้องกันโรคมาลาเรียในระดับชุมชนอย่างเข้มแข็ง เพื่อสนับสนุนความพยายามในการควบคุมและป้องกันโรคมาลาเรียอย่างยั่งยืน</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/277974
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตและนอนโรงพยาบาลซ้ำใน 1 ปี ของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่: การศึกษาแบบย้อนหลัง
2025-04-24T12:40:11+07:00
ขนิษฐา พงษ์ศิริ
kpongsiri013@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา: </strong>ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขที่มีอัตราการเสียชีวิตและการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำในระดับสูง โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชุมชนที่มีทรัพยากรจำกัด การระบุปัจจัยทางคลินิกที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ไม่พึงประสงค์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการดูแลรักษาและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยทางคลินิกที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตในโรงพยาบาลทั้งหมด การเสียชีวิตในหนึ่งปี และการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำภายใน 1 ปี ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การศึกษาแบบย้อนหลังจากเวชระเบียนในผู้ป่วยจำนวน 196 ราย ที่เข้ารับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 ในโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูลทางคลินิกและผลลัพธ์ได้รับการวิเคราะห์ด้วยสถิติ logistic regression แบบ Univariable และ Multivariable</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ผู้ป่วยทั้งหมด 196 รายที่เข้ารับการรักษาด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 61.7 อายุเฉลี่ย 69.5 ± 14.6 ปี โรคร่วมที่พบบ่อย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง (51.5%) และเบาหวาน (39.8%) อัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาล เท่ากับ 9.1% (18 ราย) และเมื่อรวมผู้ที่เสียชีวิตหลังจำหน่ายภายในหนึ่งปีแล้ว อัตราการเสียชีวิตรวมภายใน 1 ปี เท่ากับ 45.9% (90 ราย) อัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำภายใน 1 ปี เท่ากับ 68.8% (135 ราย) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังการวิเคราะห์หลายตัวแปร ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น (Adjusted OR 1.03 ,95% CI 1.01-1.05, p = 0.003), ภาวะน้ำหนักน้อย (BMI <18.5) (Adjusted OR 2.54, 95%CI 1.08–5.95, p = 0.032) และภาวะโลหิตจาง (Hb <10 g/dL) (Adjusted OR 2.62, 95% CI 1.12-6.10 , p = 0.026) สำหรับการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ พบว่าภาวะโลหิตจาง (Hb <10 g/dL) (Adjusted OR 2.11, 95% CI 0.94–4.76, p = 0.071) และน้ำหนักตัวน้อย (BMI <18.5) (Adjusted OR 1.96, 95% CI 0.88–4.35, p = 0.095) ก็มีแนวโน้มเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในโรงพยาบาลสันทรายมีอัตราการเสียชีวิตและการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำสูงกว่ารายงานส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ปัจจัยทำนายที่สำคัญคืออายุที่มากขึ้น ภาวะน้ำหนักน้อย และภาวะโลหิตจาง ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบการดูแลต่อเนื่องหลังจำหน่าย เช่น คลินิกหัวใจล้มเหลว เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์การรักษาในระยะยาว</p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnkp/article/view/278710
การศึกษาการใช้เครื่องมือ Fracture Risk Assessment Tool (FRAX®) ในการประเมินความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคะแนน FRAX ในการประเมินความเสี่ยงกระดูกหักในผู้สูงอายุ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่
2025-07-21T22:38:48+07:00
มัชฌิมา กิติศรี
muchshima.k@gmail.com
จุฑามาศ กิติศรี
chuthamat.kitisri@crc.ac.th
ดวงพร สุวรรณ
Doungporn3704@gmail.com
กนกวรรณ สังหรณ์
Kanokwansanghon@gmail.com
<p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุก และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคะแนนความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหักในระยะเวลา 10 ปี จากการใช้แบบประเมิน FRAX ในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวางโดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์จากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มารับการรักษาในห้องตรวจกระดูกและข้อ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลนครพิงค์ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ถึง 31 มกราคม 2568 จำนวน 283 คน ใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวกตามคุณสมบัติที่กำหนด แบบสอบถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ประกอบไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความเสี่ยงการเกิดกระดูกหักด้วยเครื่องมือ FRAX<sup>®</sup> วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ตัวอย่างทั้งหมด 283 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 73.1) อายุเฉลี่ย 70.18 ± 7.22 ปี มีดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ม<sup>2</sup> (ร้อยละ 55.1) ส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่ (ร้อยละ 94.7) และออกกำลังกายน้อยกว่า 30 นาที (ร้อยละ 85.2) จากจำนวนดังกล่าวมีค่าคะแนน FRAX ≥ 3 จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหักในระยะเวลา 10 ปี จำนวน 135 คน (ร้อยละ 47.7) โดยพบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคะแนน FRAX ส่งผลต่อการทำนายความเสี่ยงสูงการเกิดกระดูกหักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง (adj.OR 13.97, 95%CI 5.74 - 33.96) อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 70 ปี (adj.OR 11.42, 95%CI 5.70 - 22.88) และดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 23 กก/ม² (adj.OR 0.15, 95%CI 0.08 - 0.31)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา: </strong>ผู้สูงอายุที่มารับการประเมิน และคัดกรองด้วยเครื่องมือ FRAX<sup>®</sup> ในการศึกษานี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหักในระยะเวลา 10 ปี ในระดับสูง พบว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง ผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี และดัชนีมวลกายที่มากกว่า 23 กก/ม<sup>2</sup></p>
2025-11-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลนครพิงค์