วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph
<p>วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน กำหนดตีพิมพ์ปีละ 2 ครั้ง (1 มกราคม - 30 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม) เป็นบทความที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ การแพทย์ฉุกเฉินและคุ้มครองผู้บริโภค ระบบสุขภาพและการประเมินผลโครงการด้านสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายด้านสุขภาพชุมชนกับการพัฒนาสุขภาพและนวัตกรรมพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้านสุขภาพ</p>
วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น
th-TH
วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
2651-1193
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน (Journal of Health Science and Community Public Health) ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยการ สาธารณสุขสิรินธรจังหวัดขอนแก่น และคณาจารย์ท่านอื่นๆในวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
การก่อโรคและความรุนแรงของโรคติดเชื้อแบคทีเรีย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/277276
<p>บทความนี้เป็นบทความทบทวนวรรณกรรมเชิงวิพากษ์ เกี่ยวกับการก่อโรคและความรุนแรงของโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชื้อก่อโรค ไมโครไบโอตา และระบบภูมิคุ้มกันของเจ้าบ้าน แบคทีเรียสามารถก่อโรคผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การยึดเกาะเซลล์ การบุกรุกเนื้อเยื่อ และการผลิตสารพิษ (Exotoxins และ Endotoxins) โดยแบ่งเป็นเชื้อก่อโรคปฐมภูมิและเชื้อก่อโรคฉวยโอกาส ไมโครไบโอตามีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ โดยใช้กลไกการแข่งขันกับเชื้อก่อโรค และการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสภาพแวดล้อมและการใช้ยาปฏิชีวนะอาจส่งผลให้ไมโครไบโอตาเสียสมดุล และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ กลไกการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของแบคทีเรีย เช่น การเปลี่ยนแปลงแอนติเจนและการสร้างไบโอฟิล์ม ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังและดื้อยา ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง Disease tolerance และ Damage response framework ได้ขยายมุมมองเกี่ยวกับการก่อโรคของแบคทีเรีย โดยเน้นถึงปัจจัยภายในของเจ้าบ้านที่มีผลต่อความรุนแรงของโรค การเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
วุฒิโชติ จันทร์แสนตอ
สิทธิโชค ริตเพ็ชร
ยุทธนา หมั่นดี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
8 1
120
132
-
คุณลักษณะส่วนบุคคลและความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีผลต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/269964
<p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา คุณลักษณะส่วนบุคคลและและความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีผลต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ประชากรที่ศึกษา จำนวน 6,009 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 220 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ทุกข้อคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม พบว่า ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีค่าเท่ากับ 0.71 ด้านการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีค่าเท่ากับ 0.78 และแบบสอบถามทั้งชุดมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 และแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 12 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และระดับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 (S.D. = 0.23) และ 2.65 (S.D. = 0.21) ตามลำดับ โดยพบว่า คุณลักษณะส่วนบุคคล ด้านเพศ อายุ และระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็น อสม. มีความสัมพันธ์ระดับต่ำ กับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (r = 0.166, p-value = 0.014) (r = 0.164, p-value = 0.015) (r = 0.212, p-value = 0.002) ตามลำดับ และพบว่าภาพรวมความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.492, p-value <0.001) และตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปร ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล (เพศหญิง) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการรู้เท่าทันสื่อ และด้านทักษะการสื่อสาร สามารถร่วมกัน ในการพยากรณ์และมีผลต่อการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 7.6 (R<sup>2</sup> = 0.076, p-value <0.001)</p>
นิรุทธ์ แสงครจิตต์
ประจักร บัวผัน
นครินทร์ ประสิทธิ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
1
14
-
การเปรียบเทียบการรับรู้และความคาดหวังของพยาบาลวิชาชีพต่อการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด: กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/272916
<p>การวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการรับรู้และความคาดหวังด้านคุณภาพ การบริการ และด้านการบริหารจัดการของพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหลังจากถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 150 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ได้ค่า CVI เท่ากับ 0.91 วิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิแอลฟาครอนบาคเท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน การทดสอบค่า paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย: พบว่า การรับรู้และความคาดหวังด้านคุณภาพบริการโดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 3.97, S.D. = 0.51) และ (𝑥̅ = 4.24, S.D. = 0.63) ตามลำดับ ผลเปรียบเทียบโดยรวมการรับรู้ต่ำกว่าความคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t149 = -5.93, p <0.001) การรับรู้และความคาดหวังด้านการบริหารจัดการโดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.20, S.D. = 0.63) และ (𝑥̅ = 3.71, S.D. = 0.69) ผลเปรียบเทียบโดยรวมการรับรู้ ต่ำกว่าความคาดหวังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t<sub>149</sub> = -7.90,p <0.001)</p> <p>ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพบริการโดยเฉพาะการจัดหาอัตรากำลังของพยาบาลวิชาชีพ หรือบริหารจัดการภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องให้น้อยลงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริการ และเป็นข้อมูลในการพัฒนาการบริหารจัดการ คน เงิน ของ ในหน่วยบริการสาธารณสุข</p>
มธุรส พฤกษา
พีรพงษ์ บุญสวัสดิ์กุลชัย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
15
26
-
การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/274613
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช พัฒนาและศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างศักยภาพในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การศึกษาบริบท กลุ่มเป้าหมายจำนวน 122 คน ระยะที่ 2 กระบวนการพัฒนารูปแบบ และ ระยะที่ 3 การศึกษาผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 38 คน วิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์การพัฒนา ด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช อยู่ในระดับเหมาะสมมาก ร้อยละ 90.16 แต่มีระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสอยู่ในระดับเสี่ยง จำนวน 45 คน และไม่ปลอดภัย จำนวน 2 คน รวม 47 คน คิดเป็นร้อยละ 38.52, 2) รูปแบบการเสริมสร้างศักยภาพในการป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เรียกว่า “NIKHOM model” (N : Network team, I : Integration, K : Knowledge, H : Holistic, O : Organization - wide Goal, M : Model of behavioral promotion to prevent the dangers of using pesticides) และ 3) ผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบ หลังเข้าร่วมกิจกรรมพบว่า เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ (Mean diff. = 1.29, 95%CI: 0.75-1.83, p <0.001) พฤติกรรม (Mean diff. = 5.37, 95%CI: 3.56-7.17, p <0.001) และ การรับรู้ (Mean diff. = 5.71, 95%CI: 3.73-7.68, p <0.001) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งนี้ ระดับเอนไซม์โคลีนเอสเตอเรสในเลือดเกษตรกรอยู่ในระดับปกติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 92.11 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินการป้องกันตนเองจากการใช้สารเคมีของเกษตรกรกลุ่มอื่น ๆ ได้ต่อไป</p>
พัชรี ควบพิมาย
อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
27
39
-
การประเมินผลหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/276347
<p>การวิจัยเรื่องการประเมินหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดขอนแก่น คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 โดยใช้แนวคิดการประเมินแบบ CIPP และ 2) ศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผล โดยใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตรแบบ CIPP Model ของ Daniel L. Stufflebeam กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย (1) นักศึกษาสาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ชั้นปีที่ 1-2 จำนวน 90 คน (2) ผู้สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2567 จำนวน 56 คน (3) ผู้ใช้บัณฑิต จำนวน 36 คน (4) อาจารย์ผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 20 คน และ (5) อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (x̄) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 ผลการประเมินบริบทของหลักสูตร (Context) ปัจจัยนำเข้าของหลักสูตร (Input) กระบวนการของหลักสูตร (Process) ผลผลิตของหลักสูตร (Product) พบว่าในภาพรวมมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ผู้ใช้บัณฑิตมีความพึงพอใจต่อผู้สำเร็จการศึกษาในภาพรวมระดับมากที่สุด (x̄ = 4.60) โดยเฉพาะด้านคุณธรรมจริยธรรม และด้านมีจิตบริการ (S.D. = 0.02) และ 2) แนวทางการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564 ประกอบด้วย จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับข้อกำหนดของวิชาชีพและเหมาะสมกับระดับการศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ พัฒนาอัตลักษณ์ให้สอดคล้องกับความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิต</p>
ฐิติกานต์ เอกทัตร์
ณิชกานต์ มีลุน
อภิวิชญ์ สาน้อย
อิสรีย์ ปัดภัย
อริณรดา ลาดลา
สุขสรรค์ นิพนท์ไชย
อัจฉรา ชนะบุญ
สุพันทิพย์ ภูศรีโสม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
40
54
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในสตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/277487
<p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ (Cross-analytical research) ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างคือ สตรีอายุ 30 - 60 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ความรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 418 คน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน มีค่าดัชนีสอดคล้องเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.91 - 1.00 และมีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาชเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติการถดถอยโลจิสติก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 45.72 ปี (S.D. = 9.06) มีระดับการศึกษามัธยมศึกษาและ ต่ำกว่ามัธยมศึกษา ร้อยละ 56.40 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 71.30 ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร/รับจ้าง/ค้าขาย ร้อยละ 56.90 รายได้เฉลี่ยครอบครัวต่อเดือนคือ 21,731.08 บาท กลุ่มตัวอย่างมารับบริการตรวจ คัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2566) ร้อยละ 67.70 มีความสะดวกในการไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 84.40 เคยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยชุดเก็บตัวอย่างด้วยตัวเอง ร้อยละ 48.80 มีประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกร้อยละ 12 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความสะดวกในการไปตรวจคัดครองมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยชุดเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก การรับรู้อุปสรรคของการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการรับรู้ศักยภาพ แห่งตนในการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (aOR = 8.75, 95%CI:, 3.82 - 20.05, p <0.001; aOR = 12.55, 95%CI:, 6.34 - 24.84,p <0.001; aOR = 3.83, 95%CI:, 1.06 - 13.87,p = 0.041; aOR = 2.56, 95%CI:, 1.24 - 5.32, p = 0.011 และ aOR = 2.62, 95%CI:, 1.36 - 5.07, p = 0.04 ตามลำดับ) ดังนั้นบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ควรนำผลการศึกษาไปใช้ในการออกแบบกิจกรรม/โครงการโดยประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มอัตราการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในกลุ่มประชากรเป้าหมาย</p>
มานะ เปาทุย
ศิวรักษ์ กิจชนะไพบูลย์
ฐาปกรณ์ เรือนใจ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
55
67
-
ผลของรูปแบบการดูแลป้องกันแผลกดทับในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มติดเตียงที่บ้านโดยญาติผู้ดูแลยุค 4G เขตอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/272723
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการดูแลป้องกันแผลกดทับในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มติดเตียง ที่บ้านโดยญาติผู้ดูแลในยุค 4G เขตอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2566 ถึง เดือนมกราคม 2567 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบประเมินสมรรถนะของญาติผู้ดูแลและแบบประเมินความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับ Braden Score วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Independent t-Test และ Mann-Whitney U test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ดูแลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 61 คน ร้อยละ 84.7 มีอายุเฉลี่ย 47.71 ปี S.D.13.73 และมีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 39 คน ร้อยละ 54.2 ส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนในการติดต่อสื่อสาร จำนวน 64 คน ร้อยละ 84.9 ในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงส่วนใหญ่ เป็นเพศชาย จำนวน 39 คน ร้อยละ 34.2 อายุเฉลี่ย 62.74 ปี S.D.18.25 มีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน จำนวน 21 คน ร้อยละ 29.2 ความดันโลหิตสูง จำนวน 33 คน ร้อยละ 45.8 CVD จำนวน 22 คน ร้อยละ 30.8 CKD จำนวน 8 คนร้อยละ 11.1 โรคหัวใจ จำนวน 4 คน ร้อยละ 5.6 สาเหตุของการเป็นผู้ป่วยติดเตียงสาเหตุจาก Stroke มากที่สุด จำนวน 14 คน ร้อยละ 18.4 มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ คือ Tracheostomy tube จำนวน 15 คน ร้อยละ 11.8 สายสวนปัสสาวะ จำนวน 30 คน ร้อยละ 41.7 Colostomy จำนวน 5 คน ร้อยละ 8.9 และอุปกรณ์อื่น ๆ จำนวน 40 คน ร้อยละ 56.6</p> <p>ผลการใช้รูปแบบ พบว่า ความรู้หลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระดับทักษะปฏิบัติหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และระดับของแผลกดทับหลังการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p>
เยาวภา สีดอกบวบ
อภิญญา พรมจันทร์
เทพพิทักษ์ รินรุด
รุจิระชัย เมืองแก้ว
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-29
2025-04-29
8 1
68
77
-
การใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในการประเมินความตั้งใจเข้าร่วมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุระหว่าง 30-60 ปี อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา : โมเดลสมการโครงสร้าง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/272572
<p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ (Correlation study) เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้านกับความตั้งใจเข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30-60 ปี อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา จำนวนตัวอย่าง 327 คน จากประชากร 10,521 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage random sampling) ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยปัจจัย การรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ปัจจัย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง ระหว่างเดือน ธันวาคม 2566 ถึงมกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Structural Equation Modeling (SEM) ด้วยโปรแกรม STATA</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 91.44 มีความตั้งใจเข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรค และปัจจัยทั้ง 6 ด้านมีอิทธิพลต่อการเข้ารับการตรวจคัดกรองโรค ซึ่งปัจจัยการรับรู้ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก มีขนาดอิทธิพลทางตรงสูงสุด เท่ากับ 0.21 โมเดลสมการโครงสร้างไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์จึงได้ทำการปรับโมเดล พบค่าไคสแคว์สัมพัทธ์ = 2.46, p-value = <0.001, CFI = 0.795, TLI = 0.765, RMSEA = 0.067, SRMR = 0.129) โมเดลสมการโครงสร้างไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โมเดลทำนายได้ร้อยละ 99.9 ดังนั้น จากโมเดลที่ไม่สอดคล้องอาจเนื่องมาจากยังมีตัวแปรในโมเดล ที่ไม่สอดคล้องกับบริบท ของกลุ่มเป้าหมาย หรืออาจจะต้องมีการศึกษาตัวแปรอื่นๆร่วมด้วยนอกจากตัวแปรแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพทั้ง 6 ด้าน และสำหรับปัจจัยการรับรู้ที่ยังสามารถเพิ่มเติมได้สามารถนำข้อมูลสะท้อนให้แก่ประชาชนเพื่อสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่อไปได้</p>
อณัญญา วุฒิพงศ์เดชา
พงษ์เดช สารการ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
8 1
78
89
-
การรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน ในจังหวัดสงขลา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/274971
<p>การแพร่กระจายของโรค เป็นวิกฤติการณ์ระดับโลก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจำนวนมาก ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ มีโอกาสสัมผัสกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาของผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินในจังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินในระดับอาสาสมัครฉุกเฉินการแพทย์ (EMR) และพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ (EMT) ในจังหวัดสงขลา จำนวน 152 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 51.32 การรับรู้ความรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในระดับสูง (x̄ = 4.54, S.D. = 0.40) การรับรู้ของหน่วยงานต่อการดำเนินงานควบคุมโรคอยู่ในระดับสูง (x̄ = 4.41, S.D. = 0.66) และพฤติกรรมการป้องกันโรคในระดับสูง (x̄ = 66.47, S.D. = 5.53) ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรค พบว่า เพศ การรับรู้ความรุนแรงของโรค และการรับรู้ของหน่วยงานต่อการดำเนินงานควบคุมโรคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคของผู้ปฏิบัติการฉุกเฉิน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.05) ดังนั้น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางวางแผน กำหนดนโยบาย สิ่งสนับสนุนในการป้องกันโรคอุบัติใหม่หรืออุบัติซ้ำที่จะเกิดขึ้นได้เพื่อไม่ผู้ปฏิบัติการมีสุขภาพดีและไม่เจ็บป่วยได้</p>
ปาริฉัตร หีตเอี้ยว
ขจรศักดิ์ ไชยนาพงศ์
ธนกร สิริกุล
จามรี สอนบุตร
อิบตีซาน เจ๊ะอุบง
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
8 1
90
102
-
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ของประชาชนจังหวัดสกลนคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jhscph/article/view/275653
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการป้องกันโรค พัฒนารูปแบบการป้องกันโรคและประเมินผลการใช้รูปแบบป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของประชาชนกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดสกลนคร โดยใช้เครื่องมือ คือ แบบทดสอบความรู้ แบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพ แบบสอบถามพฤติกรรมที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีค่าความสอดคล้อง เท่ากับ 1 ค่าคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20 เท่ากับ 0.86 ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคได้เท่ากับ 0.9 ได้ วิธีการดำเนินการมี 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานบริบททั่วไปเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมป้องกันและควบคุมโรค 2) การพัฒนารูปแบบการป้องกันและควบคุมโรค 3) การทดลองใช้รูปแบบการป้องกันและควบคุมโรค 4) ปรับปรุงรูปแบบการป้องกันโรค เผยแพร่และนำไปใช้ประโยชน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงและผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับที่อาศัยอยู่ในตำบลบะฮี อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จำนวน 43 คน วิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบก่อนและหลังการดำเนินการ ด้วยสถิติ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีหลังเข้าร่วมกิจกรรมมีคะแนนความรู้สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (x̄ = 15.79, S.D. = 1.78) การรับรู้ความเชื่อทางด้านสุขภาพโดยรวม พบว่า การรับรู้หลังการเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (x̄ = 114.62, S.D. = 10.54) ส่วนพฤติกรรมการป้องกันโรคก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (x̄ = 27.53, S.D. = 3.24)</p> <p>อภิปรายผลและสรุป: รูปแบบการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี สามารถทำให้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้โดยการพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการป้องกันควรได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและทรัพยากรที่เพียงพอ การมีส่วนร่วมของชุมชนควรได้รับการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่ยั่งยืน</p>
จิตรานนท์ โกสีย์รัตนาภิบาล
กิตติยา ไกรยราช
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-04-30
2025-04-30
8 1
103
119