วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned <p><strong>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (</strong><strong>Journal of Nursing and Therapeutic Care)</strong></p> <p><strong><span class="font-weight-bold" data-v-4fadc455="">ISSN:</span> 2985-1432 (Online)</strong></p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ชื่อเดิม: วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ </p> <p>และเปลี่ยนเฉพาะชื่อภาษาอังกฤษ <strong>จากเดิม "Journal of Nursing and Health Care" </strong></p> <p><strong>เป็น “Journal of Nursing and Therapeutic Care”</strong></p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (Journal of Nursing and Therapeutic Care) เป็นของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางของบุคลากรวิชาชีพการพยาบาลฯ การดูแลสุขภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้และแนวปฏิบัติจากงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความอื่นๆที่น่าสนใจ <strong>เพื่อเพิ่มพูนความเข้มแข็งทางวิชาชีพการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ</strong> ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญชวนให้พยาบาลทุกท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องที่สนใจส่งบทความมาเผยแพร่ในวารสารนี้ กองบรรณาธิการยินดีรับเรื่องที่ท่านส่งมาและยินดีสรรหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ท่านเขียน มาให้ข้อเสนอแนะ ในการปรับปรุงต้นฉบับให้ได้คุณภาพอย่างสมบูรณ์แบบ</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ ทุก ๆ 3 เดือน</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม</p> <p>ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน</p> <p>ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> th-TH jnatned@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร. จันทร์ทิรา เจียรณัย) jnatned@gmail.com (ภานุมาศ หาญสุริย์) Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาระบบการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งแบบประคับประคองบูรณาการไร้รอยต่อเครือข่าย รพ.มหาราชนครราชสีมา ในจังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/281574 <p>การดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายในประเทศไทยเผชิญปัญหาความต่อเนื่องของการบริการ งานวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการพยาบาลไร้รอยต่อฯ 2) ศึกษาผลลัพธ์ของระบบการพยาบาลไร้รอยต่อฯ และ 3) สังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบาย ดำเนินการระหว่างกันยายน พ.ศ. 2567 - สิงหาคม พ.ศ. 2568 แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนาระบบการพยาบาลไร้รอยต่อฯ และ 3) ประเมินผลการใช้ระบบกับผู้ป่วยมะเร็งระยะท้าย 46 คน และผู้ดูแล 46 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 23 คน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่มสนทนาตามธรรมชาติ การสังเกต การวิเคราะห์เอกสาร แบบประเมินผลลัพธ์การดูแลแบบประคับประคอง แบบประเมินคุณภาพชีวิต แบบประเมินการรับรู้ของผู้ดูแลเกี่ยวกับระยะท้ายของชีวิตที่สงบของผู้ป่วย และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ดูแลต่อการดูแลแบบประคับประคอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ สถิติที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบการพยาบาลไร้รอยต่อฯ มีองค์ประกอบหลัก 3 ประเด็น คือ 1) ปัจจัยนำเข้า ด้านผู้ป่วยด้านพยาบาล และด้านระบบบริการ 2) กระบวนการ ประกอบด้วย แผนการดูแล 5 ระยะ ขับเคลื่อนผ่านแนวคิดทฤษฎีชีวิตระยะท้ายที่สงบ การจัดการรายกรณี การพยาบาลเจ้าของไข้ กระบวนการพยาบาล และการพยาบาลทางไกล และ 3) ผลลัพธ์ของการนำระบบการพยาบาลไปใช้ พบว่า กลุ่มทดลองมีผลลัพธ์การดูแลแบบประคับประคอง คุณภาพชีวิต การรับรู้ของผู้ดูแลเกี่ยวกับชีวิตระยะท้ายที่สงบของผู้ป่วย และความพึงพอใจของผู้ดูแลดีกว่ากลุ่มควบคุม ผลการวิจัยนำสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ 1) พิจารณาปรับหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรต่อยอดพยาบาลเฉพาะทาง 2) ระบุภารกิจผู้จัดการรายกรณีในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ 3) สนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศการพยาบาลทางไกล และ 4) ปรับตัวชี้วัดให้สะท้อนการตายดีผ่านระยะท้ายของชีวิตที่สงบ</p> เพ็ญศรี รักษ์วงค์, สุณัฎดา คเชนทร์ชัย, มุจจรินทร์ อัศวพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/281574 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการจัดการเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องผ่านคิวอาร์โคดต่อการรับรู้การจัดเตรียมเครื่องมือของพยาบาลห้องผ่าตัดโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279916 <p>ความสำคัญของการจัดเตรียมเครื่องมือในห้องผ่าตัด พยาบาลในห้องผ่าตัดต้องมีความรู้ความชำนาญในการจัดเตรียมเครื่องมือผ่าตัด และควรมีการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติในการเตรียมเครื่องมือผ่าตัด เพื่อให้พยาบาลทุกคนมีแนวทางการปฏิบัติการเตรียมเครื่องมือในห้องผ่าตัดเป็นมาตรฐานเดียวกันเกิดปัญหาความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่พร้อมของการเตรียมเครื่องมือผ่าตัดผู้วิจัยในฐานะเป็นผู้บริหารจึงตระหนักความสำคัญในการพัฒนาโปรแกรมการเตรียมความรู้การจัดเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องผ่านคิวอาร์โค้ด การวิจัยแบบกึ่งทดลอง วัดผลก่อนและหลังแบบสองกลุ่ม การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนการรับรู้การจัดเครื่องมือผ่าตัดของพยาบาลห้องผ่าตัด ระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการจัดการเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องผ่านคิวอาร์โคดลุ่มควบคุมที่ได้รับโปรแกรมการจัดการเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องกลุ่มทดลองได้รับการสอนตามปกติ คือ การนิเทศหน้างานในการสอน กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพห้องผ่าตัดสองแห่ง จำนวน 66 คนแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 33 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการจัดการเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องผ่านคิวอาร์โคดและแบบสอบถามการรับรู้การจัดเครื่องมือผ่าตัด คุณภาพเครื่องมือได้ค่าความตรงของเนื้อหาของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.80 ค่าความเที่ยงวิธีครอนบาตแอลฟาได้ค่าเท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง Independent t-test และDependent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้การจัดการเครื่องมือผ่าตัดโดยรวมอยู่ในระดับดีมากและ สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยไปยานน้อยหลังทดลองอยู่ในระดับมากและ สูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริหารทางการพยาบาลในห้องผ่าตัดควรมีการใช้แนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพยาบาลใหม่หรือพยาบาลที่มีการเปลี่ยนหมุนเวียนต่างแผนกควรมีโปรแกรมการจัดการเครื่องมือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องผ่านคิวอาร์โคดในหน่วยงานที่ส่งผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการพยาบาล</p> นารี ไชยศิริ , เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย , กรรณิการ์ ฉัตรดอกไม้ไพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279916 Thu, 09 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดต่อการลดความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วท่อไตแบบส่องกล้อง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279383 <p>การศึกษาวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดต่อการลดความวิตกกังวล ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วท่อไตแบบส่องกล้อง โรงพยาบาลยโสธร ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วท่อไตแบบส่องกล้อง จำนวน 40 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองกลุ่มละ 20 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ทฤษฎีการควบคุมตนเอง (Self-regulation theory) ซึ่งกลุ่มทดลองจะได้ 1. รับโปรแกรมการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด ประกอบด้วย 1) วิธีการหรือรายละเอียดของขั้นตอนการรักษา 2) ข้อมูลชนิดบ่งบอกความรู้สึก 3) ให้คำแนะนำสิ่งที่ควรปฏิบัติ และ 4) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเผชิญปัญหา และ 2. ประเมินความวิตกกังวลขณะเผชิญปัญหา โดยใช้แบบประเมินความวิตกกังวลขณะเผชิญปัญหาของ Spielberger ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาครอนบาค (Cronbach alpha coefficient) 0.88 ใช้ระยะเวลา 1 วัน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-square test, Fisher’s exact test, Independent t-test และ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลก่อนการทดลองเท่ากับ 62.95 (S.D.= 4.80) อยู่ในระดับสูงและหลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความวิตกเท่ากับ 64 (S.D.= 4.76) อยู่ในระดับสูง และกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลก่อนการทดลองเท่ากับ 62.10 (S.D.= 4.72) อยู่ในระดับสูง และหลังการทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความวิตกเท่ากับ 39.10 (S.D.= 2.74) อยู่ในระดับต่ำ ผลการทดสอบความแตกต่างของข้อมูลพบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (t =20.78, <em>p</em> &lt;.05) และมีคะแนนเฉลี่ยความวิตกกังวลหลังการทดลองน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t =0.56, <em>p</em> &lt;.05) ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของโปรแกรมการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดนิ่วท่อไตแบบส่องกล้อง ที่สามารถลดความวิตกกังวลลงได้</p> เครือมาศ กตะศิลา, นงเยาว์ มีเทียน, สุพัตรา บัวที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279383 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้และทัศนคติเกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ของผู้สูงอายุและญาติผู้ดูแลในชุมชนชนบท จังหวัดภาคกลาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/282170 <p>การตัดสินใจเลือกการดูแลในระยะท้ายของชีวิตเป็นความยากลำบากของผู้ป่วยและครอบครัว เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่เคยวางแผนการดูแลรักษาล่วงหน้า การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายการรับรู้และทัศนคติเกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนาการดูแลรักษาในระยะท้ายของชีวิตของผู้สูงอายุและญาติผู้ดูแล โดยศึกษาในชุมชนแห่งหนึ่งของจังหวัดภาคกลาง คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถสื่อสารตอบคำถามได้ และมีญาติผู้ดูแลที่อาศัยอยู่ร่วมกัน มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ยินดีให้ข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์บันทึกเทป ข้อมูลอิ่มตัวที่ 15 ครอบครัว รวมผู้สูงอายุ 15 ราย และญาติผู้ดูแล 15 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้และทัศนคติของผู้สูงอายุและญาติผู้ดูแลที่มีผลต่อการทำหนังสือแสดงเจตนามี 6 ประเด็น ได้แก่ 1) การไม่รู้ว่ามีการทำหนังสือแสดงเจตนา เนื่องจากในบริบทสังคมชนบท ข้อมูลข่าวสารยังไม่ทั่วถึง 2) ความเชื่อเรื่องลางร้ายหรืออาจทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย ทำให้รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง และไม่กล้าที่จะทำหนังสือแสดงเจตนา 3) การมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว โดยเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องทำ เว้นแต่จะมีอายุมาก มีการเจ็บป่วยร้ายแรง หรือไม่มีครอบครัวดูแล 4) ความกังวลต่อการละเลยการรักษา เช่น จะไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ ไม่ได้รับการถามความคิดเห็น และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง 5) การไม่พบตัวอย่างยืนยันประโยชน์ ทำให้ไม่มั่นใจและต้องการหลักฐานจากประสบการณ์จริง และ 6) วิธีการสร้างการยอมรับ ได้แก่ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจง่าย สื่อสารโดยบุคลากรสุขภาพ และการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง ผลการวิจัยสะท้อนว่า การส่งเสริมการทำหนังสือแสดงเจตนาควรเน้นการให้ความรู้ที่เข้าใจง่าย และการสื่อสารที่เหมาะสมกับบริบทชุมชน โดยเฉพาะการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้สูงอายุ ครอบครัว และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน</p> จอนผะจง เพ็งจาด, ปานจันทร์ ฐาปนกุลศักดิ์, สุชาดา ทวีสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/282170 Wed, 19 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลนครพนม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279949 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบความสัมพันธ์เชิงทำนาย วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลนครพนม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รักษาโรงพยาบาลนครพนม จำนวน 107 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ความสามารถส่วนบุคคล 3) การรับรู้ภาวะสุขภาพ 4) การสนับสนุนทางสังคม 5 ) ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และ 6) พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคของเครื่องมือ เท่ากับ 0.83, 0.89, 0.97, 0.96 และ 0.84 ตามลำดับวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสหสัมพันธ์ Point-biserial correlation Eta Correlation ค่าสัมประสิทธิ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถส่วนบุคคล การรับรู้ภาวะสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และ พฤติกรรมการดูแลตนเอง อยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยด้านการสนับสนุนทางสังคมที่มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก การสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ความสามารถส่วนบุคคล การรับรู้ภาวะสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานโดยปัจจัย 2 ด้านคือ 1) ความสามารถส่วนบุคคล และ 2) การรับรู้ภาวะสุขภาพ สามารถทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานได้ ร้อยละ 28.90 ผลการศึกษาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพในการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานได้อาจจะพัฒนารูปแบบส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยให้ความสำคัญกับกลวิธีการเพิ่มความสามารถส่วนบุคคลของผู้ป่วยให้มากขึ้นรวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลที่เน้นกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับรู้ถึงภาวะสุขภาพตนเองและผลกระทบที่อาจเกิดตามมาเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงการดูแลตนเองที่ถูกต้อง</p> เจริญชัย หมื่นห่อ, นทวรรณ หุ่นพยนต์, เพียรมะสอน หมื่นห่อ, จินตพักตร์ จันทะโคตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279949 Wed, 29 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์ต่อพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ป่วยซึมเศร้า โรงพยาบาลดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279475 <p>ผู้ป่วยซึมเศร้าที่มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ นำไปสู่พฤติกรรมทำร้ายตัวเอง และมีความเสี่ยงสูงที่จะฆ่าตัวตายสำเร็จการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง 1 กลุ่ม วัดผลก่อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ป่วยซึมเศร้า โรงพยาบาลดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยซึมเศร้า จำนวน 30 คน เปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนได้รับโปรแกรม หลังครบโปรแกรมทันที ติดตามผล 1 เดือน และ 3 เดือน โดยใช้โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ป่วยซึมเศร้า และ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนแต่ละช่วงเวลา ด้วยสถิติ Friedman test และวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนรายคู่ ด้วยสถิติ Wilcoxon-signed ranks test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังได้รับโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการปฏิเสธการดื่ม พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อทดสอบรายคู่ พบว่าทุกระยะของการศึกษามีคะแนนพฤติกรรมลดการดื่มสุราที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นการเปรียบเทียบระหว่างหลังครบโปรแกรม 1 เดือน กับระยะ 3 เดือน ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะแห่งตนในการปฏิเสธการดื่มสามารถลดได้ในระยะ 1 เดือน หลังสิ้นสุดโปรแกรม และเสนอให้พัฒนาโปรแกรมให้มี Booster dose ในระยะหลัง 1 เดือน</p> รัดดารัตน์ โกจะกัง, พยาม การดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279475 Mon, 06 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการนิเทศด้วยการโค้ชแบบเพียร์ต่อการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมของบุคลากรสุขภาพในหน่วยงานปฐมภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279998 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม เปรียบเทียบผลก่อน-หลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมของบุคลากรสุขภาพ ในหน่วยงานปฐมภูมิ ก่อนและหลังได้โปรแกรมการนิเทศด้วยการโค้ชแบบเพียร์กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสุขภาพในหน่วยงานปฐมภูมิ จำนวน 48 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 24 คน เท่า ๆ กัน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการนิเทศด้วยการโค้ชแบบเพียร์ เป็นเวลา 13 ชั่วโมง กลุ่มควบคุมได้รับการสอนแบบปกติ เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการนิเทศด้วยการโค้ชแบบเพียร์ 2) แบบสอบถามการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index: CVI) เท่ากับ 0.98 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ไคสแควร์ ทีคู่และทีอิสระ โดยสถิติทีอิสระ (Independent t-test) เปรียบเทียบความแตกต่างของการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า หลังเข้าโปรแกรมการนิเทศด้วยการโค้ชแบบเพียร์กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมโดยรวมในระดับมาก ส่วนรายด้านพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยด้านการประเมินผู้ป่วยและการคัดกรองอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านแนวทางในกระบวนการส่งต่ออยู่ในระดับมาก และคะแนนเฉลี่ยการรับรู้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; .001) การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การบริหารการจัดบริการสุขภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรเป็นไปตามเป้าหมายการบริการ เครื่องมือการนิเทศด้วยวิธีการโค้ชแบบเพียร์ทำให้เกิดการเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจของบุคลากรทางการสุขภาพที่ส่งผลให้ผู้รับบริการได้รับบริการตามมาตรฐาน</p> ชนันท์ภัทร์ สุขประเสริฐ, เนตรชนก ศรีทุมมา , เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279998 Mon, 03 Nov 2025 00:00:00 +0700 ผลของการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279560 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น และเปรียบเทียบคะแนนผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับรายวิชาของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น ใช้กรอบแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงของนิวแมนและคณะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น ประจำปีการศึกษา 2567 จำนวน 125 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) กระบวนการและกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จริง ตามแนวคิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง 2) แบบประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น ที่พัฒนาขึ้นตามแนวคิดการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ ประกอบด้วย 8 ผลลัพธ์ การเรียนรู้ค่าสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ เท่ากับ 0.83 หาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ส่วนเปรียบเทียบคะแนนผลลัพธ์การเรียนรู้ก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการทดลอง นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมทุกผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับรายวิชาอยู่ในระดับมาก หลังการทดลอง นักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมทุกผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับรายวิชาอยู่ในระดับมากที่สุด เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับรายวิชาตามสภาพจริงของนักศึกษาพยาบาลรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลเด็ก และวัยรุ่น หลังการจัดการเรียนการสอนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กระบวนการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงสามารถนำไปใช้เป็นวิธีการหนึ่ง ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาล</p> ทัศนีย์ มีเทียน, ต้องตา ขันธวิธิ, รุ่งรัตน์ สุขะเดชะ, มธุสร ปลาโพธิ์, เพ็ญศรี สำแดงฤทธิ์, มณีรัตน์ หม้ายพิมาย, พรพิมล ประกอบจรรยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279560 Tue, 23 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะต่อความรู้และสมรรถนะของผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280040 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อน - หลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะต่อความรู้และสมรรถนะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน คํานวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้โปรแกรม G *Power ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินด้านความรู้ผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน (CVI = 0.95, KR-20 = 0.78) และแบบประเมินสมรรถนะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน (CVI = 0.97 , Cronbach’s coefficient = 0.89) วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความรู้และสมรรถนะการดูแลก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน โดยใช้ paired t-test</p> <p>ผลวิจัยพบว่า ผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนในชุมชน หลังได้รับโปรแกรมมีความรู้และสมรรถนะในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ซับซ้อนในชุมชน สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งเป็นการเพิ่มสมรรถนะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ซับซ้อนในชุมชน และนำไปสู่การพัฒนาระบบด้านการบริการชุมชนและการบริการสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีการที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ซับซ้อนในชุมชน ข้อเสนอแนะควรจัดทำโปรแกรมระยะยาว มีการติดตามและการเสริมสร้างพลังอำนาจอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ซับซ้อนในชุมชน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตามประเมินผลเป็นระยะ</p> ณัชชา ตระการจันทร์, จิรวัฒน์ ประคองพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280040 Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์กับการจัดการความเครียด ของนักศึกษา: กรณีศึกษาวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279602 <p>ปัจจุบันการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ เป็นการใช้สื่อออนไลน์ในการละเมิดสิทธิต่าง ๆ ของผู้อื่น โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาพยาบาล การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ส่งผลทำให้เครียดและมีผลต่อการเรียนของนักศึกษา การวิจัยเชิงพรรณนานี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์กับการจัดการความเครียดของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 220 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ และแบบสอบถามวิธีการรับมือหรือการจัดการความเครียด ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1 และ 0.93 และตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.92 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษาโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ในระดับปานกลาง โดยการถูกส่งข้อความรบกวนหรือหมิ่นประมาทพบมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างมีการจัดการความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อหาความสัมพันธ์ พบว่า การถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการจัดการความเครียดของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=.539, <em>p</em> &lt;.001) ซึ่งสถาบันการศึกษาสามารถนำผลการศึกษาไปใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการสร้างโปรแกรมการจัดการความเครียดเพื่อลดการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ที่อาจเกิดขึ้น</p> วิกานดา อนุสุเรณน์, วิทิต หมอสมบุญ, วีรวัฒน์ เวชกามา, ศรัญญา สุพร, ศศิประภา มนัสสิลา, ศศิพินท์ แดงวิบูลย์, ภาสินี โทอินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279602 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหอผู้ป่วยและความยึดมั่นผูกพันในงานต่อผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศูนย์ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279668 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนายครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหอผู้ป่วยและความยึดมั่นผูกพันในงานต่อผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพ มีประสบการณ์ทำงานหอผู้ป่วยใน โรงพยาบาลศูนย์ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ระยะ 1 ปี ขึ้นไป จำนวน 174 คน ใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง แบบสอบถามความยึดมั่นผูกพันในงาน และแบบสอบถามผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เป็นค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.943, 0.952 และ 0.932 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบเลือกตัวแปรเข้าสมการทีละตัว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความยึดมั่นผูกพันในงานของพยาบาลวิชาชีพ เป็นตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพได้สูงสุด รองลงมาคือ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหอผู้ป่วย ซึ่งสามารถพยากรณ์ผลการปฏิบัติงานได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสมการถดถอยมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า พยาบาลวิชาชีพที่มีความยึดมั่นผูกพันในงานสูงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหอผู้ป่วยยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและเสริมสร้างผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ ดังนั้นผู้บริหารโรงพยาบาลควรส่งเสริมการสร้างความยึดมั่นผูกพันในงานและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าหอผู้ป่วย อันจะส่งผลต่อผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของงาน </p> พรรณิกา เก่าตระกูล, จิรรัตน์ หรือตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279668 Wed, 08 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการทำสมาธิต่อการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์ของพยาบาลหัวหน้าเวรในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280174 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์ของพยาบาลหัวหน้าเวรระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลหัวหน้าเวรหอผู้ป่วยใน คำนวณขนาดตัวอย่างจากอำนาจการทดสอบ จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการทำสมาธิ และกลุ่มควบคุมไม่ได้รับโปรแกรมการทำสมาธิปฏิบัติงานตามปกติ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือวิจัยมี โปรแกรมการทำสมาธิ และแบบสอบถามการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์ ดัชนีความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือเท่ากับ 1.00 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติอ้างอิง เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้ Paired t-test, Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการทำสมาธิมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์โดยรวมในระดับมากส่วนรายด้าน พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยด้านทักษะทางสังคมที่ดีในที่ทำงานมากที่สุด รองลงมาคือการจัดการอารมณ์ในการทำงานและหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; .05) นอกจากนี้ยังพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความฉลาดทางอารมณ์ ในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; .05) การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมการทำสมาธิ ทำให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์สำหรับมีผลต่อความฉลาดทางอารมณ์สำหรับภาวะผู้นำการมีโปรแกรมทำสมาธิในหน่วยงานส่งผลต่อการปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในผู้นำทางการพยาบาล ดังนั้น จึงเสนอแนะให้ผู้บริหารในองค์กรพยาบาลและองค์กรอื่น ๆ เห็นความสำคัญและพิจารณากำหนดหลักสูตรการทำสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้นำทางการพยาบาล และผู้บริหารในองค์กร</p> แพรวพลอย วันนา, เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย, กรรณิการ์ ฉัตรดอกไม้ไพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280174 Tue, 11 Nov 2025 00:00:00 +0700 การปฏิบัติทางจิตวิญญาณของบิดามารดาที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นโรคมะเร็ง การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279914 <p>โรคมะเร็งในเด็กเป็นปัญหาที่สร้างความเครียดอย่างมากต่อครอบครัว โดยเฉพาะบิดามารดาซึ่งมักประสบกับภาระทางจิตใจ จึงนิยมการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เพื่อบรรเทาความเครียดในจิตใจ การปฏิบัติทางจิตวิญญาณมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจและการเผชิญปัญหาอย่างมีพลัง โดยช่วยให้บิดามารดาสามารถรับมือกับความทุกข์ทางอารมณ์ฟื้นฟูความหวัง และสร้างความหมายให้กับประสบการณ์ที่ยากลำบากได้ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสรุปและสังเคราะห์วรรณกรรมปัจจุบัน เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตวิญญาณของบิดามารดาที่ดูแลเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่แรกเกิด – 20 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งทุกระยะ โดยใช้แนวทางการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของ Joanna Briggs Institute (JBI) และ Preferred Reporting Items for Systematic Reviews and Meta-Analyses (PRISMA) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบคัดกรองงานวิจัย แบบประเมินคุณภาพงานวิจัยและแบบบันทึกการสกัดข้อมูล สืบค้นวรรณกรรมจากฐานข้อมูลจำนวน 4 ฐาน ได้แก่ MEDLINE/PubMed, CINAHL, ProQuest และ PsycINFO ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</p> <p>ผลการสืบค้นอย่างเป็นระบบพบว่า งานวิจัยที่ศึกษาทั้งหมดระบุได้จำนวน 275 เรื่อง และผ่านเกณฑ์การคัดเลือกโดยใช้แบบคัดกรองงานวิจัยและแบบประเมินคุณภาพ มีงานวิจัยจำนวน 11 เรื่อง ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อพิจารณาวิเคราะห์รูปแบบการปฏิบัติทางจิตวิญญาณของบิดามารดาเด็กและวัยรุ่นโรคมะเร็ง มี 2 วิธี คือ 1) การปฏิบัติทางจิตวิญญาณเกี่ยวกับศาสนา ได้แก่ การสวดมนต์ การปฏิบัติพิธีกรรม การอ่านคัมภีร์ และการทำสมาธิ 2) การแสวงหาการสนับสนุนทางสังคมจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ บิดามารดาคนอื่น ๆ ชุมชนแห่งศรัทธา และบุคลากรทางการแพทย์ การศึกษาครั้งนี้อาจทำให้เข้าใจการปฏิบัติทางจิตวิญญาณในบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้การดูแลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในมิติจิตวิญญาณของบิดามารดา ส่งเสริมให้การดูแลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นโรคมะเร็งมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> วิภาวี พลแก้ว, Katherine Heinze, Charlotte Barry ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/279914 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำในอนาคตของผู้บริหารทางการพยาบาลในยุคเปลี่ยนผ่านจากยุค VUCA สู่ยุค BANI https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280170 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางภาวะผู้นำอนาคตของผู้บริหารทางการพยาบาลในยุคโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากบริบท VUCA สู่ BANI โดยมุ่งวิเคราะห์ปัญหาของระบบสุขภาพและระบบบริการพยาบาลที่มีความซับซ้อนมากขึ้นอันเนื่องมาจากโครงสร้างประชากร เทคโนโลยี และโรคอุบัติใหม่</p> <p>บทความนี้เสนอแนวทางการปรับใช้ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมความยืดหยุ่นและการปรับตัวในสภาวะวิกฤต และการจัดการทางการพยาบาลผ่านรูปแบบการจัดการพยาบาลแบบยืดหยุ่นบนฐานข้อมูล (Agile data-driven nursing management) ซึ่งเน้นการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์ และการตัดสินใจบนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อเสริมสร้างการวางแผนกำลังคน การติดตามภาระงาน และการส่งเสริมผลลัพธ์ด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการประยุกต์แนวคิดนี้ ได้แก่ การลดภาวะหมดไฟในพยาบาล การเพิ่มความพึงพอใจของผู้รับบริการ และการยกระดับคุณภาพบริการสุขภาพโดยรวม</p> จุฑาภรณ์ พระเมือง, ดวงกมล ประสพแสนทวี, ดวงพร ชูสวัสดิกุล, มลฤดี มณีใหญ่, วาสินี วิเศษฤทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/280170 Mon, 03 Nov 2025 00:00:00 +0700