https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/issue/feed วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย 2025-09-30T16:31:22+07:00 Athip Tanaree, M.D., Ph.D. jmht.dmh@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นโดยกรมสุขภาพจิต มีนโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ คือ เป็นผลงานวิจัยและผลงานวิชาการด้านสุขภาพจิตและจิตเวชที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือมีประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับประเทศ</p> <p>The Journal of Mental Health of Thailand is the official journal of the Department of Mental Health, Ministry of Public Health, Thailand. Its focus and scope is a new knowledge of research and academic work in mental health and psychiatry or useful in exchanging knowledge at the national level.</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/281893 สุขภาพจิตสาธารณะ : ประเด็นที่บุคลากรทางสุขภาพจิตควรรู้ 2025-09-30T16:31:22+07:00 พิเชฐ อุดมรัตน์ pudomratn74@gmail.com <p>ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเด็นเรื่อง public mental health ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากบุคลากรทางสุขภาพจิตในประเทศแถบตะวันตก<sup>1</sup> อย่างไรก็ตาม ในบริบทของประเทศไทย คำว่า public mental health ยังไม่เป็นที่กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย และยังไม่มีบัญญัติแปลคำภาษาไทยอย่างเป็นทางการ ผู้นิพนธ์จึงขอเสนอใช้คำว่า “สุขภาพจิตสาธารณะ” เป็นคำแปลของ public mental health ในที่นี้</p> <p>สุขภาพจิตสาธารณะ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการส่งเสริมสุขภาวะทางจิต (mental wellness หรือ mental well-being) และป้องกันความเจ็บป่วยทางจิต ด้วยการเข้าถึงประชากรเป็นกลุ่ม (population-based approach) แทนที่จะมุ่งเน้นในระดับบุคคล อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและเสมอภาคในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิต<strong><sup>2</sup></strong> แนวคิดเรื่องสุขภาพจิตสาธารณะสอดคล้องและได้รับการสนับสนุนจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และแผนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตแบบครอบคลุม พ.ศ. 2556 - 2573 (Comprehensive Mental Health Action Plan 2013 - 2030) ขององค์การอนามัยโลก<sup>3 </sup><em>...อ่านต่อในไฟล์บทความ...</em></p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/282802 ความรอบรู้สุขภาพจิต : สมรรถนะแห่งอนาคตสู่การมีสุขภาพจิตดีอย่างยั่งยืน 2025-09-29T16:38:09+07:00 วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ drvaroth@gmail.com <p>สุขภาพจิตได้กลายเป็นวาระสำคัญด้านสาธารณสุขทั้งในระดับโลกและประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความท้าทายเชิงระบบที่ซับซ้อนและหลากหลาย ความรอบรู้สุขภาพจิต (mental health literacy) ซึ่งหมายถึง การบูรณาการองค์ความรู้ ความเชื่อ คุณลักษณะของบุคคล และทักษะในการตระหนักรู้ จัดการและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือเชิงรุกที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตในสังคม</p> <p>บทความนี้มุ่งสังเคราะห์องค์ความรู้จากงานวิจัยและเอกสารเชิงนโยบาย เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญ สถานการณ์ และความท้าทายในการขับเคลื่อนความรอบรู้สุขภาพจิตในบริบทของสังคมไทย พร้อมทั้งนำเสนอกรอบแนวคิดและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ</p> <p>จากการทบทวนข้อมูล พบว่าสังคมไทยกำลังเผชิญกับช่องว่างระหว่างความต้องการบริการสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น กับทรัพยากรและระบบบริการที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการตีตราทางสังคมและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสุขภาพจิต การยกระดับความรอบรู้สุขภาพจิตของประชาชนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดอุปสรรคเหล่านี้ โดยต้องอาศัยการพัฒนาสมรรถนะหลัก 4 ด้าน ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพจิตและบริการสุขภาพจิต การเข้าใจเพื่อสร้างความรู้และความตระหนัก การประเมินข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดูแลตนเองและช่วยเหลือผู้อื่น</p> <p>อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพจิตไม่อาจประสบความสำเร็จได้หากมุ่งเน้นเพียงระดับปัจเจกบุคคล แต่จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ครอบคลุม และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อสุขภาวะทางจิตอย่างยั่งยืน</p> 2025-09-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/276788 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายสำเร็จในกลุ่มประชากรที่มีพฤติกรรมฆ่าตัวตายในจังหวัดน่าน 2025-09-29T12:44:20+07:00 วีระ เอกอนันต์กุล ekweera@yahoo.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบลักษณะระหว่างกลุ่มผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จกับกลุ่มผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย และระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายสำเร็จ</p> <p><strong>วิธีการ:</strong> การวิจัยแบบ case-control เปรียบเทียบกลุ่มผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จและกลุ่มผู้ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จในจังหวัดน่าน ใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากเวชระเบียนและบันทึกการสัมภาษณ์ที่โครงสร้างโดยบุคลากรด้านจิตเวช ครอบคลุมลักษณะทั่วไป รูปแบบการฆ่าตัวตาย ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยกระตุ้น และปัจจัยปกป้อง วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วยการทดสอบ chi-square และ Mann-Whitney U ค้นหาปัจจัยทำนายการฆ่าตัวตายสำเร็จด้วยการถดถอยโลจิสติกแบบไบนารี</p> <p><strong>ผล:</strong> กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 163 ราย แบ่งเป็นกลุ่มฆ่าตัวตายสำเร็จ 69 ราย และกลุ่มฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ 94 ราย กลุ่มที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมีอายุยืนฐานและสัดส่วนของเพศชาย การประกอบอาชีพ และการใช้วิธีที่มีความรุนแรง เช่น การแขวนคอ สูงกว่ากลุ่มที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการฆ่าตัวตายสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศชาย (AOR = 4.68, 95% CI = 1.82 - 11.98) การมีปัญหาสุขภาพทางกาย (AOR = 9.55, 95% CI = 1.55 - 57.75) และการขาดทักษะการแก้ปัญหาของตนเอง (AOR = 3.11, 95% CI = 1.02 - 9.49)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ควรมีการคัดกรองและป้องกันการฆ่าตัวตายสำเร็จอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างเพศและมุ่งเน้นกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาวิกฤตในชีวิต โดยเฉพาะในประเด็นปัญหาสุขภาพและเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาของตนเอง เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์วิกฤตอย่างเหมาะสม</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/276727 ผลของโปรแกรมการปรึกษาแบบเสริมสร้างแรงจูงใจทางโทรศัพท์ ต่อความยืดหยุ่นทางจิตใจในสมาชิกครอบครัวผู้ติดสุรา 2025-09-29T13:48:17+07:00 จิณณา ลาวัง jinnalawang@gmail.com ผกาวรรณ นันทะเสน pakawan.n@rumail.ru.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อทดสอบผลของโปรแกรมการปรึกษาแบบเสริมสร้างแรงจูงใจทางโทรศัพท์ต่อความยืดหยุ่นทางจิตใจในสมาชิกครอบครัวผู้ติดสุรา</p> <p><strong>วิธีการ:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นสมาชิกครอบครัวผู้ติดสุราที่ใช้บริการศูนย์ปรึกษาเพื่อการเลิกสุราและสารเสพติด (สายด่วนเลิกเหล้า 1413) ที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจต่ำ 20 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน กลุ่มควบคุมได้รับข้อมูลสุขภาพจิตตามแนวทางการให้บริการของศูนย์ฯ 3 ครั้งแรกใน 1 เดือน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรึกษาแบบเสริมสร้างแรงจูงใจทางโทรศัพท์สัปดาห์ละครั้ง จำนวน 8 ครั้ง และ 45 นาที ประเมินคะแนนความยืดหยุ่นทางจิตใจก่อนและหลังการทดลองทั้งสองแบบประเมินพลังใจฉบับ 3 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ chi-square, Wilcoxon signed-rank และ Mann-Whitney U</p> <p><strong>ผล:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงร้อยละ 80 อายุ 40 - 60 ปีร้อยละ 65 ก่อนการทดลองกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนความยืดหยุ่นทางจิตใจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความยืดหยุ่นทางจิตใจสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีคะแนนเฉลี่ยความยืดหยุ่นทางจิตใจสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมการปรึกษาเสริมสร้างแรงจูงใจทางโทรศัพท์ช่วยให้สมาชิกครอบครัวผู้ติดสุราที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจต่ำ มีความยืดหยุ่นทางจิตใจเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับบริการทางโทรศัพท์ตามปกติ</p> 2025-09-23T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/276079 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะถอนพิษสุรารุนแรงในโรงพยาบาลลำพูน 2025-09-30T16:28:49+07:00 ชลทิชา เรืองวิริยะนันท์ memowiaga@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อระบุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะถอนพิษสุรารุนแรงในผู้ป่วยที่มีภาวะถอนพิษสุรา</p> <p><strong>วิธีการ:</strong> ศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนของผู้มารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน โรงพยาบาลลำพูน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566 และมีภาวะถอนพิษสุราตั้งแต่แรกรับ เก็บรวบรวมข้อมูลทั่วไป ประวัติการดื่มสุราและการบำบัดรักษา ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและสัญญาณชีพแรกรับ และคะแนน alcohol withdrawal scale (AWS) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยโลจิสติกพหุคูณ</p> <p><strong>ผล:</strong> กลุ่มตัวอย่าง 190 คน เป็นชายร้อยละ 87.4 อายุเฉลี่ย 48.9 ปี มีโรคประจำตัวร้อยละ 38.9 และดื่มสุราเป็นประจำร้อยละ 93.7 ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการเกิดภาวะถอนพิษสุรารุนแรง (AWS 10 คะแนนขึ้นไป) อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับภาวะถอนพิษสุราแบบไม่รุนแรง ได้แก่ การดื่มสุราเป็นประจำ การสูบบุหรี่ ประวัติการเกิดภาวะถอนพิษสุรา ประวัติการบำบัดภาวะถอนพิษสุรา ประวัติความจำเสื่อมชั่วคราวจากสุรา ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการแรกรับ liver function test, blood sugar/DTX, creatinine, calcium, magnesium, และ potassium ผิดปกติ ความดันโลหิต systolic แรกรับสูงกว่า 110 มม.ปรอท และชีพจรแรกรับมากกว่า 100 ครั้ง/นาที</p> <p><strong>สรุป:</strong> ควรพัฒนาแนวทางเฝ้าระวังดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะถอนพิษสุรารุนแรง ได้แก่ ผู้ดื่มสุราเป็นประจำ มีประวัติภาวะถอนพิษสุรา และมีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการและสัญญาณชีพแรกรับผิดปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องและการเสียชีวิต</p> 2025-09-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/276750 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตผู้ดูแลเด็กออทิสติก 2025-09-26T15:37:26+07:00 ชินดนัย ไชยเสนา tomchaisena@gmail.com ศริยามน ติรพัฒน์ sariyamon.tir@mahidol.ac.th ยุวนุช สัตยสมบูรณ youwanuch.sat@mahidol.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อระบุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลเด็กออทิสติก</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การวิจัยแบบภาคตัดขวางในผู้ดูแลเด็กออทิสติกที่มารับบริการที่สถาบันราชานุกูล เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ลักษณะส่วนบุคคลของผู้ดูแลและเด็ก ลักษณะของโรคออทิสติก และโรคร่วม แบบประเมินความเครียด แบบสอบถามการจัดการความเครียด แบบสอบถามการสนับสนุนทางสังคม และแบบวัดคุณภาพชีวิต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียล สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อีต้า</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่าง 302 คน เป็นเพศหญิงร้อยละ 79.1 มีความสัมพันธ์เป็นมารดาร้อยละ 63.9 ความรุนแรงของโรคออทิสติกอยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 53.6 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความเครียด การสนับสนุนทางสังคม คุณภาพชีวิตภาพรวม และคุณภาพชีวิตทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่ใช้จัดการความเครียดที่เหมาะสมมากกว่าไม่เหมาะสม คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับรายได้ ความเพียงพอของรายได้ และระดับการสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัว เพื่อน เครือข่ายผู้ดูแล และบุคลากรสาธารณสุข ในทางกลับกัน คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลมีความสัมพันธ์ทางลบกับความเครียด ระดับการจัดการความเครียดที่ไม่เหมาะสม และการมีโรคร่วมของเด็ก</p> <p><strong>สรุป :</strong> ควรมีการประเมินความเครียดและคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลเด็กออทิสติกอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมทักษะการจัดการความเครียด ความรู้ความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน เพื่อสนับสนุนบทบาทผู้ดูแลและพัฒนาการของเด็กออทิสติกอย่างยั่งยืน</p> 2025-09-24T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/278046 ความสัมพันธ์ระหว่างการทำหน้าที่ของครอบครัว พฤติกรรมติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กและเยาวชน : การศึกษาช่วงสถานการณ์โควิด 19 2025-09-30T16:28:46+07:00 โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ drchosita@gmail.com ภิญโญ อิสรพงศ์ pinyo23@hotmail.com อุบล วรรณกิจ ubon.wannakit@gmail.com สิริจันทร์ เดชปัญญาวัฒน์ yui3330@hotmail.com รัตนศักดิ์ สันติธาดากุล santitadakul@gmail.com พักตร์ชนก เทียนวิหาร mameawtheinviharn@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างการทำหน้าที่ของครอบครัว พฤติกรรมติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กและเยาวชน ในช่วงสถานการณ์โควิด 19</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณแบบภาคตัดขวาง ในผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนอายุ 6 - 18 ปี 596 คน จาก 4 ภาค ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมเล่นเกม แบบประเมินการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว แบบทดสอบการติดเกม และแบบประเมินผลพฤติกรรมรุนแรงสำหรับวัยรุ่น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ การถดถอยพหุคูณเชิงเส้น และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกในผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงภาวะติดเกม 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลแบบเรื่องเล่า</p> <p><strong>ผล :</strong> กลุ่มตัวอย่างมีการทำหน้าที่ของครอบครัวในระดับไม่ดีร้อยละ 32.4 เด็กและเยาวชนมีพฤติกรรมเล่นเกมอยู่ในระดับน่าจะดีร้อยละ 26.7 และมีพฤติกรรมก้าวร้าวร้อยละ 4.6 การทำหน้าที่ของครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางลบในระดับน้อยกับพฤติกรรมก้าวร้าว (r = -0.332) โดยมีทั้งการส่งผลโดยตรงและส่งผลผ่านพฤติกรรมติดเกม ส่วนพฤติกรรมติดเกมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับน้อยกับพฤติกรรมก้าวร้าว (r = 0.362) กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ในช่วงการแพร่ระบาด เด็กและเยาวชนติดเกมมากขึ้นเนื่องจากใช้เวลาออนไลน์มากและขาดกิจกรรมสร้างสรรค์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างขาดเวลาในการดูแล ไม่สามารถจัดสรรเวลาของตนเอง อีกทั้งอาจเป็นแบบอย่างการใช้สื่อออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม</p> <p><strong>สรุป :</strong> สถานการณ์โควิด 19 ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการทำหน้าที่ของครอบครัว พฤติกรรมติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กและเยาวชน ควรมีมาตรการส่งเสริมการเลี้ยงดูและบทบาทหน้าที่ในครอบครัว เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนท่ามกลางวิกฤตในสังคม</p> 2025-09-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/278603 การวิจัยและพัฒนารูปแบบการดูแลแบบการจัดการรายกรณี (พระศรีฯ ระเบียงบุญ) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาด้วยยาของผู้ป่วยจิตเภทยุ่งยากซับซ้อน 2025-09-29T14:16:43+07:00 อัครเดช กลิ่นพิบูลย์ tu.akk@hotmail.com พิมพ์ชนก หาคำ peaw8748@gmail.com อัจฉริยาภรณ์ สุพิชญ์ atcha373@gmail.com ปาลิดา พละศักดิ์ palida.pooton@gmail.com วิไลลักษณ์ เจริญชัยสงค์ Rnwilailuck@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการดูแลแบบการจัดการรายกรณีต่อความร่วมมือในการรักษาด้วยยาของผู้ป่วยจิตเภทยุ่งยากซับซ้อน</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> การวิจัยและพัฒนา 2 ระยะ ได้แก่ 1) การพัฒนารูปแบบด้วยการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ การทบทวนเอกสาร และการทบทวนวรรณกรรม และ 2) การทดสอบผลของรูปแบบด้วยการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว ในผู้ป่วยจิตเภทยุ่งยากซับซ้อนที่กลับมารักษาซ้ำจากความไม่ร่วมมือในการรักษาด้วยยา ประเมินคะแนนความร่วมมือในการรักษาด้วยยาก่อนและหลังการทดลองทันที และระยะติดตามผล 1 และ 3 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ</p> <p><strong>ผล :</strong> พระศรีฯ ระเบียงบุญ (P-PORCH) เป็นรูปแบบการจัดการรายกรณีที่เน้นการส่งเสริมสติ ความตระหนักรู้ในตนเอง และทักษะการดูแลตัวเอง ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมผู้จัดการรายกรณี การวางแผนการดูแลผู้ป่วย การดำเนินงาน การติดตามกำกับ การประสานงานกับทีมสุขภาพอื่น ๆ และการประเมินผล มี 14 กิจกรรม ใช้เวลา 20 วัน การทดสอบเบื้องต้นในกลุ่มตัวอย่าง 40 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมมีคะแนนความร่วมมือในการรักษาด้วยยาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังการทดลองทันที และมีแนวโน้มคงที่หรือลดลงเล็กน้อยในระยะ 3 เดือน</p> <p><strong>สรุป :</strong> รูปแบบพระศรีฯ ระเบียงบุญ สามารถนำไปบูรณาการในระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเภทยุ่งยากซับซ้อน โดยมีแนวโน้มเพิ่มความร่วมมือในการรักษาด้วยยา</p> 2025-09-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmht/article/view/277187 ลักษณะของชุมชนที่สนับสนุนการป้องกันการใช้สารเสพติด : การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต 2025-09-30T15:15:13+07:00 จิดาภา เสนวิรัช jidapa.sen@ku.th ธนภัทร ขำท้วม thanapat.khua@ku.th นาวินี เรกนอลต์ Navinee.kruahong@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เพื่อระบุลักษณะเด่นของชุมชนที่ช่วยส่งเสริมการป้องกันการใช้สารเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วิธีการ :</strong> ทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต โดยสังเคราะห์หลักฐานจากบทความปริทัศน์ 30 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมงานวิจัยมากกว่า 1,050 เรื่องในหลากหลายบริบท</p> <p><strong>ผล :</strong> พบคุุณลักษณะของชุมชน 10 ประการที่เป็นปัจจัยปกป้องการใช้สารเสพติด เช่น ความผูกพันทางสังคมที่เข้มแข็ง การเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม การบังคับใช้นโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม ผลการศึกษา ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินงานแบบหลายระดับที่ผสมผสานกลยุทธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนและลดความเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติด</p> <p><strong>สรุป :</strong> การศึกษานี้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกในทางปฏิบัติสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ในการออกแบบ กลยุทธ์ที่ยั่งยืนและตั้งอยู่บนฐานของชุมชนเพื่อป้องกันการใช้สารเสพติด</p> 2025-09-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย