วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk <p>เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ รายงานผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ</p> <p><span style="font-weight: 400;">ว</span><span style="font-weight: 400;">ารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี</span></p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน&nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;</p> <p><span style="font-weight: 400;">ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม&nbsp;&nbsp;</span></p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;</p> th-TH <p><strong>ความ</strong><strong>​</strong><strong>รับ</strong><strong>​</strong><strong>ผิด</strong><strong>​</strong><strong>ชอบ</strong></p> <p>บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารสำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น หรือ ของกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</p> <p><strong>ลิขสิทธ์บทความ</strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันตวบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น</p> journal.dpc6@gmail.com (ประณิตา แก้วพิกุล) journal.dpc6@gmail.com (ประณิตา แก้วพิกุล) Tue, 30 Apr 2024 17:13:36 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของรูปแบบการพัฒนาสถานประกอบการปลาร้าและปลาส้มปลอดพยาธิใบไม้ตับ โดยการมีส่วนร่วมของท้องถิ่นในพื้นที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268724 <p> การศึกษาเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการพัฒนารูปแบบสถานประกอบการปลาร้าและปลาส้มปลอดพยาธิใบไม้ตับโดยการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ในพื้นที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มเป้าหมายการศึกษา คือ เจ้าของและพนักงานของสถานประกอบการผลิตปลาร้าและปลาส้ม 5 แห่ง รวม 22 คน และหน่วยงานที่ส่งเสริมสนับสนุนในพื้นที่ประกอบด้วยองค์กรปกครองท้องถิ่น เกษตรอำเภอ พัฒนาชุมชนอำเภอ โรงพยาบาลและสาธารณสุขอำเภอ ผู้แทนแกนนำชุมชน และผู้แทนอาสาสมัครสาธารณสุข รวม 38 คน ดำเนินการศึกษาเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบ และระยะที่ 3 การติดตามประเมินผล ช่วงการศึกษาระหว่างเดือนพฤษภาคม 2563 - สิงหาคม 2564 เครื่องมือการวิจัยได้แก่ แบบสำรวจสถานประกอบการปลาร้าและปลาส้ม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินความพึงพอใจ แนวทางการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม แบบประเมินสุขาภิบาล และแบบประเมินความรอบรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis)</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า สภาพปัญหาของผลิตภัณฑ์ปลาร้าและปลาส้มไม่ปลอดพยาธิ สถานประกอบการปลาร้าและปลาส้มไม่ผ่านเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารตามหลักสุขาภิบาล ผู้ประกอบการปลาร้าและปลาส้มมีความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีไม่ถูกต้อง รูปแบบการพัฒนาสถานประกอบการ ได้แก่ 1) การเฝ้าระวังพยาธิใบไม้ตับโดยการเก็บปลาร้าและปลาส้มส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ 2) การควบคุมป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ สถานที่ผลิตตามมาตรฐานสุขาภิบาลพร้อมติดฉลากปรุงสุกกำกับผลิตภัณฑ์ปลาร้าและปลาส้ม และ 3) การมีเครือข่ายร่วมดำเนินการปลาร้าและปลาส้มปลอดโรคพยาธิใบไม้ตับในพื้นที่ ผลลัพธ์หลังการดำเนินงานตามรูปแบบ พบว่า 1) การสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ปลาร้า และปลาส้มไม่พบความเสี่ยงการเกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ 2) ทุกผลิตภัณฑ์ปลาร้าและปลาส้มมีติดฉลาก“ปรุงสุกปลอดพยาธิ” 3) สถานประกอบการปลาร้าและปลาส้มผ่านเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารตามหลักสุขาภิบาล 4) ผู้ประกอบการปลาร้าและปลาส้มมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีเพิ่มขึ้น 5) ผลักดันให้ท้องถิ่นได้ข้อบัญญัติควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทการผลิต สะสม หรือแบ่งบรรจุอาหารหมักดองจากสัตว์ ได้แก่ ปลาร้า ปลาส้ม ปลาจ่อม หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่คล้ายคลึงกัน พ.ศ. 2563 </p> <p> จากผลการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบดังกล่าวสามารถยกระดับให้ผู้ประกอบการปลาร้าและปลาส้มให้ปลอดพยาธิใบไม้ตับด้วยกระบวนการการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานท้องถิ่นในการสนับสนุนการดำเนินงาน โดยมองเป้าหมายพร้อมทั้งขับเคลื่อนการดำเนินงานสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน </p> กิตติพิชญ์ จันที , สุวิศิษฐ์ ช่างทอง , ศุภลักษณ์ พริ้งเพราะ, เกษร แถวโนนงิ้ว Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268724 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้า ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/264990 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้า และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Multiple logistic regression นำเสนอค่า Adjusted Odds Ratio (OR<sub>Adj</sub>) พร้อมช่วงเชื่อมั่น 95% Confidence interval (95%CI) และ p-value กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าอยู่ในระดับดีร้อยละ 65.75 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าในระดับดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เพศหญิง (OR<sub>Adj</sub> = 1.87, 95%CI = 1.05 ถึง 3.29, p-value = 0.031) ไม่มีโรคไตร่วม (OR<sub>Adj</sub> = 5.29, 95%CI = 1.39 ถึง 19.47, p-value = 0.014) แรงจูงใจในการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าระดับสูง (OR<sub>Adj</sub> = 2.64, 95%CI = 1.24 ถึง 5.63, p-value = 0.011) และแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าระดับสูง (OR<sub>Adj</sub> = 4.86, 95%CI = 2.70 ถึง 8.73, p-value = 0.001) สรุป เพศ ภาวะโรคไตร่วม แรงจูงใจ และแรงสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้า ดังนั้น ควรเสริมสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้บุคคลในครอบครัว ชุมชน มีส่วนร่วมในการดูแล และป้องกันการเกิดแผลเบาหวานที่เท้าร่วมกับผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะโรคไตร่วมด้วย</p> บุญธง พิมพ์โคตร, ธีรศักดิ์ พาจันทร์ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/264990 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาความร่วมมือการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผู้จำหน่าย และแกนนำในชุมชน พื้นที่ตำบลหนองกุงเซิน อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/263381 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือการดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ตำบลหนองกุงเซิน อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 3 ระยะ คือ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แกนนำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้จำหน่าย 2) พัฒนาแนวทางและดำเนินการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ และ 3) ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูล และแบบสอบถาม ระยะเวลาศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2564 - มิถุนายน 2565 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า ก่อนพัฒนาความร่วมมือ มีการละเมิดข้อห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 19.05 มีการโฆษณา ร้อยละ 38.10 และผู้จำหน่ายมีความรู้เกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับดีมากเพียง ร้อยละ 28.57 เครือข่ายที่เกี่ยวข้องของแกนนำชุมชน ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค จึงได้มีการกำหนดแนวทางแก้ปัญหา และดำเนินการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือ สร้างเครือข่ายตรวจเฝ้าระวัง การสร้างข้อตกลงร่วมกันของผู้จำหน่าย เสริมสร้างความรอบรู้การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การประชาสัมพันธ์รณรงค์ และการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ผลลัพธ์ที่ได้หลังดำเนินการ พบว่า ผู้จำหน่ายมีความรู้ฯ ในระดับดีมากเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 52.38 มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลากำหนดเพิ่มเป็น ร้อยละ 75 และด้านการโฆษณาฯ ลดลงเหลือ ร้อยละ 9.09 แต่การละเมิดกฎหมายด้านการขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ยังไม่ลดลง เห็นได้ว่าแม้ผู้จำหน่ายจะมีความรู้ความเข้าใจในมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังพบการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อยู่ ดังนั้นจึงควรติดตามประเมินและปรับปรุงแนวทางการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ให้เหมาะสมต่อเนื่อง และอาจมีความจำเป็นต้องสร้างกติกาชุมชนบังคับใช้โดยการยอมรับของชุมชนที่แท้จริง และนำสู่การขับเคลื่อนแนวทางสู่การปฏิบัติให้ต่อเนื่องต่อไป</p> <p> </p> <p> </p> กานต์ญาณี เกียรติพนมแพ, สารัช บุญไตรย์, วิทยา แพงแสง Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/263381 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การประเมินประสิทธิผลมาตรการป้องกันควบคุมโรคกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/264445 <p>การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง รูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียวโดยมีการวัดผลลัพธ์ก่อนและหลังให้ Intervention วัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลมาตรการป้องกันควบคุมโรคกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ของกรมควบคุมโรค ปี พ.ศ 2563-2564 จำนวน 2,223,435 คน ใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยแบบแบ่งช่วงเชิงเส้นในการวิเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า มาตรการปิดเมืองปี 2563 ของประเทศไทย หลังได้รับมาตรการปิดเมือง 1 เดือน อุบัติการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดลง 3.036 ต่อแสนประชากร (95%CI = 1.217 ถึง 4.856) และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลังจากได้รับมาตรการปิดเมืองเปรียบเทียบกับก่อนได้รับมาตรการปิดเมือง อุบัติการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดลง 1.025 ต่อแสนประชากร (95%CI = 0.350 ถึง 1.701) และมาตรการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปี 2564 ของประเทศไทย พบว่า 1 เดือนหลังจากได้รับมาตรการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อุบัติการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดลง 317.123 ต่อแสนประชากร (95%CI = 77.856 ถึง 556.390) และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลังจากได้รับมาตรการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เปรียบเทียบกับก่อนได้รับมาตรการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อุบัติการณ์ผู้ติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 ลดลง 257.419 ต่อแสนประชากร (95%CI = 213.642 ถึง 301.195)</p> <p>โดยสรุปพบว่า มาตรการปิดเมืองปี 2563 และมาตรการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปี 2564 ของประเทศไทย มีประสิทธิผลในการลดอุบัติการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ซึ่งสามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการกำหนดนโยบาย วางแผน เฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงโรคอุบัติใหม่ เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบทางสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล</p> ณัฐพล โยธา, สุรชัย พิมหา, นครินทร์ ประสิทธิ์, นพรัตน์ เสนาฮาด, ประภัสรา ศิริกาญจน์, ภูวนาถ ศรีสุธรรม Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/264445 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การประเมินผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในพื้นที่เสี่ยงสูง อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น : ประยุกต์ใช้แนวทางการประเมินผลการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268886 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกด้านผลผลิต ผลกระทบ และผลลัพธ์ ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย อสม. ในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบ้านขามเปี้ย และโรงพยาบาลส่งเสริมตำบลโนนสมบูรณ์ จำนวน 186 คน และประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ จำนวน 704 คน เครื่องมือวิจัยการวิจัย มี 2 ฉบับ คือ 1) ฉบับสำหรับ อสม. ประเมินความรู้ ทัศนติ การปฏิบัติงาน และความพึงพอใจต่อการมีส่วนร่วม และ 2) ฉบับสำหรับประชาชน ประเมินความรู้ ทัศคติ พฤติกรรมการปฏิบัติตน การมีส่วนร่วมและความพึงพอใจ ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า อสม. ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 90.9 อายุเฉลี่ย 53.15 สมรส ร้อยละ 81.7 จบประถมศึกษา ร้อยละ 51.1 และอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 56.5 รายได้เฉลี่ย 4,253.81 บาท/เดือน (300-50,000 บาท/เดือน) และปฏิบัติงานอสม. เฉลี่ย 13.52 ปี สำหรับกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 68.2 อายุเฉลี่ย 54.00 ปี สมรส ร้อยละ 71.3 จบประถมศึกษา ร้อยละ 63.4 อาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 48.6 รายได้เฉลี่ย 5,416.83 บาท/เดือน การประเมินผลการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม. พบว่า ด้านผลผลิต อสม. มีความรู้ในการป้องกันโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับสูง การปฏิบัติงานของ อสม. ทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะก่อนระบาด ระยะระบาด และระยะหลังการระบาด อยู่ในระดับมากที่สุด ทัศนคติเกี่ยวกับดำเนินงาน อยู่ในระดับดี และความพึงพอใจ อยู่ระดับมากที่สุด ด้านผลลัพธ์ ประเมินความรู้ในการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน อยู่ในระดับปานกลาง พฤติกรรมการป้องกันตนเองของประชาชน อยู่ในระดับดี ทัศคติเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับดี การมีส่วนร่วมของประชาชนภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานของ อสม. อยู่ในระดับมาก และการประเมินผลกระทบจากการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของ อสม. พบว่า ค่าดัชนีลูกน้ำยุงลายสำรวจเดือนมกราคม–เดือนธันวาคม 2563 ค่า HI (House Index) และ CI (Container Index) เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (ค่า HI &lt; 5 และ ค่า CI = 0) และอัตราป่วยของโรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง ในช่วงสัปดาห์ที่ 1-24 และมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าค่ามัธยฐานในช่วงสัปดาห์ที่ 37-52</p> บุญทนากร พรมภักดี, วิภาพร ต้นภูเขียว, จุลจิลา หินจำปา Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268886 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับวัณโรคดื้อยาหลายขนาน ของผู้ป่วยวัณโรค เขตสุขภาพที่ 7 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266718 <p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับวัณโรคดื้อยาหลายขนานของผู้ป่วยวัณโรค เขตสุขภาพที่ 7 เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยวัณโรคที่ขึ้นทะเบียนใน National Tuberculosis Information Program (NTIP) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2560 - 30 กันยายน 2563 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Multiple logistics regression นำเสนอค่า Adjusted Odds Ratio (OR<sub>adj</sub>) ช่วงความเชื่อมั่น 95% Confidence interval (95%CI) และ P-value กำหนดระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยวัณโรคจำนวน 16,698 คน เป็นเพศชายร้อยละ 68.61 ค่ามัธยฐานของอายุคือ 56 ปี (ต่ำสุด 18 ปี สูงสุด 89 ปี) ความชุกของวัณโรคดื้อยาหลายขนานร้อยละ 1.01 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับวัณโรคดื้อยาหลายขนาน ได้แก่ เพศชาย OR<sub>adj</sub>=1.46 (95%CI: 1.01 ถึง 2.11, P-value=0.040) การกลับเป็นซ้ำ OR<sub>adj</sub>=7.55 (95%CI: 5.43 ถึง 10.49, P-value&lt;0.001) บริเวณที่พบเชื้อวัณโรคในปอด OR<sub>adj</sub>=4.09 (95%CI: 1.79 ถึง 9.31, P-value=0.001) บริเวณที่พบเชื้อวัณโรคในปอดร่วมกับนอกปอด OR<sub>adj</sub>=9.16 (95%CI: 2.73 ถึง30.72, P-value&lt;0.001) การติดเชื้อ HIV OR<sub>adj</sub>=1.85 (95%CI: 1.05 ถึง 3.25, P-value=0.031) โรคประจำตัวเบาหวาน OR<sub>adj</sub>=1.59 (95%CI: 1.09 ถึง 2.32, P-value=0.015)</p> <p> ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการคัดกรองค้นหาผู้ป่วยวัณโรคเชิงรุกในชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยวัณโรคที่กลับเป็นซ้ำ รวมถึงผู้ป่วยวัณโรคที่มีการติดเชื้อ HIV มีโรคประจำตัวเบาหวาน และติดตามผู้ป่วยที่มีผลการตรวจพบเชื้อวัณโรคชนิดในปอด และวัณโรคชนิดในปอดร่วมกับนอกปอด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนาน</p> สุภาพร ทันตา, ธีรศักดิ์ พาจันทร์, สุทิน ชนะบุญ, กฤษณ์ ขุนลึก Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266718 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค และแนวคิดการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแนวชายแดน จังหวัดอุบลราชธานี – สปป. ลาว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/262898 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค และแนวคิดการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามแนวชายแดน จังหวัดอุบลราชธานี – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบจำนวน 68 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 34 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 34 คน กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มเปรียบเทียบจะได้รับกิจกรรมสุขศึกษาตามปกติจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ดำเนินการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงกุมภาพันธ์ 2566 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติพรรณนาโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การรับรู้โอกาสเสี่ยงจากการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงจากอันตรายที่เกิดขึ้นจากการเกิดโรค ความคาดหวังในความสามารถของตนเองต่อการป้องกันโรค ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองต่อการป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน และการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดนก่อนและหลังได้รับโปรแกรมสุขศึกษาที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค ร่วมกับการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคติดต่อ ตามแนวชายแดนไทย- สปป.ลาว เปรียบเทียบภานในกลุ่ม ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ด้วย สถิติ Paired sample t-test และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบด้วย Independent sample t-test ที่ระดับ p &lt; 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีระดับคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นทั้งคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การรับรู้โอกาสเสี่ยงจากการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงจากอันตรายที่เกิดขึ้นจากการเกิดโรค ความคาดหวังในความสามารถของตนเองต่อการป้องกันโรค ความคาดหวังในประสิทธิผลของการตอบสนองต่อการป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน และการมีส่วนร่วมในการป้องกันโรคติดต่อตามแนวชายแดน สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p &lt; 0.05 สรุปได้ว่าการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรค และแนวคิดการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันโรค ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการป้องกันโรคประสบความสำเร็จ และควรมีการขยายผลไปยังพื้นที่อื่น</p> พนมวรรณ์ สว่างแก้ว, กุลชญา ลอยหา, สุภาพร ใจการุณ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/262898 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การประเมินความเสี่ยงต่อการป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับความร้อนจากการทำงานของเกษตรกรทำงานกลางแจ้ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/265865 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพด้านการเจ็บป่วยจากการสัมผัสความร้อน ในเกษตรกรทำงานกลางแจ้งจำนวน 76 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 – เมษายน พ.ศ. 2565 ด้วยการสัมภาษณ์ ตรวจวัดความร้อน (อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ) วัดความชื้นและความเร็วลม และประเมินความเสี่ยงต่อการป่วยโดยอาศัยเมตริกความเสี่ยงที่คํานึงถึงโอกาสและความรุนแรงของการป่วยจากความร้อน ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 56.37 ปี สถานภาพแต่งงานหรืออยู่ด้วยกันร้อยละ 75.00 ระดับการศึกษาสูงสุดอยู่ที่ระดับประถมศึกษาร้อยละ 73.84 และเกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกพืชกลุ่มธัญพืชเป็นหลักคือ ข้าว ร้อยละ 93.42 ซึ่งเป็นเจ้าของไร่เองร้อยละ 64.08 อยู่บนพื้นที่ทำการเกษตรที่น้อยกว่า 10 ไร่ พบว่าอุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบอยู่ระหว่าง 26.80- 33.90 องศาเซลเซียส ความเร็วลมเฉลี่ย 0.8–3.1 เมตร/วินาที ความชื้นสัมพัทธ์ 53% – 66% ค่าเฉลี่ย WBGT 32-34 °C ร้อยละ 68.42 มีภาระงานหนัก (&gt;350 กิโลแคลอรี่/ชม.) ร้อยละ 89.80 ระดับความรุนแรงของการเกิดการป่วยจากความร้อนโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 0 (ไม่มีอาการ) ร้อยละ 36.84 รองลงมามีความรุนแรงอยู่ในระดับที่ 3 (อาการรุนแรงมาก) ได้แก่ เป็นลม หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น ร้อยละ 35.53 และระดับที่ 2 (อาการรุนแรงปานกลาง) ได้แก่ ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ หายใจตื้นๆบ่อยๆ อุณหภูมิร่างกายสูง เป็นต้น ร้อยละ 13.16 หากจำแนกอาการเจ็บป่วยจากความร้อนตามรายอาการพบว่า อาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ เหนื่อยล้าจากความร้อน (กลุ่มอาการความรุนแรงระดับสูง) ร้อยละ 31.58 รองลงมาคือ ปวดศีรษะ (กลุ่มอาการความรุนแรงระดับเล็กน้อย) ร้อยละ 25.00 และหิวน้ำอย่างรุนแรง (กลุ่มอาการความรุนแรงระดับเล็กน้อย) ร้อยละ 22.37 ระดับความเสี่ยงพบระดับ 2 (ต่ำ) ร้อยละ 38.16 ระดับ 3 (ปานกลาง) ร้อยละ 15.79 และระดับ 4 (สูง) ร้อยละ 35.53 ระดับ 5 (สูงมาก) ร้อยละ 10.53 ดังนั้น เสนอแนะให้ดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อหาวิธีการแก้ไขหรือลดความเสี่ยง จัดการอบรมเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงนั้นให้มีการลดภาระงานลง โดยอาจลดระยะเวลาทำงาน มีเวลาพักมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของการป่วยจากความร้อน การศึกษาครั้งต่อไปควรขยายผลไปสู่การหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดการป่วยจากความร้อนเพื่อการป้องกันการป่วยจากความร้อนในเกษตรกร</p> พิพัฒน์พงษ์ โลแก้ว, สุนิสา ชายเกลี้ยง Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/265865 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกัน โรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงาน แบบมีส่วนร่วมของเครือข่าย อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/269151 <p>การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงาน แบบมีส่วนร่วมของเครือข่าย อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) โดยแบ่งการวิจัยเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และบริบทของปัญหาการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงาน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานแบบมีส่วนร่วมของเครือข่าย อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น และระยะที่ 3 ประเมินผลการพัฒนารูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มเสี่ยงวัยทำงาน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่นจำนวน 72 คน รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมิน แบบสอบถาม และแบบสนทนากลุ่ม โดยเครื่องมือได้ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และหาความเที่ยงโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาช ในด้านกระบวนการพัฒนาสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานเท่ากับ 0.95 ด้านการมีส่วนร่วมของเครือข่ายเท่ากับ 0.95 และด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพเท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยก่อนและหลังด้วยสถิติ Paired t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา <br />ผลการศึกษา พบว่า 1. การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานแบบมีส่วนร่วมของเครือข่าย อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ด้วยหลัก 3ก. 1ข. 1ส. ดังนี้ 1) กองทุน 2) กิจกรรม 3) การติดตามกลุ่มเสี่ยง 4) ข้อมูลทะเบียนกลุ่มเป้าหมาย และ 5) ส่วนร่วม 2. การประเมินผลการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มเสี่ยงวัยทำงานแบบมีส่วนร่วมของเครือข่าย พบว่าการมีส่วนร่วมหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean Difference = 0.29, 95% CI 0.11-0.45, p-value &lt; 0.001) ด้านกระบวนการพัฒนาหลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean Difference = 0.41, 95% CI 0.23-0.57, p-value &lt; 0.001) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ หลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean Difference = 0.54, 95% CI 0.37-0.70, p-value &lt; 0.001) และคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพ หลังเข้าร่วมกิจกรรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Mean Difference = 1.43, 95% CI 1.28-1.57, p-value &lt; 0.001) ความพึงพอใจต่อกระบวนการพัฒนารูปแบบภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.80 (S.D.=0.57)</p> รุ่งทอง วัชรนุกูลเกียรติ, วรรณกร ตาบ้านดู่ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/269151 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพ จังหวัดหนองคาย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266022 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดหนองคาย และประเมินผลความคิดเห็นต่อการใช้รูปแบบการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดหนองคายที่พัฒนาขึ้น โดยใช้ PDCA และประเมินผลการพัฒนาโดยใช้ CIPP Model รวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม คณะกรรมการวางแผนและประเมินผลจำนวน 35 คน และประเมินความคิดเห็นต่อกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพของบุคลากรสาธารณสุข จํานวน 240 คน โดยใช้แบบประเมินความคิดเห็นและแบบประเมินผลการพัฒนา การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย 1) การบริหารจัดการระบบบริหารยุทธศาสตร์ การนำองค์กร การกำหนดนโยบาย เป้าหมายชัดเจน การวางแผน การดำเนินการ การกำกับติดตามต่อเนื่อง และประเมินผลในรูปแบบคณะกรรมการระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ประสานงานเชื่อมโยงกันและมีระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อสนับสนุนการบริหาร 2) กระบวนการบริหารยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย การจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพ กระบวนการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติโดยใช้หลักการ Six Building Blocks และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย กระบวนการควบคุมกำกับและประเมินผล โดยการพัฒนาโปรแกรมการประเมินผลงาน (eVA NKPH) และระบบรายงานการประเมินผลงาน (eVA REPORT) 3) การประเมินผลกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพด้วย PDCA และ CIPP Model การประเมินผลหลังการนำรูปแบบไปใช้พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 76.60 (Mean=4.00 S.D.=0.62) มีผลการดําเนินงานตามเป้าหมายของเขตสุขภาพที่ 8 และกระทรวงสาธารณสุขบรรลุเป้าหมายร้อยละ 97.0 มีผลงานเป็นอันดับที่ 1 ของเขตสุขภาพที่ 8</p> <p>ข้อเสนอแนะ ผู้บริหารทุกระดับควรให้ความสำคัญต่อกระบวนการบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพและถือเป็นนโยบายสำคัญที่นำสู่การปฏิบัติ มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ควบคุมกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง และใช้โปรแกรมการประเมินผลงาน (eVA NKPH) และระบบการรายงานการประเมินผลงานสาธารณสุข (eVA REPORT) ไปพัฒนาต่อเนื่อง ขยายผลไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแห่งอื่น</p> รติวัน พิสัยพันธ์, ศิวพร เลยวานิชย์เจริญ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266022 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 สุนทรียทักษะ ภาวะผู้นำและปัจจัยแห่งความสำเร็จ ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/262570 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสุนทรียทักษะภาวะผู้นำและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีผลต่อการปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่น ประชากรที่ใช้ศึกษา คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลจำนวน 248 คน สุ่มแบบเป็นระบบได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 138 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งคำถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องทุกข้อมากกว่า 0.50 และค่าความเที่ยงของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช 0.98 และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก ทำการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลจำนวน 12 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 3 มกราคม ถึง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับสุนทรียทักษะภาวะผู้นำ ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และการปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอยู่ในระดับมาก = 4.05 (S.D.=0.32), 4.07 (S.D.=0.38) และ 4.12 (S.D.=0.41) ตามลำดับ ภาพรวมสุนทรียทักษะภาวะผู้นำและปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับการปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.708, r=0.877, p-value&lt;0.001) ตามลำดับ และพบว่าตัวแปรอิสระ 5 ตัวแปรประกอบด้วยปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการพัฒนาภาพลักษณ์ของสถานบริการ ด้านการสร้างความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือ ด้านการเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลด้วยกันและกับโรงพยาบาลแม่ข่าย ด้านการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความพร้อมและสมัครใจในการมีส่วนร่วม และสุนทรียทักษะภาวะผู้นำด้านทักษะในการพัฒนาตนเองมีผลและสามารถร่วมกันในการพยากรณ์การปฏิบัติงานทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดขอนแก่นได้ร้อยละ 79.7 (R<sup>2</sup> = 0.797, p-value&lt;0.001)</p> อภิญญา ปุ้งมา, สุวิทย์ อุดมพาณิชย์, ประจักร บัวผัน, สุรชัย พิมหา Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/262570 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี พื้นที่จังหวัดสระแก้ว ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/265568 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และการสะท้อนกลับข้อมูลตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ปีงบประมาณพ.ศ.2565 เป็นการวิจัยประเมินผล กลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรผู้รับผิดชอบงานโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีพื้นที่จังหวัดสระแก้วจำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบบันทึกผลการดำเนินงาน แบบสัมภาษณ์บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน และแบบสอบถามความรอบรู้ด้านการสื่อสารตามบริบท วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ด้านปัจจัยนำเข้ามีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานครอบคลุม 5 มาตรการ ได้แก่ การคัดกรองพยาธิใบไม้ตับ คัดกรองมะเร็งท่อน้ำดี จัดระบบสุขาภิบาล บริหารจัดการสิ่งปฏิกูล การสื่อสารตามบริบทพื้นที่ และพัฒนานวัตกรรม 2) ด้านกระบวนการคัดกรองพยาธิใบไม้ตับ เป็นไปตามแผนคือ 9 อำเภอ 59 ตำบล ตำบลละ 100 ราย รวมทั้งสิ้น 5,900 ราย คัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีเป็นไปตามแผนจำนวน 2,000 ราย จัดระบบสุขาภิบาล บริหารจัดการสิ่งปฏิกูล มีการประชุมเจ้าหน้าที่เทศบาล/อบต./สาธารณสุข การสื่อสารตามบริบทพื้นที่เป็นไปตามแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจำนวน 1 อำเภอ คือ อำเภอวัฒนานคร และพัฒนานวัตกรรมเป็นไปตามแผนการพัฒนาบุคลากรในการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับด้วยปัญญาประดิษฐ์ 3) ด้านผลผลิตโดยเปรียบเทียบค่าเป้าหมายตามผลการดำเนินงานกับค่าเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดพยาธิใบไม้ตับ พ.ศ. 2559–2568 โดยผลการคัดกรองพยาธิใบไม้ตับในประชาชนกลุ่มเป้าหมายอายุ 15 ปี ขึ้นไป ความชุกร้อยละ 2.92 (ความชุก &lt; ร้อยละ 1) อัตราการตายด้วยโรคมะเร็งท่อน้ำดี 0.01 ต่อประชากรแสนคน (ปี 2578 อัตราการตาย 0.003 ต่อประชากรแสนคน) การจัดระบบสุขาภิบาล บริหารจัดการสิ่งปฏิกูล บ่อบำบัด ใช้ได้อำเภอละ 1 บ่อ (9 อำเภอ/9 บ่อ)</p> <p> ผลการประเมินหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการจัดระบบการนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานให้ต่อเนื่อง พร้อมทั้งคืนข้อมูลผลการดำเนินงาน ตลอดจนพัฒนาแนวทางใหม่ๆ เช่น การตรวจพยาธิโดยการตรวจปัสสาวะ เป็นต้น เพื่อนำไปสู่การบรรลุตามยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดพยาธิใบไม้ตับ พ.ศ. 2559–2568</p> สุจิตรา เทพมงคล, ดารณี จุนเจริญวงศา Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/265568 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266188 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์ และพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์ของกลุ่มทดลองระหว่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-3 ที่ได้จากการเลือกนักเรียนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 30 คน เครื่องมือทดลองเป็นโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นตามแนวคิดแบบจำลอง พรีสีด-โพรสีดของกรีนและครูเตอร์ เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมี 3 ส่วนดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 ทักษะปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์ และส่วนที่ 3 พฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์ แบบสอบถามส่วนที่ 2 และ 3 มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหารายข้อเฉลี่ย 0.76 และ 0.77 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค 0.97 และ 0.70 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา กรณีข้อมูลต่อเนื่องนำเสนอค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน กรณีข้อมูลแจงนับนำเสนอค่าความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมานเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยภายในกลุ่มทั้งก่อนและหลังได้รับโปรแกรมโดยใช้สถิติ Paired sample t-test และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรมโดยใช้สถิติ Independent sample t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีทักษะปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์และพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นก่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดี ช่วยให้นักเรียนมีทักษะปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์และพฤติกรรมป้องกันการดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้น ช่วยลดจำนวนนักดื่มหน้าใหม่ จึงควรนำไปใช้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและกลุ่มวัยรุ่นตอนต้น และมีการวิจัยเพื่อพัฒนาพฤติกรรมป้องกันการใช้สารเสพติดอื่น ๆ ต่อไป</p> พาฝัน หัดสันเทียะ, วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล , ธีระวุธ ธรรมกุล Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266188 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลของการขยายรูปแบบการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ สู่การขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานโรคไม่ติดต่อ เขตสุขภาพที่ 10 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268573 <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการนำรูปแบบการดูแลสุขภาพในชุมชนสำหรับกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจไปขยายและขับเคลื่อนการดำเนินงานโรคไม่ติดต่อในเขตสุขภาพที่ 10 กลุ่มเป้าหมายในการขยายรูปแบบประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐได้แก่ ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อจำนวน 112 คน และภาคประชาชนได้แก่ แกนนำ และอาสาสมัครในชุมชนจำนวน 40 คน รวม 152 คน เครื่องมือที่ใช้คือ รูปแบบที่พัฒนาขึ้นภายใต้การมีส่วนร่วมของเครือข่าย สถิติที่ใช้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย Paired sample t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา เมื่อนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปขยายและประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เกิดการกำหนดเป็นนโยบายเขตสุขภาพที่ 10 ภายใต้แนวคิด 3 หมอ 3S 3A ดังนี้ 3 หมอ (หมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว) การจัดตั้งสถานีสุขภาพ ประกอบด้วย 3S (Staff, Stuff, System) และรูปแบบการให้บริการ ประกอบด้วย 3A (Assess, Advise, Arrange) และมีผลการดำเนินงาน ดังนี้ 1) จัดตั้งสถานีสุขภาพในชุมชน เพื่อเป็นจุดบริการคัดกรองสุขภาวะในชุมชน ครอบคลุม 5 จังหวัด จำนวน 762 แห่ง และจากการประเมินจุดบริการสถานีสุขภาพพบว่า หลังดำเนินการมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่าก่อนดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) 2) ผู้มารับบริการในสถานีสุขภาพรู้ตัวเลข รู้ความเสี่ยง รู้สถานะ ผลทำให้ได้รับความรู้และคำแนะนำในสถานีสุขภาพร้อยละ 98.61 3) การเพิ่มคุณภาพการคัดกรองโรคไม่ติดต่อในสถานีสุขภาพทุกแห่ง และมีการเพิ่มการประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดในสถานีสุขภาพ ร้อยละ 65.88 และ 4) การเพิ่มคุณภาพการดูแลรักษา พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานสามารถควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีเพิ่มขึ้นในปี 2566 เป็นร้อยละ 64.95 และ 35.68 ด้านประสิทธิผลการควบคุมระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43.95 และอำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ร้อยละ 66.57 เป็นอันดับ 1 ของประเทศ และเป็นพื้นที่ต้นแบบของเขตสุขภาพที่ 10 ดังนั้น ควรมีการขยายรูปแบบการดำเนินงานในสถานีสุขภาพทั้งในเขตเมืองและชนบท เพื่อให้เกิดการคัดกรองสุขภาวะด้วยการมีส่วนร่วมของเครือข่าย</p> เกศรา แสนศิริทวีสุข, จุติพร ผลเกิด, วิไลวัล ศรีเชียงสา, จินทภา อันพิมพ์, บุศณี มุจรินทร์ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/268573 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การสอบสวนการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ในอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266419 <p>งานระบาดวิทยา กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในอำเภอหนองเรือได้รับแจ้งว่าพบกลุ่มก้อน (Cluster) ของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภคจำนวน 8 ราย หลังจากพบผู้ป่วยยืนยันโรครายแรกเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ทีมสอบสวนโรคดำเนินการสอบสวนระหว่างวันที่ 7 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการระบาดและวินิจฉัยโรคติดเชื้อ COVID-19 ศึกษาลักษณะทางระบาดวิทยา และกำหนดมาตรการควบคุมการระบาดของโรคที่เหมาะสม โดยทำการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนาจากการทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วย สัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์ ศึกษาสภาพแวดล้อมในกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค และยืนยันการติดเชื้อโดยป้ายหลังโพรงจมูกเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ COVID-19 ผู้ป่วยยืนยันโรครายแรกเป็นผู้ป่วยชายอายุ 39 ปี จากการสอบสวนและค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 21 ราย พบผู้ป่วยยืนยัน COVID-19 จำนวน 7 รายคือเภสัชกร 4 ราย (ร้อยละ 19.05) และเจ้าพนักงานเภสัชกรรม 3 ราย (ร้อยละ 14.29) อัตราป่วยร้อยละ 33 ลักษณะการระบาดเป็นแบบแพร่กระจาย แต่ไม่สามารถระบุต้นตอของการระบาดได้ชัดเจน แต่จากการสอบสวนโรคพบว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ปฏิบัติงานในห้องยา จุดอ่อนที่อาจเป็นสาเหตุของการระบาดครั้งนี้เกิดจากการไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างเคร่งครัด ดังนั้นโรงพยาบาลควรมีการปรับปรุงมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เน้นย้ำให้บุคลากรทางการแพทย์ใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้เหมาะสม ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเพื่อป้องกันโรค COVID-19</p> ทวี พิมพันธ์, รัตนา หาทนต์ Copyright (c) 2024 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่7 จังหวัดขอนแก่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/266419 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700