วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph <p>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน กำหนดตีพิมพ์ปีละ 2 ครั้ง (1 มกราคม - 30 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม) เป็นบทความที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพชุมชนกับการพัฒนาสุขภาพและนวัตกรรมพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้านสุขภาพ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน (Journal of Health Science and Community Public Health) ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยการ สาธารณสุขสิรินธรจังหวัดขอนแก่น และคณาจารย์ท่านอื่นๆในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> tphajan@gmail.com (ผศ.ดร.ธีรศักดิ์ พาจันทร์) rawin@scphkk.ac.th (นายรวิน จุลสวัสดิ์) Sat, 25 May 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 อุบัติการณ์ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และแนวทางการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเภสัชกร โรงพยาบาลบางละมุง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/268404 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical research) ในผู้ป่วยที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดฉีดวัคซีน โรงพยาบาลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ ปัจจัยและแนวทางการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยทำการเก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลโปรแกรม Hos-xp ที่บันทึกข้อมูล AEFI จำนวน 1,453 ราย และเก็บข้อมูลจากการสรุปแนวทางในการดำเนินงานในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในช่วงการให้บริการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยทำการศึกษาระหว่างเดือน มิถุนายน 2566 ถึง เดือน ธันวาคม 2566 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติ เชิงพรรณนาและใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ Chi-square และ Multivariate logistic regression และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาจากการทบทวนแนวทางการดำเนินงานและการสังเกตจากการปฏิบัติงานในหน้างาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า อุบัติการณ์ AEFI-Covid-19 ร้อยละ 45.40 โดยเป็นแบบไม่รุนแรง ร้อยละ 97.28 ประวัติการมีโรคประจำตัวเกิดอาการไม่พึงประสงค์ฯเป็น 0.14 เท่าเมื่อเทียบกับการไม่มีโรคประจำตัว (Adjusted OR=014, 95%Cl: 0.09-0.24) ประวัติการป่วยเป็นโควิด-19 เกิดอาการไม่พึงประสงค์เป็น 0.18 เท่าตัวเมื่อเทียบกับการไม่เคยเป็นโรคโควิด-19 (Adjusted OR=0.18, 95%Cl: 0.089-0.44) และลำดับเข็มของวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 1 และ 2 เกิดอาการไม่พึงประสงค์เป็น 2.11 เท่าเมื่อเทียบกับลำดับเข็มที่ 3 (Adjusted OR=2.11, 95%Cl: 1.26-3.53) ส่วนอายุของผู้รับบริการ เพศ ประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีน และชนิดของวัคซีนที่ได้รับ ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิด AEFI-Covid-19 แนวทางเฝ้าระวังการเกิด AEFI มีการดำเนินงานเชิงรุกและเชิงรับ โดยเภสัชกรจะมีการวางระบบในการประเมินและค้นหาการเกิด AEFI ร่วมกับ การดำเนินงานกับสหวิชาชีพ สรุปได้ว่า การดำเนินงานเฝ้าระวังการเกิด AEFI โดยเภสัชกร ควรมีการเฝ้าระวังการเกิด AEFI โดยเฉพาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือวัคซีน ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคโควิด-19 ผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนในเข็มต่าง ๆ</p> สุกัญญา สวัสดิ์พานิช Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/268404 Sat, 25 May 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของกิจกรรมทางกายกับความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจังหวัดศรีสะเกษ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265968 <p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหนักของกิจกรรมทางกายก่อนการติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่า 2019 กับความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อาชีพ ระดับการศึกษา โรคประจำตัวและการได้รับวัคซีนป้องกันโรค กับความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ คำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรประมาณค่าสัดส่วนหรือค่าเฉลี่ยโดยใช้โปรแกรม G*power ด้วยวิธีการการสุ่มอย่างมีระบบ (Systematic random sampling) ได้จำนวน 186 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ ทะเบียนประวัติการรักษาของผู้ป่วยและแบบสอบถาม มีค่าความตรงของเนื้อหา (Content validity) เท่ากับ 0.67-1 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) เท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติไคร์สแควร์ (Chi-square test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับความหนักของกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.05) และปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อาชีพและระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า 2019 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศรีสะเกษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.05)</p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ในการมีกิจกรรมทางกายให้แก่ประชาชนเพื่อช่วย ลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้ออื่น ๆ ได้อีกด้วย</p> ปวีณ์ภัสร เศรษฐสิริโชติ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265968 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265553 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การจัดการขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่เป็นตัวแทนครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ที่มีหน้าที่ทำหน้าที่จัดการขยะมูลฝอย จำนวน 290 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาของจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน และทดสอบค่าความเที่ยงของเครื่องมือได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาช (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.886 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2566 - 30 มิถุนายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ร้อยละ 46.21 ระดับมาก ร้อยละ 37.24 และระดับน้อย ร้อยละ 16.55 ผลการศึกษาพบว่า เพศ มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001) นอกจากนั้นยังพบว่า แรงจูงใจในการจัดการขยะมูลฝอย และทัศนคติต่อการจัดการขยะมูลฝอยมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001)</p> <p>ข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ ควรส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยให้มากขึ้น โดยการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนอยากเข้ามามีส่วนร่วม และประชาสัมพันธ์ให้เห็นประโยชน์ เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อการจัดการขยะในชุมชน และสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้น</p> ดริญญา บัวใหญ่, วิราสิริริ์ วสีวิรสิว์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265553 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสดของผู้ค้า ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265555 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสดของผู้ค้า ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ค้าตลาดสด ตำบลแม่สูน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 255 คน สุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ระหว่างวันที่ 1 เดือนมิถุนายน - กรกฎาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสดของผู้ค้า อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 65.49 อยู่ในระดับปานกลางร้อยละ 32.16 และอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 2.35 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสดของผู้ค้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสด และปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และระยะเวลาในการค้าขาย</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้ เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรฐานตลาดสดควรเพิ่มนโยบายด้านสถานที่ค้าขาย โดยสร้างแรงจูงใจและให้ความรู้แก่ผู้ค้าตลาดสดในการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานตลาดสด และควบคุมผู้ค้าตลาดสด ด้านระเบียบวินัยและความสะอาดในการค้าขาย</p> ปรัชพร สมธง, วิราสิริริ์ วสีวีรสิว์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265555 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลป่งไฮ อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265556 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ การปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลป่งไฮ อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลป่งไฮ อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ มีจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 280 คนโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความตรง ของเนื้อหาของแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ได้ค่า IOC อยู่ในช่วง 0.71-1.00 ผลรวม IOC ทั้งหมดเท่ากับ 0.92 และหาค่าความเชื่อมั่น ภาพรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงอนุมานใช้ไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า การปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 53.2 รองลงมาเป็นระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 35.7 และระดับต่ำ คิดเป็นร้อยละ 11.1 ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้แก่ แรงจูงใจใน การปฏิบัติงาน แรงสนับสนุนทางสังคม อายุ และอาชีพ (p-value&lt;0.001, p-value &lt;0.001, p-value = 0.026 และ p-value = 0.007 ตามลำดับ) มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรค ไตเรื้อรังของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน</p> <p>ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการส่งเสริมให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีการปฏิบัติงานในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากขึ้นโดยเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการจัดทำแผนสุขภาพชุมชนเพื่อขับเคลื่อนในการส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง และควรมีกิจกรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจและแรงสนับสนุนทางสังคม ให้กับกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน</p> ชุติภา แก้วลือ, วิราสิริริ์ วสีวิรสิว์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265556 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร สถาบันพระบรมราชชนก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265699 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล&nbsp; ระดับพฤติกรรมสุขภาพ ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับความเข้มแข็งในการมองโลกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพของนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรทั้ง 7 แห่ง ในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก จำนวน 389 คน ในปีการศึกษา 2565 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพและความรอบรู้ด้านสุขภาพของกองสุขศึกษาและแบบวัดความเข้มแข็งในการมองโลกของแอนโทนอฟกี้ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยตามเกณฑ์มาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาประกอบด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่ามัยธฐาน (Median)&nbsp; ค่าสูงสุด (Maximum) ค่าต่ำสุด (Minimum) และสถิติเชิงอนุมานประกอบด้วย Chi-square, Simple logistic regression การวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก (Multiple Logistic regression) มีการคำนวณ Crude Odds Ratio และ Adjusted Odds Ratios ร่วมกับ P-value</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 320 คน คิดเป็นร้อยละ 82.26 ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชนจำนวน 162 คน คิดเป็นร้อยละ 41.64 กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 19.11 ปี (SD=0.67) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมสุขภาพในระดับไม่ดีถึงปานกลางจำนวน 285 คน คิดเป็นร้อยละ 73.3 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับดีถึงดีมาก จำนวน 370 คน คิดเป็นร้อยละ 95.1 และมีความเข้มแข็งในการมองโลกในระดับต่ำถึงปานกลาง จำนวน 337 คน คิดเป็นร้อยละ 86.60</p> <p>เมื่อวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพพบว่าความเข้มแข็งในการมองโลกมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับความเข้มแข็งในการมองโลกสูงมีพฤติกรรมสุขภาพดีกว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีระดับความเข้มแข็งในการมองโลกต่ำถึงปานกลาง 4.74 เท่า (Adjusted OR =4.74, 95% CI of 2.07 ถึง 10.88, p-value&lt;0.001) การส่งเสริมความเข้มแข็งในการมองโลก อาจจะช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก</p> ชินกฤต ณิยกูล, อรวรรณ นามมนตรี Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265699 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 คุณลักษณะส่วนบุคคลและสุนทรียทักษะภาวะผู้นำที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของ นักกายภาพบำบัดในเขตสุขภาพที่ 8 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/264881 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคลและสุนทรียทักษะภาวะผู้นำที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของนักกายภาพบำบัดในเขตสุขภาพที่ 8 ประชากรที่ศึกษา คือ นักกายภาพบำบัดที่ปฏิบัติงานในเขตสุขภาพที่ 8 จำนวน 288 คน สุ่มตัวอย่างโดย การสุ่มแบบชั้นภูมิได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 138 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามสำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ ซึ่งแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 ทุกข้อ และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช 0.97 และใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ จากผู้ให้ข้อมูลจำนวน 12 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2565 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Pearson’s product moment correlation coefficient, Stepwise multiple linear regression โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับสุนทรียทักษะภาวะผู้นำ และระดับการปฏิบัติงานของ นักกายภาพบำบัดในเขตสุขภาพที่ 8 อยู่ในระดับระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.11 (S.D. = 0.42), 4.35 (S.D. = 0.41) ตามลำดับ และพบว่าภาพรวมสุนทรียทักษะภาวะผู้นำ มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการปฏิบัติงานของ นักกายภาพบำบัดในเขตสุขภาพที่ 8 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.740, p-value &lt;0.001) และตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัว ได้แก่ สุนทรียทักษะภาวะผู้นำ ด้านทักษะในการวางแผนจัดองค์กร ด้านทักษะในการสอนงาน ด้านทักษะในการคิดริเริ่ม และด้านทักษะในการทำงานเป็นทีม มีผลและสามารถร่วมกันในการพยากรณ์ต่อ การปฏิบัติงานของนักกายภาพบำบัดในเขตสุขภาพที่ 8 ได้ร้อยละ 71.3 (R2 =0.713, p-value &lt;0.001)</p> อาณัติ วัฒนะ, ประจักร บัวผัน, สุรชัย พิมหา Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/264881 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักศึกษาอาชีวศึกษา อายุ 15-24 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266287 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักศึกษาอาชีวศึกษาอายุ 15-24 ปี ที่กำลังศึกษาในเขตอำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น จากประชากรจำนวน 340 คน สุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบได้กลุ่มตัวอย่าง 160 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบมีโครงสร้างที่ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และทดสอบความเที่ยงของเครื่องมือได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าคอนบราค (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.80 ใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบไปด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด สถิติเชิงอนุมานใช้สถิติพหุถดถอยโลจิสติกในการประเมินปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ ของนักศึกษาอาชีวศึกษา นำเสนอค่า Adjusted OR ที่ช่วงความเชื่อมั่น 95%CI, p-value</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 60.74 ความชุกของการมีเพศสัมพันธ์ในนักศึกษาอาชีวศึกษาคิดเป็นร้อยละ 47.76 พฤติกรรมเสี่ยงและปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์อยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ ระดับความรู้เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ คิดเป็น 3.14 เท่า เมื่อเทียบกับระดับความรู้ต่ำถึงปานกลาง (AOR = 3.14 ; 95% CI 1.40 to 7.06 p-value = 0.006) และการได้รับอิทธิพลจากเพื่อนอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก คิดเป็น 2.51 เท่า เมื่อเทียบกับระดับการได้รับอิทธิพลจากเพื่อนระดับน้อย (AOR = 2.51 ; 95% CI 1.29 to 4.89 p-value = 0.007)</p> ชลฎา ชินตุ, นภากร สุกแก้ว, ศันสนีย์ จันทสุข, กฤชกันทร สุวรรณพันธุ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266287 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วย ความดันโลหิตสูงในอำเภอเมืองสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266691 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดสมอง และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในอำเภอเมืองสงขลา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 201 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติไค-สแควร์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมเสี่ยงระดับปานกลาง ร้อยละ 47.26 รองลงมามีพฤติกรรมเสี่ยงระดับสูง ร้อยละ 27.86 จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า อายุ โรคประจำตัว ประวัติโรคหลอดเลือดสมองในครอบครัว และทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.05) ส่วนเพศ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส รายได้ อาชีพและความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง</p> <p>ดังนั้น ควรเน้นการสร้างความตระหนักและปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุมาก มีโรคประจำตัวอื่นๆร่วมด้วย และผู้ที่มีครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค ลดอัตราป่วยและอัตราตายด้วยโรคหลอดเลือดสมองได้</p> สวรรค์ยา รักษาชล, อิบตีซาน เจ๊ะอุบง, ขจรศักดิ์ ไชยนาพงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266691 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องและปลอดภัย ตำบลปะโค อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266943 <p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องและปลอดภัย ตำบลปะโค อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี<em> เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย </em>ตำบลปะโค อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี<em> จำนวนประชากร </em><em>7,293 คน </em>คำนวณกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ จำนวน 208 คน สุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบวิธีการสุ่มอย่างรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.05 และค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ของครอนบาช 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน และการถดถอยพหุเชิงเส้นแบบขั้นตอน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าภาพรวมของปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องและปลอดภัย อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.21(S.D.=0.46) และค่าเฉลี่ย 4.29 (S.D.= 0.45) ตามลำดับ โดยพบว่าภาพรวมปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการมีส่วนร่วมของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องและปลอดภัย (r = 0.820,p-value = &lt; 0.001) และพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม&nbsp;&nbsp; ด้านจูงใจ ด้านกลไกของของรัฐ ด้านนักพัฒนา มีผลและสามารถร่วมพยากรณ์ การมีส่วนร่วมของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องและปลอดภัย ตำบลปะโค อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ได้ร้อยละ 74.7 &nbsp;(R<sup>2 </sup>Adj=0.747)</p> วิทยา พันแฮด, สุพัฒน์ กองศรีมา, นครินทร์ ประสิทธิ์; พีรยุทธ แสงตรีสุ, ณัฐพร นิจธรรมสกุล, ภูวนาถ ศรีสุธรรม, อัมภาวรรณ นนทมาตย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/266943 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟน และกลุ่ม NSAIDs ของกลุ่มวัยทำงาน ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/267961 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟนและกลุ่ม NSAIDs ของกลุ่มวัยทำงาน ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มวัยทำงานที่มีอาชีพเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน อายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 277 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลเดือนเมษายน 2566 โดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกเชิงพหุ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 66.43 อายุเฉลี่ย 51.47±13.81 ปี พฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟนและกลุ่ม NSAIDs ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี ร้อยละ 75.81 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟนและกลุ่ม NSAIDs อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05) ได้แก่ การรับรู้ประโยชน์ที่ได้จากการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำการใช้ยาบรรเทาอาการปวด โดยกลุ่มที่มีการรับรู้ประโยชน์ที่ได้จากการปฏิบัติตัวจากคำแนะนำการใช้ยาบรรเทาอาการปวดระดับดี จะมีพฤติกรรมในการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟนและกลุ่ม NSAIDs ดีกว่า กลุ่มที่มีการรับรู้ในระดับปานกลางและระดับไม่ดี (ORadj=10.99, 95% CI=5.73-21.08) และปัจจัยเสริมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวด โดยกลุ่มที่มีปัจจัยเสริมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาบรรเทาอาการปวดระดับสูง จะมีพฤติกรรมในการใช้ยาบรรเทาอาการปวดกลุ่มอะเซตามีโนเฟนและกลุ่ม NSAIDs ดีกว่า กลุ่มที่มีปัจจัยเสริมในระดับปานกลางและระดับต่ำ (ORadj=3.18,95% CI=1.52-6.64)</p> ปัญญาพล มุ่งดี, เจตนิพิฐ สมมาตย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/267961 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ด้านสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านกับบทบาท ในการป้องกันโรคโควิด 19 ในชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265804 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ความรู้ความเข้าใจ การสื่อสาร การตัดสินใจ การจัดการตนเอง การเท่าทันสื่อและการนำไปใช้ ซึ่งเป็นปัจจัย ที่สำคัญที่มีส่วนส่งเสริมการมีส่วนร่วมการปฏิบัติงานตามบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการป้องกันโรคโคโรนาไวรัส 2019 หรือโควิด-19 ทั้งนี้เป็นเพราะความรอบรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ทั้งด้านการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านการสื่อสาร ด้านการตัดสินใจ ด้านการจัดการตนเอง ด้านการเท่าทันสื่อและด้านการนำไปใช้ ซึ่งความรอบรู้ทั้ง 7 ด้านดังกล่าวจะช่วยให้ อสม. สามารถปฏิบัติงานในการป้องกันโรคนี้ได้ถูกต้องและมั่นใจยิ่งขึ้น และจะช่วยให้ อสม. มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นในการปฏิบัติงานป้องกันโรคโควิด-19 จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปฏิบัติงานตามบทบาทของ อสม.</p> <p>ดังนั้น ความรอบรู้ด้านสุขภาพจึงมีส่วนส่งเสริมการปฏิบัติงานตามบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการป้องกันโรคโควิด-19</p> จิรัชญา สุระสุข Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/265804 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700