วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph <p>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน กำหนดตีพิมพ์ปีละ 2 ครั้ง (1 มกราคม - 30 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม) เป็นบทความที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพชุมชนกับการพัฒนาสุขภาพและนวัตกรรมพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้านสุขภาพ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน (Journal of Health Science and Community Public Health) ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยการ สาธารณสุขสิรินธรจังหวัดขอนแก่น และคณาจารย์ท่านอื่นๆในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> tphajan@gmail.com (ผศ.ดร.ธีรศักดิ์ พาจันทร์) rawin@scphkk.ac.th (นายรวิน จุลสวัสดิ์) Mon, 01 Sep 2025 22:10:21 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยรอกกะลาต่อการลดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/277820 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยรอกกะลาและกลุ่มควบคุม และ 2) เปรียบเทียบภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60-75 ปี ในตำบลปวนพุ อำเภอหนองหิน จังหวัดเลย จำนวน 68 คน ซึ่งคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็น กลุ่มทดลอง 34 คน ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยรอกกะลา และกลุ่มควบคุม 34 คน ได้รับโปรแกรม การให้ความรู้และสุขศึกษาตามปกติ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดความซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai geriatric depression scale: TGDS) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent t-test และ Paired t-test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ จากระดับภาวะซึมเศร้าเล็กน้อย (15.62, S.D. = 2.84) เป็นระดับที่ไม่มีภาวะซึมเศร้า (9.47, S.D. = 2.35) โดยลดลง 6.15 คะแนน (95% CI: 4.86-7.44, p-value &lt;0.001) ขณะที่กลุ่มควบคุมพบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.133) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม หลังการทดลอง พบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะซึมเศร้าต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยต่ำกว่า 5.44 คะแนน (95% CI: 4.23-6.65, p-value &lt;0.001)</p> <p>ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยรอกกะลาเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิผล ในการลดภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชุมชนเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุต่อไป</p> ธนเดช ธรรมแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/277820 Mon, 01 Sep 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมทันตสุขภาพโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ต่อคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุที่ใช้ฟันเทียมทั้งปากที่เข้ารับบริการ ในฝ่ายทันตกรรม โรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/278834 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมทันตสุขภาพโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ต่อคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุที่ใช้ ฟันเทียมทั้งปากที่เข้ารับบริการในฝ่ายทันตกรรม โรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยสูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากและได้รับการใช้ฟันเทียมทั้งปาก ที่เข้ารับบริการในฝ่ายทันตกรรม โรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการส่งเสริมทันตสุขภาพโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะ แห่งตน 2) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล และ 3) แบบสอบถามคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก ที่ปรับเกณฑ์การให้คะแนนเป็นคะแนนที่ได้มากหมายถึงมีคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากสูง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และสถิติทดสอบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากก่อนการทดลองของกลุ่มทดลองเท่ากับ 46.2 (S.D. = 7.16) และกลุ่มควบคุมเท่ากับ 45.80 (S.D. = 6.73) ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.076) และภายหลังจากการทดลอง 1 เดือน พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มทดลอง (Mean = 81.76, S.D. = 1.99) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (Mean = 47.30, S.D. = 6.63) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001) การแปลผลตามเกณฑ์ในการศึกษาครั้งนี้หมายถึงกลุ่มทดลองมีคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากสูงกว่ากลุ่มควบคุมภายหลังการทดลอง</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีการศึกษาวิจัยในระยะยาวเพื่อติดตามผลของโปรแกรมส่งเสริมทันตสุขภาพ ต่อคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในระยะยาวมากกว่า 1 เดือน เพื่อประเมินความยั่งยืน ของผลลัพธ์</p> จุฑารพ ตุนภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/278834 Mon, 08 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโมดูลการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐานเพื่อการเสริมสร้างสมรรถนะ 4Cs for C ด้านสุขภาพปฐมภูมิในวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/280985 <p>วัตถุประสงค์การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาผลของโมดูลการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐาน ต่อสมรรถนะ 4Cs for C ด้านสุขภาพปฐมภูมิเปรียบเทียบผลทางสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจหลังการเรียนในรายวิชาการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม รูปแบบในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2567 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้ชุมชนเป็นฐาน 2) แบบประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจหลังการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired samples t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มเป้าหมายมี 1) ทักษะในการคิด วิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ปัญหา มีคะแนนเฉลี่ย 4.05 คะแนน (S.D. = 0.57) 2) ด้านทักษะความคิดสร้างสรรค์ คิดเชิงนวัตกรรม แก้ปัญหา มีคะแนนเฉลี่ย 4.10 คะแนน (S.D. = 0.60) 3) ด้านทักษะความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ แก้ปัญหามีคะแนนเฉลี่ย 4.16 คะแนน (S.D. = 0.60) และ 4) ด้านทักษะการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ แก้ปัญหา มีคะแนนเฉลี่ย 4.13 คะแนน (S.D. = 0.61) ส่วนโมดูลการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐานมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ เท่ากับ 58.06 คะแนน (S.D. = 8.80) เมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ เท่ากับ 47.10 คะแนน (S.D. = 4.33) และมีความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 10.96 คะแนน (95%CI:9.41 to 12.50) สูงกว่าอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ &lt;0.001 ความพึงพอใจของนักศึกษาหลังการเรียนด้วยโมดูลการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐานอยู่ในระดับสูง เป็นร้อยละ 83.51 รองลงมาคือระดับกลางเป็นร้อยละ 16.49</p> <p>ดังนั้น ผลการวิจัยทุกด้านมีค่าเฉลี่ยเกิน 3.51 ซึ่งผ่านเกณฑ์ทักษะศตวรรษที่ 21 จึงควรส่งเสริมการใช้โมดูลการเรียนรู้แบบชุมชนเป็นฐานเพื่อพัฒนาสมรรถนะ 4Cs ในการศึกษาการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ</p> วรางคณา ชมภูพาน, วรวุฒิ ชมภูพาน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/280985 Thu, 25 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลบวกจากการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ด้วยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ ของประชาชน อายุ 50-70 ปี อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/279616 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลบวกจากการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงด้วยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระของประชาชนอายุ 50-70 ปี อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 423 แบ่งเป็นกลุ่มศึกษา จำนวน 141 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน 282 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อ ระหว่าง 0.67-1 แล้วนำแบบสอบถามไปทดลองใช้ กับประชาชนที่มีคุณลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน มีค่าความเที่ยงโดยวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของควอนบาค พบว่า ด้านพฤติกรรมสุขภาพ มีค่า 0.90 และด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีค่า 0.94 สถิติพรรณนาใช้ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด-ต่ำสุด สถิติอนุมานใช้สถิติถดถอยพหุโลจิสติก กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลบวกจากการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ด้วยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ประวัติอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร (ORadj = 2.19, 95% CI: 1.19 ถึง 4.05, p-value = 0.011) ความรอบรู้ด้านสุขภาพการเข้าถึงแหล่งข้อมูลโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่และไส้ตรงในระดับไม่เพียงพอและเป็นปัญหา (ORadj = 1.81, 95% CI: 1.08 ถึง 3.05, p-value = 0.023) และความรอบรู้ด้านสุขภาพการนำข้อมูลไปใช้ในการดูแลสุขภาพ ในระดับ ไม่เพียงพอและเป็นปัญหา (ORadj = 2.14, 95% CI: 1.20 ถึง 3.83, p-value = 0.010)</p> <p>ดังนั้น ควรปรับแนวทางให้กลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงได้รับการตรวจคัดกรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเชิงรุกในระดับชุมชน พัฒนาสื่อให้เข้าถึงง่ายและใช้งานได้จริง เพิ่มช่องทาง ให้ประชาชนสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้น</p> สุชาวดี ศรีมุงคุณ, สุทิน ชนะบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/279616 Mon, 06 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/280274 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional analytical study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะซึมเศร้าและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 346 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อ ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบียนเบนมาตรฐาน สถิติอนุมาน ได้แก่ สถิติถดถอยพหุโลจิสติก</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า อัตราภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มีภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 93.06 อยู่ในระดับซึมเศร้า ร้อยละ 6.94 (95% CI: 4.49-10.10) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าของผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.05) ได้แก่ อายุ พบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้า 5.60 เท่า (OR<sub>adj</sub> = 5.60, 95% CI: 1.87-16.79, p-value = 0.002) ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน กลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิง มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า 3.68 เท่า (OR<sub>adj</sub> = 3.68; 95% CI: 1.21-11.14, p-value = 0.021) พฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มที่มีพฤติกรรมสุขภาพระดับต่ำ มีความเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้า 2.74 เท่า (OR<sub>adj</sub> = 2.74; 95% CI: 1.02-7.38, p-value = 0.046) การเกื้อหนุนทางสังคม กลุ่มที่ได้รับการเกื้อหนุนทางสังคมในระดับต่ำ มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า 5.90 เท่า (OR<sub>adj</sub> = 5.90; 95% CI: 1.93-18.02, p-value = 0.002)</p> <p>หน่วยงานด้านสุขภาพควรจัดระบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเป็นระบบ เน้นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป มีภาวะพึ่งพิง พฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม หรือขาดการเกื้อหนุนทางสังคม พร้อมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ การดูแลตนเอง และการมีส่วนร่วม ของครอบครัว ชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p> ธันญา พันธะชัย, สุทิน ชนะบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/280274 Mon, 06 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสร่วมบ้าน กับผู้ป่วยวัณโรคปอด จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/279781 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสร่วมบ้านกับผู้ป่วยวัณโรคปอด จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สัมผัสร่วมบ้านกับผู้ป่วยวัณโรค จำนวน 275 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติถดถอยพหุโลจิสติกส์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการป้องกันวัณโรคของผู้สัมผัสร่วมบ้านอยู่ในระดับพอใช้ได้ ร้อยละ 54.91 และมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันวัณโรคในภาพรวม อยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 64.36 ปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความรอบรู้สุขภาพด้าน การจัดการตนเองส่งผลให้มีพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคระดับดี 3.11 เท่า (OR<sub>adj</sub>: 3.11, 95% CI: 1.55-6.23; p-value 0.001), ด้านการรู้เท่าทันสื่อส่งผลให้มีพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคระดับดี 3.16 เท่า (OR<sub>adj</sub>: 3.16, 95% CI: 1.52-6.61; p-value 0.001), และด้านทักษะการตัดสินใจส่งผลให้มีพฤติกรรมการป้องกันวัณโรคระดับดี 3.36 เท่า (OR<sub>adj</sub>: 3.36, 95% CI: 1.72-6.55; p-value &lt;0.001)</p> <p>ผลการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่า ความรอบรู้สุขภาพด้านทักษะการจัดการตนเอง, การรู้เท่าทันสื่อ, และทักษะการตัดสินใจ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันวัณโรค ดังนั้นควรนำความรอบรู้ด้านทักษะดังกล่าว สร้างเป็นกิจกรรมในการสร้างองค์ความรู้ เพื่อสร้างความตระหนัก ในการป้องกันวัณโรคให้กับผู้สัมผัสร่วมบ้านที่เหมาะสม</p> ญาราภรณ์ พรมวัง, วรรณศรี แววงาม, ยศธการ ศรีเนตร, ภูริชา พัชรธรภากุล, สุขสรรค์ นิพนธ์ไชย, สงกรานต์ นักบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/279781 Tue, 07 Oct 2025 00:00:00 +0700