https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/issue/feed วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย 2024-03-29T16:01:33+07:00 Athip Tanaree, M.D., Ph.D. [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นโดยกรมสุขภาพจิต มีนโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ คือ เป็นผลงานวิจัยและผลงานวิชาการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือมีประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับประเทศ</p> <p>The Journal of Mental Health of Thailand is the official journal of the Department of Mental Health, Ministry of Public Health, Thailand. Its focus and scope is a new knowledge of research and academic work in mental health and psychiatry or useful in exchanging knowledge at the national level.</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/265654 โปรแกรมบำบัดด้วยการเจริญสติสำหรับประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง : การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต 2023-10-16T09:46:59+07:00 เกษราภรณ์ เคนบุปผา [email protected] เกษร สายธนู [email protected] โปรยทิพย์ สันตะพันธ์ [email protected] เกยูร กุจพันธ์ สมิท [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อทบทวนผลของโปรแกรมบำบัดด้วยการเจริญสติและความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตจากบทความวิจัยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่สืบค้นได้จากฐานข้อมูล ThaiJO, ThaiLIS, PubMed, CINAHL, PsycINFO และ Web of Science ระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2565 คำสำคัญที่ใช้ในการสืบค้น ได้แก่ สติ, การเจริญสติ, โรคหลอดเลือดสมอง, mindfulness, mindfulness-based interventions และ stroke survivors ประเมินคุณภาพงานวิจัยอย่างอิสระโดยผู้วิจัย 2 คน ใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพงานวิจัยของ Joanna Briggs institute และคัดงานวิจัยที่มีคุณภาพต่ำออก</p> <p><strong>ผล :</strong> ค้นพบงานวิจัย 101 เรื่อง สามารถนำมาสังเคราะห์จำนวน 15 เรื่อง โปรแกรมบำบัดด้วยการเจริญสติมีผลต่อการฟื้นตัวด้านร่างกาย ช่วยลดความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้า และเพิ่มสมรรถนะการรู้คิดและการสื่อสาร รูปแบบการบำบัดส่วนใหญ่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้บำบัดและผู้รับการบำบัดหรือแบบผสมผสานทั้งเผชิญหน้าและออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย มี 1 เรื่องให้ผู้ดูแลเข้ามามีส่วนร่วมในโปรแกรม โปรแกรมส่วนใหญ่มีระยะเวลาบำบัดประมาณ 8 สัปดาห์และได้รับการยอมรับดีจากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แต่งานวิจัยส่วนใหญ่ยังใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ และไม่มีการทดสอบทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป :</strong> มีความเป็นไปได้ในการใช้โปรแกรมการเจริญสติในการบำบัดทางการพยาบาลเพื่อฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจในผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง แต่ยังมีความต้องการหลักฐานเชิงประจักษ์คุณภาพสูง ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมและพัฒนาศักยภาพพยาบาลในการบำบัดด้วยการเจริญสติเพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมองอย่างองค์รวม</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/268522 หนึ่งทศวรรษวันไบโพลาร์โลก : เริ่มต้นที่ประเทศไทย แล้วกระจายไปทั่วโลก 2024-01-20T16:49:42+07:00 พิเชฐ อุดมรัตน์ [email protected] <p> หากนับการจัดงานเปิดตัววันไบโพลาร์โลกด้วยการกล่าวถึงวันดังกล่าวในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก คือ ในที่ประชุมวิชาการประจำปีของ ISBD (International Society for Bipolar Disorders) เมื่อกลางเดือน มีนาคม พ.ศ. 2557 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวันไบโพลาร์โลก (World Bipolar Day: WBD) เมื่อถึงปีนี้ (พ.ศ. 2567) ก็นับว่าครบ 10 ปีหรือ 1 ทศวรรษของ WBD พอดี</p> <p> แต่ถ้าถามว่า ความคิดที่เสนอให้มีวันดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใดและ พ.ศ. ใด ก็ต้องตอบว่า เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นประมาณ 1 ปี คือ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ณ โรงแรมเซ็นทรัลแกรนด์ คอนเวนชั่น ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เนื่องจากในขณะนั้นผมเพิ่งรับตำแหน่งเป็นประธาน (Chairman) ของ Asian Network of Bipolar Disorder (ANBD) จึงจัดให้มีการประชุม Council meeting ขึ้นที่กรุงเทพฯ และเชิญ Prof. Willem Nolen ซึ่งเป็นประธาน (President) ของ ISBD มาเข้าร่วมประชุม Council meeting ของ ANBD ด้วย</p> <p> ในการประชุมวันนั้น ผมได้เสนอว่า ปัจจุบันมีโรคทางกายหลายโรคที่สำคัญ ซึ่งถูกจัดให้เป็นวันโลก (World Day) ของโรคนั้น ๆ เช่น วันเอดส์โลก วันมะเร็งโลก วันนอนหลับโลก เป็นต้น แต่ในด้านสุขภาพจิตและจิตเวชศาสตร์ เรามีเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น คือ วันสุขภาพจิตโลก (10 ตุลาคม) และวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (10 กันยายน) ขณะที่เราก็ทราบกันว่าโรคไบโพลาร์นั้นเป็นความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงแต่สามารถรักษาได้ ทำไมเราไม่มีวันไบโพลาร์โลก (World Bipolar Day: WBD) ด้วย ปรากฏว่าทุกคนในห้องประชุมได้เห็นพ้องต้องกันว่าเราควรจะมีวันดังกล่าว คำถามต่อมาก็คือ ผมถามที่ประชุมว่า เราจะเลือกวันไหนเป็นวันไบโพลาร์โลก โดยผมเสนอว่า เราควรเลือกวันเกิดของ Vincent van Gogh ซึ่งตรงกับวันที่ 30 มีนาคม เป็นวันไบโพลาร์โลกจะดีหรือไม่ เนื่องจากเชื่อว่า Vincent van Gogh ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคไบโพลาร์ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ของผม โดยเฉพาะ Prof. Willem Nolen ชอบความคิดนี้มาก เพราะ ISBD จะจัดการประชุมประจำปีที่กรุงโซล ในกลางเดือน มีนาคม ปี ค.ศ. 2014 พอดี Prof. Nolen คิดว่า WBD จะทำให้การประชุม ISBD มีความสำคัญมากขึ้น เพราะจะมีการเปิดตัว WBD ในวันแรกของการประชุมดังกล่าว ดังนั้น ISBD จึงนำความคิดนี้ไปเสนอกับอีกองค์กรหนึ่ง คือ International Bipolar Foundation (IBPF) เพื่อให้สนับสนุนเรื่องนี้ ในที่สุดจึงมี 3 องค์กรเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ISBD, IBPF และ ANBD แต่เงินและการสนับสนุนส่วนใหญ่มาจาก ISBD และ IBPF ความคิดแรกของผมที่เสนอให้มีวันไบโพลาร์โลกด้วยวัตถุประสงค์จะให้สาธารณชนตระหนักและรับรู้ถึงความสำคัญของโรคไบโพลาร์ และเพื่อที่จะลดตราบาปของโรคนี้ด้วย</p> <p> เราได้จัดกิจรรมเนื่องในวันไบโพลาร์โลกครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557 จัดโดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ชมรมความผิดปกติทางอารมณ์แห่งประเทศไทย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ชมรมจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและประสาทจิตเวชศาสตร์ไทย ชมรมเพื่อนไบโพลาร์ และเครือข่ายโรคไบโพลาร์ของทวีปเอเชีย โดยจัดเป็นกิจกรรมวิชาการจิตเวชน่ารู้สู่ประชาชน เรื่อง “เรียนรู้และเข้าใจโรคไบโพลาร์” ณ โรงแรมเชอราตันแกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก และทำให้คำว่า โรคไบโพลาร์ เป็นที่รู้จักชองสังคมไทย ในปี พ.ศ. 2557 นั้น นอกจากกิจกรรมข้างต้นที่กรุงเทพฯ แล้วยังมีการจัดกิจกรรมบรรยายทางวิชาการ เรื่อง โรคไบโพลาร์ ให้กับประชาชน ณ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ อีกด้วย</p> <p> นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันไบโพลาร์โลกในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี และกรมสุขภาพจิตได้เข้ามามีบทบาทสำคัญร่วมกับสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยในการจัดกิจกรรมดังกล่าว</p> <p> ขณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2557 ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันไบโพลาร์โลกในหลายประเทศของทวีปเอเชียภายใต้การสนับสนุนจาก ANBD หลังจากนั้นก็ได้แพร่กระจายไปในประเทศต่าง ๆ ของทวีปอื่น ๆ จนถึงปี พ.ศ. 2564 วันไบโพลาร์โลกเป็นที่รู้จักกันดีในระดับนานาชาติ โดยเมื่อนับจากปี พ.ศ. 2557 จนถึงปี พ.ศ. 2564 พบว่า มีการจัดกิจกรรมที่ถูกบันทึกไว้ 136 กิจกรรม จาก 50 กว่าองค์กร ใน 36 ประเทศทั่วโลก<sup>1</sup> ซึ่งเป็นสิ่งที่ ISBD ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่ากิจกรรมวันไบโพลาร์โลกนี้ จะทำให้ทั่วโลกเกิดความสนใจและตระหนักรู้เรื่องโรคไบโพลาร์ได้มากมายขนาดนี้ จึงเห็นได้ว่า แนวคิดที่ตั้งต้นจากประเทศไทย สามารถทำให้เกิดการจัดกิจกรรมไปทั่วโลกและช่วยลดตราบาป (stigma) ต่อผู้ป่วยโรคนี้ลงได้</p> <p> อย่างไรก็ตามกระแสในการจัดกิจกรรมเนื่องในวันไบโพลาร์โลกอาจจะลดน้อยถอยลงไปได้ในอนาคต ดังนั้นพวกเราที่เป็นบุคลากรสุขภาพจิตควรจะได้ร่วมมือร่วมใจกันเป็นประจำในการจัดกิจกรรมให้สม่ำเสมอทุกปี และควรรณรงค์เชิญชวนให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น เช่น การจัดให้มีการประกวดคำขวัญหรือ theme ของวันไบโพลาร์โลกในแต่ละปี เป็นต้น</p> <p> มาช่วยกันทำให้วันไบโพลาร์โลก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากประเทศไทยได้มีกิจกรรมขจรขจายไปยังนานาประเทศทั่วโลกเป็นประจำสม่ำเสมอกันทุกปีนะครับ</p> 2024-03-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/270114 บรรณาธิการแถลง 2024-03-29T16:01:33+07:00 อธิบ ตันอารีย์ [email protected] <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยฉบับนี้เป็นฉบับที่ 1 ของปี พ.ศ. 2567 มีบทความทั้งหมด 8 เรื่อง เป็นบทบรรณาธิการ 1 เรื่อง คือ <em>หนึ่งทศวรรษวันไบโพลาร์โลก : เริ่มต้นที่ประเทศไทย แล้วกระจายไปทั่วโลก</em> โดย พิเชฐ อุดมรัตน์ นิพนธ์ต้นฉบับ 6 เรื่อง ได้แก่ <em>ปัจจัยทำนายความยืดหยุ่นทางจิตใจของผู้ติดยาเสพติดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย </em>โดย พรจิตติ เผ่าภูธร และชูชาติ วงศ์อนุชิต <em>การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพแบบประเมินเด็กเลี้ยงยาก อายุ 3 - 6 ปี </em>โดย ประพา หมายสุข และคณะ <em>Exposure to air pollution and self-reported depression, anxiety, and stress in chronic respiratory patients: a preliminary study in the urban area of Thailand </em>โดย Mekwilai W และคณะ <em>ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้นในวัยรุ่นชายในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน </em>โดย ภัทรพร ปานดี และคณะ <em>ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลปัตตานี </em>โดย เอ็มนัสรี มินทราศักดิ์ และ <em>ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ปี พ.ศ. 2563 - 2566 </em>โดย วรวรรณ จุฑา และกมลลักษณ์ มากคล้าย และบทความปริทัศน์ 1 เรื่อง คือ <em>โปรแกรมบำบัดด้วยการเจริญสติสำหรับประยุกต์ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง : การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต </em>โดย เกษราภรณ์ เคนบุปผา และคณะ</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ทางวารสารจะมีการปรับรายละเอียดในคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ ดังนี้ 1) รูปแบบเอกสารอ้างอิง โดยให้ผู้นิพนธ์เขียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยยังคงรูปแบบแวนคูเวอร์ (Vancouver) เช่นเดิม 2) ค่าร้อยละปรับเป็นทศนิยม 2 ตำแหน่ง และค่า p-value ปรับเป็นทศนิยม 3 ตำแหน่ง และ 3) เพิ่มหัวข้อการมีส่วนร่วมของผู้นิพนธ์ในกรณีที่มีผู้นิพนธ์ร่วม ต้องระบุชื่อผู้นิพนธ์ร่วมและระบุบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่ฉบับนี้เป็นต้นไป ขอให้ผู้นิพนธ์ศึกษารายละเอียดในเอกสารคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ฉบับล่าสุด</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผมและกองบรรณาธิการขอขอบคุณผู้นิพนธ์ทุกท่านที่เชื่อมั่นและไว้วางใจส่งบทความเข้ามายังวารสาร และขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิและกองบรรณาธิการที่ช่วยพิจารณาตรวจสอบบทความ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านอ่านบทความทางวารสารออนไลน์ <a href="https://www.tci-thaijo.org/index.php/jmht">www.tci-thaijo.org/index.php/jmht</a> และยังสามารถส่งบทความเพื่อเข้ารับการพิจารณาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ดังกล่าวด้วย</p> 2024-03-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/266217 ปัจจัยทำนายความยืดหยุ่นทางจิตใจของผู้ติดยาเสพติดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 2023-10-31T15:38:08+07:00 พรจิตติ เผ่าภูธร [email protected] ชูชาติ วงศ์อนุชิต [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายความยืดหยุ่นทางจิตใจของผู้ติดยาเสพติด</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ติดยาเสพติด ณ แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลธัญญารักษ์ทุกแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2565 แบบสอบถามประกอบด้วย แบบวัดการรับรู้ว่าถูกตีตราของการติดยาเสพติด แบบสอบถามความตั้งใจในการเลิกยาเสพติด แบบวัดความภาคภูมิใจในตนเองของโรเซนเบิร์ก แบบวัดกลยุทธ์การเผชิญปัญหาแบบไทย (การทำใจ) และแบบวัดความยืดหยุ่นทางจิตใจของผู้ติดยาเสพติด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง ได้แก่ สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 266 คน อายุเฉลี่ย 32.1 ปี (SD = 10.1) เป็นเพศชายร้อยละ 86.1 ใช้ยาบ้าเป็นยาเสพติดหลักร้อยละ 61.3 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความยืดหยุ่นทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การรับรู้ว่าถูกตีตรา (r = -.301, p &lt; .01) ความตั้งใจในการเลิกยาเสพติด (r = .277, p &lt; .01) ความภาคภูมิใจในตนเอง (r = .430, p &lt; .01) และการทำใจ (r = .362, p &lt; .01) โดยสามารถร่วมกันทำนายความแปรปรวนของความยืดหยุ่นทางจิตใจได้ร้อยละ 27.5 (R<sup>2</sup> = .275)</p> <p><strong>สรุป :</strong> ผู้ติดยาเสพติดควรได้รับการบำบัดที่ลดการรับรู้ว่าถูกตีตราและเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเอง ความตั้งใจในการเลิกยาเสพติด และกลยุทธ์การเผชิญปัญหาที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมความยืดหยุ่นทางจิตใจและลดการกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำ</p> 2024-03-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/266145 การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพแบบประเมินเด็กเลี้ยงยาก อายุ 3 - 6 ปี 2023-10-26T15:54:47+07:00 ประพา หมายสุข [email protected] ฒามรา สุมาลย์โรจน์ [email protected] เพ็ญรยา นิลสุ่ม [email protected] แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและตรวจคุณภาพของแบบประเมินเด็กเลี้ยงยาก อายุ 3 - 6 ปี</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> พัฒนาแบบประเมินโดยอิงทฤษฎีพัฒนาการอารมณ์สังคมและพัฒนาการทางระบบประสาท ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยการหาดัชนีความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคและสหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม ตรวจสอบความคงที่ของแบบประเมินด้วยวิธีทดสอบซ้ำ และตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างโดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันในกลุ่มพ่อแม่หรือผู้ดูแลหลักของเด็กปฐมวัยอายุ 3 - 6 ปี</p> <p><strong>ผล :</strong> แบบประเมินฉบับร่าง 50 ข้อ มีองค์ประกอบ 6 ด้าน ประกอบด้วยลักษณะเด็กเลี้ยงง่าย เด็กอ่อนไหว เด็กเก็บตัว เด็กท้าทาย เด็กเหม่อลอย และเด็กมากพลัง มีดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.6 - 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวมระหว่าง 0.28 - 0.81 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันจากวิธีทดสอบซ้ำระหว่าง 0.60 - 0.89 (p &lt; .001) การทดสอบในกลุ่มตัวอย่าง 367 คน พบว่า มี 33 ข้อที่ผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคทั้งฉบับ 0.83 และรายองค์ประกอบระหว่าง 0.72 - 0.91</p> <p><strong>สรุป :</strong> แบบประเมินเด็กเลี้ยงยากที่พัฒนาขึ้นมีคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาที่เหมาะสม โดยมีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและมีความสอดคล้องภายในสูง</p> 2024-03-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/267414 การรับสัมผัสมลพิษอากาศกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด ของผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง : การศึกษาเบื้องต้นในพื้นที่เขตเมือง ประเทศไทย 2023-12-28T16:32:33+07:00 วีร์ เมฆวิลัย [email protected] วรวรรณ ศิริชนะ [email protected] สริตา เธาวนพงษ์ [email protected] กมล แก้วกิติณรงค์ [email protected] ณัฏฐา ฐานีพานิชสกุล [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเผชิญกับมลพิษทางอากาศกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดในผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> เก็บข้อมูลจากผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ได้แก่ โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง และโรงหลอดลมโป่งพอง ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แบบสอบถามประกอบด้วยลักษณะทางสังคมและประชากรและแบบวัดภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด ฉบับ 21 ข้อ ประมาณค่ามลพิษทางอากาศบริเวณที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างในช่วงปีก่อนหน้า ได้แก่ CO, O<sub>3</sub>, NO<sub>2</sub>, SO<sub>2</sub>, PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5 </sub>โดยวิธีการ ordinary kriging และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการสัมผัสมลพิษทางอากาศกับปัญหาสุขภาพจิตด้วย multivariate logistic regression</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 98 คน มีความชุกของภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดเท่ากับร้อยละ 30.6, 28.6 และ 26.5 ตามลำดับ ระดับ CO, O<sub>3</sub>, NO<sub>2</sub>, SO<sub>2</sub>, PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5 </sub>บริเวณที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.9 ppm, 21.4 ppb, 18.2 ppb, 2.6 ppb, 41.0 μg/m<sup>3</sup> และ 22.6 μg/m<sup>3</sup> ตามลำดับ ระดับ PM<sub>2.5 </sub>ที่เพิ่มสูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มโอกาสการเกิดภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ (AOR = 1.34, 95% CI = 1.02 - 1.79)</p> <p><strong>สรุป :</strong> การเผชิญกับฝุ่นพิษ PM<sub>2.5 </sub>ระยะยาวมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ การลดการเผชิญมลพิษทางอากาศอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยทางเดินหายใจ</p> 2024-03-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/267576 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้นในวัยรุ่นชายในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 2024-01-29T14:03:02+07:00 ภัทรพร ปานดี [email protected] กฤษฏิกร วังตระกูล [email protected] โกศลจิต หลวงบำรุง [email protected] พรทิพย์ จรุงศักดิ์สกุล [email protected] ณรงค์ศักดิ์ พุทธประเสริฐ [email protected] เจริญศรี ขวัญรอด [email protected] อุสา แจ้งกรณ์ [email protected] สำเภาพิทย์ ลิ้มสมุทรชัยกุล [email protected] ศรัญรัชต์ หนูนาค [email protected] สุภาวดี แก้วนรา [email protected] สันติพงศ์ แก้วนรา [email protected] สันติ เพชรนุ้ย [email protected] มโนชา รามเพชร [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ : </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคสมาธิสั้นในวัยรุ่นชายในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การวิจัยแบบตัดขวางในวัยรุ่นชาย อายุ 13 - 18 ปี ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอนโดยการแบ่งชั้นจากสถานพินิจฯทั้งหมด 24 แห่งทั่วประเทศ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เครื่องมือ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เพื่อการวินิจฉัยโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น (T-DICA-R) และแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติการกระทำผิด ความสัมพันธ์ของครอบครัว ความสามารถด้านการเรียน พฤติกรรมต่อต้านสังคม และสัมพันธภาพของบุคคล หาปัจจัยทำนายโรคสมาธิสั้นโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 526 คน ค่ามัธยฐานอายุ 16.5 ปี มีโรคสมาธิสั้น 24 คน (ร้อยละ 4.6) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับโรคสมาธิสั้น ได้แก่ อายุขณะถูกดำเนินคดีครั้งแรกน้อยกว่า 12 ปี (AOR = 5.79, 95% CI = 1.10 - 30.4) ประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ (AOR = 3.43, 95% CI = 1.07 - 11.0) ประวัติการใช้เฮโรอีน (AOR = 12.4, 95% CI = 2.46 - 62.4) และความก้าวร้าวทางกายระดับสูงขึ้นไป (AOR = 6.57, 95% CI = 2.09 - 20.6)</p> <p><strong>สรุป :</strong> โรคสมาธิสั้นในวัยรุ่นชายในสถานพินิจฯ มีความสัมพันธ์กับประวัติการกระทำผิดตั้งแต่อายุยังน้อย การใช้สุราสารเสพติด และพฤติกรรมก้าวร้าว</p> 2024-03-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/268124 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลปัตตานี 2024-02-09T09:45:02+07:00 เอ็มนัสรี มินทราศักดิ์ [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อหาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวางในผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่คลินิกจิตเวช โรงพยาบาลปัตตานี ตั้งแต่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 มกราคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบเก็บข้อมูลทั่วไปและแบบประเมินภาวะซึมเศร้า (patient health questionire: PHQ-9) ฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน (chi-square หรือ Fisher’s exact test) และการถดถอยโลจิสติก</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 400 คน พบความชุกภาวะซึมเศร้า (PHQ-9 ≥ 9 คะแนน) ร้อยละ 16.5 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ 21 - 30 ปี (AOR = 0.16, 95% CI = 0.03 - 0.81) อายุ 41 - 50 ปี (AOR = 0.11, 95% CI = 0.02 - 0.66) และอายุ 51 - 60 ปี (AOR = 0.08, 95% CI = 0.01 - 0.55) เมื่อเทียบกับอายุ 18 - 20 ปี สถานภาพหย่าร้าง/แยกกันอยู่ (AOR = 4.36, 95% CI = 1.65 - 11.47) เมื่อเทียบกับสถานภาพสมรส การศึกษาระดับประถมศึกษา (AOR = 4.84, 95% CI = 1.54 - 15.22) และมัธยมศึกษา (AOR = 3.38, 95% CI = 1.31 - 8.70) เมื่อเทียบกับระดับปริญญาตรี อาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว (AOR = 3.14, 95% CI = 1.31 - 7.49) และรับราชการ (AOR = 7.18, 95% CI = 1.92 - 26.82) เมื่อเทียบกับอาชีพรับจ้าง และรายได้ครอบครัวไม่เพียงพอกับรายจ่าย (AOR = 2.19, 95% CI = 1.18 - 4.06) เมื่อเทียบกับรายได้เพียงพอ/เหลือเก็บ</p> <p><strong>สรุป :</strong> ควรมีการคัดกรองและดูแลรักษาสุขภาพจิตของผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช โดยเฉพาะผู้ดูแลมีภาระหน้าที่อื่นร่วมด้วยและมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสังคม</p> 2024-03-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/267970 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ปี พ.ศ. 2563 - 2566 2024-01-25T11:50:22+07:00 วรวรรณ จุฑา [email protected] กมลลักษณ์ มากคล้าย [email protected] <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2566</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาแบบตัดขวาง ใช้ข้อมูลการสำรวจการรับรู้และปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่สำรวจต่อเนื่อง 24 ครั้งตามระลอกการระบาดของโรค 4 ระยะ เก็บข้อมูลในคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้จากการสุ่มหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามออนไลน์ ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป ปัญหาทางกายจิตสังคมจากการแพร่ระบาด แบบวัดความเครียดด้วย ST-5 และแบบทดสอบภาวะซึมเศร้าด้วย PHQ-9 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอความชุกด้วยร้อยละ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ กับปัญหาสุขภาพจิตด้วยสถิติการถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 60,294 คน พบความชุกความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความคิดทำร้ายตนเองสูงสุดในการระบาดระลอกที่ 3 (ร้อยละ 5.0, 10.8 และ 1.7 ตามลำดับ) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ การระบาดระลอกที่ 2 - 4 เพศหญิง อายุ 18 - 40 ปี ว่างงาน การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังทางกาย โรคจิตเวช และโควิด 19 ประวัติดื่มสุรา ประวัติใช้สารเสพติด มีปัญหาการเงิน ปัญหาการเรียน ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน คนที่ทำงาน และครอบครัว และปัญหาการดำรงชีวิต</p> <p><strong>สรุป :</strong> ความชุกปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยสูงขึ้นตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่รุนแรงขึ้น ผู้ที่มีประวัติ โรคทางกายและโรคทางจิตเวช รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตในระหว่างการแพร่ระบาดของโรค</p> 2024-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย