https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/issue/feed วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย 2025-03-28T18:18:35+07:00 Athip Tanaree, M.D., Ph.D. jmht.dmh@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นโดยกรมสุขภาพจิต มีนโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ คือ เป็นผลงานวิจัยและผลงานวิชาการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือมีประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับประเทศ</p> <p>The Journal of Mental Health of Thailand is the official journal of the Department of Mental Health, Ministry of Public Health, Thailand. Its focus and scope is a new knowledge of research and academic work in mental health and psychiatry or useful in exchanging knowledge at the national level.</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/278351 บรรณาธิการแถลง 2025-03-28T18:18:35+07:00 อธิบ ตันอารีย์ jmht.dmh@gmail.com <p> วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index: TCI) ได้ประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 (รับรองคุณภาพวารสารเป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2568 - 2572) วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยได้ผ่านการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการโดยได้รับการรับรองเป็น "วารสารกลุ่มที่ 2" ทั้งนี้ วารสารจะยังคงพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสารต่อไป คือ เผยแพร่ผลงานผลงานวิจัยและผลงานวิชาการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือมีประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับประเทศ</p> <p> วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยฉบับที่ 1 ของปี พ.ศ. 2568 นี้มีบทความนิพนธ์ต้นฉบับทั้งหมด 7 เรื่องที่มีเนื้อหาหลากหลาย ครอบคลุมการพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นไทยตอนต้น การส่งเสริมพลังสำหรับครอบครัวผู้ป่วยเด็กโรคออทิซึมสเปกตรัม ความเครียดของผู้ปกครองเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด การเลี้ยงดูเชิงบวกและการติดเกมในเด็กและเยาวชน ความรู้สึกสำนึกขอบคุณและกลยุทธ์การรับมือความเครียดในเยาวชน ประสบการณ์กับบาดแผลทางใจของนักสังคมสงเคราะห์จากการให้บริการ และการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย</p> <p> ผมและกองบรรณาธิการขอขอบคุณผู้นิพนธ์และผู้ทรงคุณวุฒิที่ช่วยในการเผยแพร่ผลงานวิชาการที่พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านสุขภาพจิตและจิตเวชของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/273019 ผลของโปรแกรมส่งเสริมพลังครอบครัวหลังได้รับการวินิจฉัยโรคออทิซึมสเปกตรัมในเด็ก โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ 2024-09-23T11:38:16+07:00 สุชาวลี พันธ์พงษ์ suchawalee.peung2@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมพลังครอบครัวหลังได้รับการวินิจฉัยโรคออทิซึมสเปกตรัมในเด็กวัยก่อนเรียน</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม ศึกษา 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง ในแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียนที่ได้รับการวินิจฉัยโรคออทิซึมสเปกตรัมเป็นครั้งแรก กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมพลังครอบครัวหลังได้รับการวินิจฉัยโรคออทิซึมสเปกตรัมในเด็ก ระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 กิจกรรม กลุ่มควบคุมได้รับเฉพาะการพยาบาลตามปกติ เช่น การให้คำปรึกษารายบุคคล การให้ความรู้ และการฝึกทักษะการดูแล ประเมินพลังอำนาจก่อนและหลังการทดลอง ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้วยการทดสอบที</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 32 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 16 คน อายุเฉลี่ย 31.5 ± 7.73 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงและเป็นแม่ของเด็ก เด็กส่วนใหญ่เป็นเพศชายและได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกเมื่ออายุ 3 - 4 ปี ก่อนการทดลองกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนพลังอำนาจเฉลี่ยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (65.38 ± 4.23 และ 66.00 ± 3.71 ตามลำดับ) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนพลังอำนาจเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุม (87.31 ± 4.57 และ 70.56 ± 3.20 ตามลำดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและสูงกว่าคะแนนพลังอำนาจเฉลี่ยก่อนการทดลองของกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป :</strong> โปรแกรมส่งเสริมพลังครอบครัวหลังได้รับการวินิจฉัยโรคออทิซึมสเปกตรัมในเด็กช่วยเพิ่มพลังอำนาจของผู้ปกครองในการดูแลของเด็กออทิสติก ภายหลังทราบผลการวินิจฉัยเป็นครั้งแรก</p> 2025-03-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/273125 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย จังหวัดหนองบัวลำภู 2024-09-26T09:51:27+07:00 ราชันย์ ท้าวพา thaopha_ra@hotmail.com เยาวดี ศรีสถาน srisathan12345@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายชุมชน</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การวิจัยเชิงพัฒนา ศึกษาทุกอำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เครือข่ายสุขภาพจิตชุมชนจำนวน 315 คน ผู้ดูแลในครอบครัวและผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดกลุ่มละ 95 คน เครื่องมือวัดผล ได้แก่ แบบสอบถามความรู้เรื่องโรคจิตเวชยาเสพติด การมีส่วนร่วมของเครือข่าย ภาระการดูแล สมรรถนะการดูแลของผู้ดูแล แบบติดตามผู้ป่วยในชุมชน และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา chi-square test, Wilcoxon signed-rank test และ paired t-test</p> <p><strong>ผล :</strong> ระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายประกอบด้วยการกำหนดบทบาทเครือข่าย การพัฒนาการมีส่วนร่วมของเครือข่าย การพัฒนาระบบบริการ และการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแล หลังกิจกรรมพัฒนาพบว่า กลุ่มเครือข่ายสุขภาพจิตชุมชนมีความรู้และการมีส่วนร่วมดำเนินงานโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ดูแลในครอบครัวมีความรู้และสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและมีภาระลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และผู้ป่วยมีการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันในระดับดีเพิ่มขึ้น</p> <p><strong>สรุป :</strong> หลังพัฒนาเครือข่ายสุขภาพจิตชุมชน จังหวัดหนองบัวลำภู เครือข่ายมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น ผู้ดูแลมีความสามารถดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีความสามารถในกิจวัตรประจำวันโดยรวมเพิ่มขึ้น</p> 2025-03-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/273551 การพัฒนาและการทดสอบคุณสมบัติการวัดด้านจิตวิทยาของเครื่องมือเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นไทยตอนต้น 9 ข้อ (9 symptoms: 9S) 2024-10-18T11:01:39+07:00 อภิชญา พลรักษ์ zeous051089@gmail.com วีร์ เมฆวิลัย weepositive7@gmail.com ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ drdutsadee@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและทดสอบคุณสมบัติการวัดด้านจิตวิทยาของเครื่องมือเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นไทยตอนต้น</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> เป็นการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) การพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวังจากการทบทวนวรรณกรรมร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญและตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา และ 2) ทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของเครื่องมือในนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น อายุ 6 - 15 ปี ใน จังหวัดอุบลราชธานี ประเมินความเที่ยงจากค่าความสอดคล้องภายในด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ทดสอบความตรงตามสภาพด้วยการเปรียบเทียบกับแบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (strengths and difficulties questionnaire: SDQ) ด้วยสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผล :</strong> เครื่องมือเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นไทยตอนต้น (9S) มี 9 ข้อ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ ปัญหาด้านพฤติกรรม ด้านอารมณ์ และด้านสัมพันธภาพทางสังคมและการกลั่นแกล้งรังแก มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.60 - 0.80 ค่าความเที่ยงจากความสอดคล้องภายในทั้งฉบับเท่ากับ 0.52 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันระหว่างคะแนนรวมเครื่องมือ 9S และ SDQ ด้านจุดอ่อนเท่ากับ 0.81 (p &lt; .01)</p> <p><strong>สรุป :</strong> เครื่องมือ 9S มีค่าความตรงและความเชื่อมั่นที่ดี ส่วนค่าความสอดคล้องภายในต่ำกว่าระดับยอมรับได้เล็กน้อยเนื่องจากเป็นการวัดหลายมิติ เครื่องมือมีความกระชับและใช้งานง่าย สามารถนำมาใช้เผ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตของเด็กวัยเรียนได้</p> 2025-03-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/274036 ประสบการณ์ด้านจิตใจกับบาดแผลทางใจจากการรับฟังความทุกข์ผู้ใช้บริการของนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย 2024-10-28T10:19:59+07:00 ณธษา กำลังสิงห์ natasa_soc@hotmail.com ธีรวรรณ ธีระพงษ์ teerawan.teerapong@cmu.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และการพัฒนาทางจิตใจของนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทยจากการรับรู้ความทุกข์ของผู้ใช้บริการ</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาเชิงคุณภาพแนวปรากฏการณ์วิทยาแบบตีความ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ 6 คน คัดเลือกแบบอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผล :</strong> พบประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น ดังนี้ 1) ผลทางลบจากการรับรู้ความทุกข์ของผู้ใช้บริการต่ออารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และการดำเนินชีวิตประจำวัน 2) การพัฒนาทางจิตใจจากการรับรู้ความทุกข์ของผู้ใช้บริการในด้านการรับรู้ถึงคุณค่าภายใน คุณค่าของผู้คน คุณค่าของชีวิต และคุณค่าของงาน และ 3) การจัดการผลทางลบโดยการแสวงหาแหล่งสนับสนุนและค้นหาแนวทางจัดการความเครียด</p> <p><strong>สรุป :</strong> นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทยประสบทั้งบาดแผลทางใจและการพัฒนาทางจิตใจจากการรับฟังความทุกข์ของผู้ใช้บริการ ควรมีการสนับสนุนทางสังคมและการดูแลสุขภาวะทางจิตของนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อลดผลกระทบทางลบจากการทำงาน ร่วมกับการส่งเสริมความเข้มแข็งและการพัฒนาทางจิตใจ</p> 2025-03-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/272975 การเลี้ยงดูเชิงบวก ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และความสัมพันธ์กับการติดเกมในเด็กและเยาวชนไทย อายุ 6 - 25 ปี 2024-09-30T13:20:43+07:00 ปิยพร เตชะมณีสถิตย์ piyaphorn.tec@gmail.com ชาญวิทย์ พรนภดล chanvit.por@mahidol.edu วัลลภ อัจสริยะสิงห์ wanlop.atr@mahidol.edu <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อสำรวจระดับการเลี้ยงดูเชิงบวกของผู้ปกครอง ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และความสัมพันธ์กับการติดเกมในเด็กและเยาวชนไทย</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาแบบตัดขวางในเด็กและเยาวชนอายุ 6 - 25 ปีและผู้ปกครองที่เป็นผู้ดูแลหลักทั่วประเทศ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนและแบบชั้นภูมิ แบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป การใช้สื่อหน้าจอ แบบประเมินการเลี้ยงดูเชิงบวก และแบบประเมินโรคติดเกม ทั้งฉบับที่ประเมินโดยเด็กและผู้ปกครอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA), univariate logistic regression และ univariate multinomial regression</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชน 1,235 คนและผู้ปกครอง 1,058 คน รายงานการเลี้ยงดูเชิงบวกของผู้ปกครองระดับมากร้อยละ 62.0 และ 68.3 ตามลำดับ รายงานการติดเกมของเด็กและเยาวชนร้อยละ 4.3 และ 3.2 ตามลำดับ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเลี้ยงดูเชิงบวกระดับมาก ได้แก่ อายุเด็ก 6 - 12 ปี (OR = 2.56, 95% CI 1.40 - 4.70) ผลการเรียนเฉลี่ย 3.51 - 4.00 (OR = 9.07, 95% CI 2.78 - 29.58) การไม่มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง (OR = 5.64, 95% CI 1.76 - 18.12) การมีทั้งบิดามารดาเป็นผู้ดูแลหลัก (OR = 2.64, 95% CI 1.76 - 18.12) การศึกษาของผู้ปกครองระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า (OR = 3.85, 95% CI 1.65 - 8.98) และรายได้ครัวเรือนต่อเดือนมากกว่า 20,000 บาท (OR = 5.47, 95% CI 2.25 - 13.32) นอกจากนี้การเลี้ยงดูเชิงบวกระดับน้อยเพิ่มโอกาสการติดเกมในมุมมองของเด็กและเยาวชน (OR = 4.23, 95% CI 1.57 - 11.4)</p> <p><strong>สรุป :</strong> การส่งเสริมทักษะการเลี้ยงดูเชิงบวกของผู้ปกครองอาจช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาการใช้สื่อหน้าจอและการติดเกมของเด็กและเยาวชนไทย</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/273910 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกสำนึกขอบคุณ ความเมตตากรุณาต่อตนเอง และกลยุทธ์การรับมือความเครียดในเยาวชน 2024-11-01T14:09:00+07:00 กรรัตน์ เสมาทอง konrut.sae@gmail.com ธิดารัตน์ ปุรณชัยคีรี tidarat.pua@mahidol.edu วัลลภ อัจสริยะสิงห์ wanlop.atr@mahidol.edu <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกสำนึกขอบคุณ ความเมตตากรุณาต่อตนเอง และกลยุทธ์การรับมือความเครียดในเยาวชนไทย</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาภาคตัดขวางแบบออนไลน์ ในวัยรุ่นตอนปลายอายุ 18 - 21 ปีที่กำลังศึกษาในสถาบันการศึกษาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป มาตรวัดความกตัญญู มาตรวัดความเมตตากรุณาต่อตนเอง และมาตรวัดกลยุทธ์ในการรับมือกับความเครียดแบบสั้น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามครบ 434 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง อายุ 21 ปี และศึกษาอยู่สถาบันของรัฐบาล มีค่าเฉลี่ยความรู้สึกสำนึกขอบคุณ 29.04 (SD = 5.20) ความเมตตากรุณาต่อตนเอง 19.92 (SD = 2.99) กลยุทธ์การรับมือที่เหมาะสม 48.31 (SD = 7.33) และกลยุทธ์การรับมือที่ไม่เหมาะสม 29.93 (SD = 5.58) ความรู้สึกสำนึกขอบคุณมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับความเมตตากรุณาต่อตนเอง (r = .31, p &lt; .001) มีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับกลยุทธ์การรับมือที่เหมาะสม (r = .36, p &lt; .001) และมีความสัมพันธ์ทางลบระดับเล็กน้อยกับกลยุทธ์การรับมือที่ไม่เหมาะสม (r = -.20, p &lt; .001)</p> <p><strong>สรุป :</strong> เยาวชนที่มีความรู้สึกสำนึกขอบคุณสูงมีแนวโน้มมีความเมตตากรุณาต่อตนเองและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรับมือกับความเครียด ควรส่งเสริมความรู้สึกสำนึกขอบคุณของเยาวชนด้วยกิจกรรมที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการดูแลจิตใจตนเองและการรับมือกับความเครียด</p> 2025-03-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/273259 ปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดของผู้ปกครองของเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด 2024-11-18T13:22:40+07:00 ศิริพักตร์ เศวตชัยกุล sawetchaikul.s@gmail.com ปวีณา วงศ์บพิธ Kwang_keypong@hotmail.com กนกลักษ์ ซองกิ่ง Songking24@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อประเมินระดับความเครียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ปกครองเด็กที่มีความผิดปกติแต่กำเนิด</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การศึกษาแบบภาคตัดขวางในผู้ปกครองของเด็กอายุ 1 เดือนถึง 12 ปีที่มีความพิการแต่กำเนิดและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2567 โดยผู้ปกครองต้องสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ วัดระดับความเครียดด้วยเครื่องมือ parenting stress index - fourth edition - short form (PSI-4-SF) ฉบับภาษาไทย นำเสนอข้อมูลพื้นฐานและระดับความเครียดด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ และความเครียดด้วย odds ratio</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 30 คน ร้อยละ 6.7 มีความเครียดสูงกว่าระดับปกติ และร้อยละ 23.3 มีความเครียดระดับรุนแรง กลุ่มที่มีแนวโน้มระดับความเครียดสูงถึงรุนแรง ได้แก่ ผู้ปกครองที่มีการศึกษาต่ำ อาศัยอยู่โดยไม่มีคู่ชีวิต ว่างงาน และขาดแหล่งสนับสนุน รวมถึงผู้ปกครองของเด็กที่อายุมากกว่า 1 ปี ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกหลังคลอด และรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นระยะเวลานาน อย่างไรก็ตาม ไม่พบปัจจัยเสี่ยงของความเครียดระดับสูงถึงรุนแรงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป :</strong> ผู้ปกครองเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิดมีความเครียดสูงกว่าผู้ปกครองเด็กทั่วไป ควรมีการคัดกรองและให้การดูแลโดยเน้นปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรกของเด็ก เพื่อช่วยลดความเครียดของผู้ปกครองและครอบครัว</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย