วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned <p><strong>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (</strong><strong>Journal of Nursing and Therapeutic Care)</strong></p> <p><strong><span class="font-weight-bold" data-v-4fadc455="">ISSN:</span> 2985-1432 (Online)</strong></p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ชื่อเดิม: วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ </p> <p>และเปลี่ยนเฉพาะชื่อภาษาอังกฤษ <strong>จากเดิม "Journal of Nursing and Health Care" </strong></p> <p><strong>เป็น “Journal of Nursing and Therapeutic Care”</strong></p> <p>วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (Journal of Nursing and Therapeutic Care) เป็นของสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางของบุคลากรวิชาชีพการพยาบาลฯ การดูแลสุขภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมเผยแพร่ความรู้และแนวปฏิบัติจากงานวิจัย บทความวิชาการ และบทความอื่นๆที่น่าสนใจ <strong>เพื่อเพิ่มพูนความเข้มแข็งทางวิชาชีพการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ</strong> ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญชวนให้พยาบาลทุกท่านและผู้ที่เกี่ยวข้องที่สนใจส่งบทความมาเผยแพร่ในวารสารนี้ กองบรรณาธิการยินดีรับเรื่องที่ท่านส่งมาและยินดีสรรหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ท่านเขียน มาให้ข้อเสนอแนะ ในการปรับปรุงต้นฉบับให้ได้คุณภาพอย่างสมบูรณ์แบบ</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 4 ฉบับ ทุก ๆ 3 เดือน</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม</p> <p>ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน</p> <p>ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน</p> <p>ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม</p> สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ th-TH วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ 2985-1432 ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ความมั่นใจในการดูแลตนเองและระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274968 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการดูแลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ความมั่นใจในการดูแลตนเอง และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการดูแลตนเองของ Riegel และคณะ การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การพัฒนาโปรแกรมการดูแลตนเองโดยการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 เรื่อง และการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก นำมาพัฒนาเป็นโปรแกรมการดูแลตนเองที่มีองค์ประกอบ ได้แก่ การดูแลด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การจัดทำตารางการใช้ยาที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน การติดตามทางโทรศัพท์ และการประเมินระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วในครั้งที่ 1 และเดือนที่ 1 ระยะที่ 2 การประเมินประสิทธิผลของโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จำนวน 40 ราย คัดเลือกแบบสะดวก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง แบบประเมินดัชนีพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบประเมินความมั่นใจในการดูแลตนเอง และแบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้ว ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ paired t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ พฤติกรรม และความมั่นใจในการดูแลตนเองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>&lt; .05) โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก 13.93, 78.20 และ 77.20 เป็น 18.55, 91.13 และ 94.20 ตามลำดับ และสัดส่วนของผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้พอใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 57 ในขณะที่สัดส่วนของผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีและควบคุมไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 35 เหลือเพียงร้อยละ 10</p> ณัชณิชา มีมาก นภาพร หรรษา นวรัตน์ ใจซื่อ ปาริชาต เรืองทองเมือง พัชรี นวลมุสิก วิชิดา เทียมสานุจิตต์ ศรันยา รู้แจ้ง นันท์ณภัส สารมาศ เทพกัลยา เหมทานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-16 2024-12-16 42 4 e274968 e274968 การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพด้านการวางแผนจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่องในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274252 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพด้านการวางแผนจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่อง ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และ 2) ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมฯ โดยเปรียบเทียบคะแนนสมรรถนะพยาบาล ความรู้และทักษะการปฏิบัติ ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมฯ และศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้โปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง เป็นพยาบาลผู้รับการพัฒนาสมรรถนะ 21 คนและพยาบาลที่เชี่ยวชาญทางการพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ประเมินสมรรถนะ 3 คน ใช้กรอบวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมี 4 ขั้นตอน 1) ขั้นวางแผน วิเคราะห์ปัญหาและออกแบบโปรแกรมฯ 2) ขั้นปฏิบัติตามแผน ดำเนินการตามโปรแกรมร่วมกับการนิเทศ 3) ขั้นสังเกต ประเมินผลการปฏิบัติงานและ 4) ขั้นสะท้อนผล เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพด้านการวางแผนจำหน่ายและการดูแลต่อเนื่องฯ ผ่านการตรวจคุณภาพด้านความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเท่ากับ 1 เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินสมรรถนะ แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะและแบบประเมินความพึงพอใจ มีความตรงเชิงเนื้อหา 1, 0.97, 1, 0.97 และความเที่ยง เท่ากับ 0.81, 0.72, 0.84 และ 0.87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบ Wilcoxon Singed-Rank Test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นใช้แนวคิดสมรรถนะพยาบาลโรคหลอดเลือดสมองและวางแผนจำหน่ายดูแลต่อเนื่อง ประกอบด้วย การอบรมให้ความรู้และฝึกทักษะ 2 วัน ร่วมกับการนิเทศ และ 2) ภายหลังการใช้โปรแกรมพยาบาลมีคะแนนสมรรถนะด้านวางแผนจำหน่ายและดูแลต่อเนื่องสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีคะแนนความรู้สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่มีทักษะการปฏิบัติไม่แตกต่างกันส่วนความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ดังนั้นจึงควรนำโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะฯ ที่พัฒนาขึ้น ไปใช้ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมอื่น ๆ ที่มีบริบทคล้ายกับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> สุภาพร ศรีพนม จิตภินันท์ ศรีจักรโคตร Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-14 2024-11-14 42 4 e274252 e274252 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกรับบริการยาฝังคุมกำเนิดของวัยรุ่นภาวะเสี่ยง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274366 <p>การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและของทั้งโลก ซึ่งยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดกึ่งชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพ ที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้วัยรุ่นที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่มีความพร้อมใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณาแบบหาความสัมพันธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกคุมกำเนิดแบบฝังยาคุมของวัยรุ่นภาวะเสี่ยง กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีวัยรุ่นที่มารับบริการคุมกำเนิดที่คลินิกวัยรุ่น โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 96 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับยาฝังคุมกำเนิด 3) แบบสอบถามเจตคติต่อการฝังยาคุมกำเนิด 4) แบบสอบถามการรับรู้บรรทัดฐานทางสังคมต่อการฝังยาคุมกำเนิด 5) แบบสอบถามพลังความสามารถของตนเองต่อยาฝังคุมกำเนิด โดยมีคุณภาพของเครื่องมือฉบับที่ 2 (KR-20) = 0.85 และ 3-5 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α-Coefficient) ของครอนบาช (Cronbach) เท่ากับ 0.80, 0.79 และ 0.83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไคสแควร์ และสถิติถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 64.58 เลือกฝังยาคุมกำเนิด ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกฝังยาคุมกำเนิดของวัยรุ่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) ได้แก่ สถานภาพสมรส การพักอาศัย ประสบการณ์การคุมกำเนิด ความรู้เกี่ยวกับการฝังยาคุมกำเนิด การรับรู้ความคิดเห็น/การสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อน และพลังความสามารถของตนเองต่อยาฝังคุมกำเนิดของวัยรุ่น ข้อเสนอแนะ ควรมีกิจกรรมหรือวิธีการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับยาฝังคุมกำเนิด ทัศนคติที่ดีต่อการฝังยาคุมกำเนิด ให้กับวัยรุ่นรวมทั้งสร้างเครือข่ายสนับสนุนในครอบครัวและชุมชนเพิ่มอัตราการเลือกใช้ยาฝังคุมกำเนิดในกลุ่มวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> นธภร วิโสรัมย์ ฐพัชร์ คันศร นงลักษณ์ ตาทอง นรัศรา ชุมชิต Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-09 2024-12-09 42 4 e274366 e274366 พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หลังใส่ขดลวดค้ำยันหลอดเลือดหัวใจ: การวิจัยแบบผสมผสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274568 <p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หลังใส่ขดลวดค้ำยันหลอดเลือดหัวใจ ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ศึกษาเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 35 คน ประกอบด้วย ผู้ป่วย 10 คน ผู้ดูแล 10 คน และทีมสุขภาพ 15 คน ศึกษาเชิงปริมาณเฉพาะกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยจำนวน 188 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง ทดสอบความตรงตามเนื้อหา ได้เท่ากับ .91 ทดสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์ของครอนบาค .82 ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ พบว่า หลังใส่ขดลวดค้ำยันกลุ่มตัวอย่างบางรายยังมีปัญหาในการการดูแลตนเองคือยังไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้าน ความต้องการสนับสนุนคือ การได้รับคำแนะนำ การมีช่องทางที่ชัดเจนในการติดต่อสอบถามและให้มีรถพยาบาลรับส่งที่รวดเร็วในชุมชน ส่วนผู้ดูแลให้การดูแลในเรื่องการจัดอาหารและยา ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ผู้ดูแลต้องการให้มีเจ้าหน้าที่สุขภาพติดตามดูแลต่อเนื่อง ทีมสุขภาพให้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยขาดความเข้าใจเรื่องการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ความต้องการสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยคือ 1) ส่งเสริมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ ผู้ป่วยและผู้ดูแลในชุมชน 2) มีเวชภัณฑ์จำเป็นและสื่ออุปกรณ์พอพียง 3) การใช้แอปพลิเคชันในการติดต่อกับผู้ป่วยและผู้ดูแล 4) การดูแลที่บ้านโดยทีมสหวิชาชีพการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่า หลังใส่ขดลวดค้ำยันผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองระดับดี ยกเว้นด้านการแสวงหาความช่วยเหลือเมื่อเจ็บป่วยจากบุคคลที่เชื่อถือได้ระดับพอใช้ ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและผู้ป่วยหลังใส่ขดลวดค้ำยันหลอดเลือดหัวใจ เพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดูตนเองได้เหมาะสมกับโรค ช่วยลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน และใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพและผู้ดูแลในชุมชน</p> เปรมณัฐชยา บุญยอ นิตยา ศิริชัย สำราญ ตังคโณบล จรีนุช จินารัตน์ นาฏอนงค์ เสนาพรหม วาสนา นิลหล้า Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-09 2024-12-09 42 4 e274568 e274568 ผลของการใช้ระบบดูแลสุขภาพทางไกลร่วมกับการจัดการรายกรณีและ การจัดการรายกรณีอย่างเดียวต่อระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/272777 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ระบบดูแลสุขภาพทางไกลร่วมกับการจัดการรายกรณีและการจัดการรายกรณีอย่างเดียวต่อระดับความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 26 คน ได้จากการสุ่มอย่างมีขั้นตอนแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและทดลอง กลุ่มละ 13 คน กลุ่มทดลองใช้ระบบดูแลสุขภาพทางไกลร่วมกับการจัดการรายกรณีผ่านแพลตฟอร์ม Telehealth Thailand กลุ่มควบคุมใช้การจัดการรายกรณีอย่างเดียว ทั้งสองกลุ่มทำการวัดความดันโลหิตในช่วงเวลาเช้าและก่อนนอนเป็นเวลา 7 วันติดกันทุก 4 สัปดาห์ โดยกลุ่มทดลองส่งข้อมูลให้ผู้วิจัยและได้รับข้อมูลสะท้อนกลับอย่างต่อเนื่อง กลุ่มควบคุมไม่ส่งข้อมูล สัปดาห์ที่ 12 กลุ่มทดลองพบแพทย์ออนไลน์ กลุ่มควบคุมพบแพทย์ตามนัดที่โรงพยาบาล สัปดาห์ที่ 24 ทั้งสองกลุ่มพบแพทย์ที่โรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความดันโลหิตระหว่างสองกลุ่มสัปดาห์ที่ 1 และ 24 ใช้สถิติทดสอบ t-test เพื่อวัดความแตกต่าง และใช้ repeated measures ANOVA เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความดันโลหิตในทั้งสองกลุ่มลดลงตามเป้าหมาย แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (<em>p</em>&gt; .05) ในขณะที่แนวโน้มของความดันโลหิตของทั้งสองกลุ่มมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง</p> สุภาพ อิ่มอ้วน แพรว โคตรุฉิน สาธร พลพงษ์ ฐปนวงศ์ มิตรสูงเนิน สุณี เลิศสินอุดม นิภา อุดรจรัส Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-04 2024-11-04 42 4 e272777 e272777 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จากการเรียนการสอนรูปแบบ Cloud University รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274740 <p>การเรียนการสอนแบบ Cloud University เป็นการเรียนที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ความต้องการการเรียนรู้ กำหนด เป้าหมาย แสวงหาความรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง การวิจัยเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงทำนายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จากการเรียนการสอนรูปแบบ Cloud university รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา ประชากรที่ศึกษา คือ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1 สุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามสมบูรณ์ 137 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามออนไลน์ มีระดับการวัดเป็นมาตรประเมินค่า 5 ระดับ ตรวจสอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความตรงระหว่าง 0.67 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.99 สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณแบบหลายขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ด้านปัจจัยด้านผู้เรียนและด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางส่วนปัจจัยด้านผู้สอน และด้านการวัดประเมินมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จากการเรียนการสอนรูปแบบ Cloud university รายวิชากายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา คือ ปัจจัยผู้เรียน สามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 21.40 ฉะนั้น ควรมีการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ให้กับนักศึกษาก่อนเข้าศึกษาเพื่อให้นักศึกษามีความมั่นใจในการเรียนออนไลน์</p> จิตฤดี รอดการทุกข์ ธมลวรรณ แก้วกระจก ดาลิมา สำแดงสาร Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-09 2024-12-09 42 4 e274740 e274740 ผลของการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม “วิวาห์เลือกคู่” และ Line Official “ธาลัส Daily” ต่อความรู้และทัศนคติด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียในนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274042 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม “วิวาห์เลือกคู่” และ Line Official “ธาลัส Daily” ต่อความรู้และทัศนคติด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียในนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้าจำนวน 66 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 33 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ ซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย การให้ความรู้ผ่านเกมทางเลือก "วิวาห์เลือกคู่" และ Line official "ธาลัส Daily" เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียด้วยตนเองตามอัธยาศัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบวัดความรู้ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นที่ทดสอบโดยใช้ KR-20 เท่ากับ .75 และแบบสอบถามทัศนคติของนักศึกษาในการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมีย ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .80 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนกันยายน ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและค่าสถิติที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการจัดการเรียนรู้ผ่านเกม “วิวาห์เลือกคู่” และ Line Official “ธาลัส Daily”กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) และมีค่าเฉลี่ยคะแนนทัศนคติสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) และ ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้และทัศนคติในการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) ข้อเสนอแนะจากการวิจัย สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการส่งเสริมความรู้และทัศนคติในการป้องกันการตั้งครรภ์ทารกเป็นธาลัสซีเมียในนักศึกษาพยาบาลต่อไป</p> อรพรรณ ผิวขม กิติยาภรณ์ เสริมสาย คมคาย แสนแป้ จิดาภา คมสัน เสาวลักษณ์ ศิริเกตุ อรอนงค์ บุญมี ศุภวดี แถวเพีย Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-06 2024-11-06 42 4 e274042 e274042 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานตามแนวทางการป้องกันและควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274749 <p>การวิจัยเชิงทํานายนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และอำนาจทำนายการปฏิบัติงานตามแนวทางการป้องกันและควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คัดเลือก อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน แบบแบ่งชั้นภูมิจำนวน 112 คน เครื่องมือประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบทดสอบความรู้เรื่องการป้องกันและควบคุมวัณโรคปอด 3) แบบสอบถามทัศนคติ 4) แบบสอบถามการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม และ 5) แบบสอบถามการปฏิบัติงาน ได้ค่าความตรงตามเนื้อหาอยู่ในช่วง .67 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบความรู้ โดยวิธี KR-20 เท่ากับ .83 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคของแบบสอบถามทั้งหมดเท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยการได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับมากกับการปฏิบัติงานตามแนวทางการป้องกันและควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 โดยพบว่า การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถร่วมทำนายได้ร้อยละ 28.30 ผลการศึกษาดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมสามารถส่งผลให้การปฏิบัติงานตามแนวทางการป้องกันและควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> อัจฉราพร สหวิริยะสิน กมลวรรณ สุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-09 2024-12-09 42 4 e274749 e274749 ผลของโปรแกรมการถอดท่อช่วยหายใจโดยใช้ CALM criteria ต่อความสำเร็จ ในการหย่าเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยวิกฤติที่มีระบบทางเดินหายใจล้มเหลว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274123 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการถอดท่อช่วยหายใจโดยใช้ CALM criteria ต่อความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยวิกฤติที่มีระบบทางเดินหายใจล้มเหลว กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยวิกฤติ ใส่ท่อและใช้เครื่องช่วยหายใจที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 30 คน ได้รับการดูแลตามแนวทางการหย่าเครื่องช่วยหายใจวิธีเดิม และกลุ่มทดลอง 30 คน ได้รับการหย่าเครื่องช่วยหายใจตามแนวปฏิบัติการพยาบาลที่ประกอบด้วย 3 ระยะได้แก่ 1) ระยะประเมินความพร้อมในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ 2) ระยะติดตามการหย่าเครื่องช่วยหายใจ 3) ระยะประเมินความสำเร็จการหย่าเครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย โปรแกรม CALM criteria เพื่อประเมินความพร้อมก่อนถอดท่อช่วยหายใจ และแบบบันทึกการดูแลหลังถอดท่อช่วยหายใจ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงบรรยาย เปรียบเทียบจํานวนวันใส่ท่อช่วยหายใจ โดยใช้สถิติ Mann-Whitney U test เปรียบเทียบความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจ โดยใช้สถิติไคว์สแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติที่ (<em>p </em>&gt;.05) เปรียบเทียบความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง พบว่า กลุ่มที่ใช้โปรแกรมการถอดท่อช่วยหายใจโดยใช้ CALM criteria มีความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ (<em>p</em> &lt; .001) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ประเมินความพร้อมก่อนถอดท่อช่วยหายใจโดยใช้โปรแกรม CALM criteria สามารถเพิ่มความสำเร็จในการหย่าเครื่องช่วยหายใจได้ สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยกลุ่มโรคอื่น ๆ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกันและใช้เป็นแนวทางการนิเทศการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพที่มีผู้ป่วยถอดท่อช่วยหายใจ เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจให้ดียิ่งขึ้น</p> เลอลักษณ์ ไล้เลิศ พนาวรรณ บุญพิมล สริตา สินสืบผล Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-18 2024-11-18 42 4 e274123 e274123 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/275887 เสาวมาศ คุณล้าน เถื่อนนาดี Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-12 2024-12-12 42 4 1 3 บทบาทของพยาบาลในการจัดการอาการหอบกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยความรู้และทักษะ 8 เรื่องที่จำเป็นสำคัญ: การดูแลต่อเนื่องในภาวะอาการคงที่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jnat-ned/article/view/274419 <p>โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น มีอัตราการตายสูงขึ้นทุกปี มีค่าใช้จ่ายสูง โดยมีลักษณะของโรค คือ มีความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ประกอบไปด้วย 2 กลุ่มโรครวมกันได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง ผู้ป่วยจะมีอาการ ไอมีเสมหะ หายใจลำบากและหอบกำเริบเฉียบพลันส่วนใหญ่เกิดกับผู้ป่วยกลุ่มสูงอายุ ซึ่งมีความซับซ้อน ยุ่งยากมากขึ้นในการให้การพยาบาล จึงทำให้พยาบาลต้องมีความเชี่ยวชาญชำนาญในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พยาบาลสามารถดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุม ทำให้ผู้ป่วยจัดการและป้องกันอาการหอบกำเริบเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังด้วยความรู้และทักษะ 8 เรื่องที่จำเป็นสำคัญในระยะการดูแลต่อเนื่องในภาวะอาการคงที่ได้ นอกจากนี้ต้องประเมินผู้ป่วยอย่างครอบคลุมพร้อมกับให้ความรู้และทักษะทั้งหมด 8 เรื่อง ในการป้องกันและจัดการอาการหายใจลำบากและหอบกำเริบเฉียบพลัน ได้แก่ 1) การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น 2) การจัดการอารมณ์ 3) การออกกำลังการที่ถูกต้องเหมาะสม 4) การสงวนพลังงาน 5) การพ่นยาที่ถูกวิธีและการมาตรวจตามแพทย์นัด 6) การฝึกการไออย่างมีประสิทธิภาพ 7) การบริหารการหายใจ และ 8) การเลือกรับประทานอาหาร ในระยะการดูแลต่อเนื่องในภาวะอาการคงที่ เพื่อผลลัพธ์ทางการพยาบาล คือ ลดอาการหอบกำเริบเฉียบพลัน ลดการกลับมารักษาซ้ำภายใน 28 วัน ลดอัตราการใส่ท่อช่วยหายใจ ลดอัตราการตาย ลดค่าใช้จ่ายของการรักษา พร้อมกับชะลอการดำเนินการของโรคเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย</p> เสน่ห์ พุฒธิ จรรฎา ภูยาฟ้า Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-14 2024-11-14 42 4 e274419 e274419