วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk
<p><strong>เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ รายงานผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ</strong></p> <p><strong>วารสารตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี</strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน </strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม </strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</strong></p> <p><strong>ISSN 3088-1757 (Online) </strong></p>
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
th-TH
วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น
3088-1757
<p><strong>ความ</strong><strong></strong><strong>รับ</strong><strong></strong><strong>ผิด</strong><strong></strong><strong>ชอบ</strong></p> <p>บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารสำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น หรือ ของกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</p> <p><strong>ลิขสิทธ์บทความ</strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันตวบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น</p>
-
รูปแบบการจัดบริการพยาบาลดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายสุขภาพมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดมหาสารคาม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/277253
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดบริการของกระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน โดยการมีส่วนร่วมของของภาคีเครือข่ายสุขภาพ กระบวนการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อร่างรูปแบบ 2) ระยะปฏิบัติการนำรูปแบบมาใช้แก้ปัญหา 3) ประเมินผลการใช้รูปแบบ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 40 คน และบุคลากรสาธารณสุข ภาคีเครือข่าย และแกนนำนักศึกษา 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังใช้รูปแบบด้วย Paired t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 57.17 อายุเฉลี่ย 23.22 ปี (S.D.= 4.72) ระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวาน เฉลี่ย 3.12 ปี ผลลัพธ์การสร้างรูปแบบการจัดบริการพยาบาลดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยการมีส่วนร่วมของของภาคีเครือข่ายสุขภาพ ดังนี้ 1) รูปแบบการควบคุมโรคเบาหวานในชุมชน ส่งเสริมหลักการควบคุมเบาหวานโดยใช้กระบวนการทางการพยาบาลในการดูแลและการมีส่วนร่วมของชุมชน 9 กิจกรรม 2) เกิดภาคีเครือข่ายสุขภาพ คณะกรรมการควบคุมโรคเบาหวานในมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย 3) ผู้ป่วยได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะในการดูแลตนเองเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การได้รับบริการสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ป่วย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการใช้รูปแบบ พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือด ระดับความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001) โดยบุคลากรสาธารณสุข สหสาขาวิชาชีพ ภาคีเครือข่ายสุขภาพ เน้นการประยุกต์ใช้หลักกระบวนการทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยใช้สนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจช่วยเหลือผู้ป่วยในการมองหาแรงบันดาลใจที่จะควบคุมระดับความดันโลหิต เปิดโอกาสให้ชุมชนและครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย</p>
ฉวีวรรณ เผ่าพันธ์
วัชรินทร์ ทองสีเหลือง
วารุณี หึมวัง
มัณฑนา กลมเกลียว
กาญจนาวดี แก้วตา
ณฤดี ยั่งยืน
ฐิติรัตน์ สุระพิมพ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
1
12
-
การระบาดของโรคไข้หวัดจากเชื้อ Rhinovirus A ในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 26 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2567
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/274374
<p>วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ทีมตระหนักรู้สถานการณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับแจ้งจากงานระบาดวิทยาโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ พบเด็กนักเรียนป่วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ 20 ราย จึงได้ลงสอบสวนโรคในวันที่ 26 พฤษภาคม-30 มิถุนายน 2567 วัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคและการระบาด ค้นหาสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงของเหตุการณ์และกำหนดมาตรการควบคุมโรค โดยการศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์แบบติดตามไปข้างหลังหาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Multiple logistic regression ประชากรเป็นนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน 1,670 คน พบผู้ป่วยตามนิยาม 338 คน อัตราป่วยร้อยละ 20.23 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 200 ราย อัตราป่วยร้อยละ 48.09 ผู้ป่วย อายุ 9 -12 ปี อายุเฉลี่ย 10 ปี ทั้งหมดเป็นนักเรียน โดยห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีอัตราป่วยสูงสุดร้อยละ 95.65 อาการและอาการแสดงที่พบส่วนใหญ่มีน้ำมูก 259 ราย (ร้อยละ 76.63) รองลงมาไอ 247 ราย (ร้อยละ 73.08) เจ็บคอ 95 ราย (ร้อยละ 28.11) วันที่เริ่มป่วย คือ วันที่ 1 มิถุนายน 2567 วันที่มีการระบาด 11-20 มิถุนายน 2567 ด้านสิ่งแวดล้อม พบว่า อาคาร จำนวน 12 หลัง มีห้องปรับอากาศและห้องพัดลม โรงอาหารมีจุดบริการน้ำดื่มเป็นตู้กดน้ำ ห้องน้ำแยกชายหญิง มีจุดล้างมือ พบผู้ป่วยสงสัย จำนวน 333 รวม ผู้ป่วยตามนิยาม 338 ราย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 13 ราย พบผู้ป่วยยืนยันไข้หวัด 4 ราย ไข้หวัดใหญ่ 1 ราย เป็นสายพันธุ์ RV34 จำนวน 4 ราย พบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ H1N1 จำนวน 1 ราย (ร้อยละ 7.7) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคไข้หวัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ การสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย (OR<sub>Adj.</sub>= 6.85: 95% CI =3.17-14.78, P <0.001) การดื่มน้ำจุดที่ตู้กดอาคารเรียน (OR<sub> Adj.</sub>= 6.32: 95% CI =3.56-11.23, P<0.001 การดื่มน้ำจุดที่โรงอาหาร (OR<sub> Adj.</sub>=10.04: 95% CI =5.27-19.14, P<0.001) ใช้สิ่งของร่วมกัน (OR<sub> Adj.</sub> = 8.66: 95% CI =2.99-25.01, P<0.001) โรคประจำตัว (OR<sub> Adj.</sub>= 9.06: 95% CI =0.41-17.97, P <0.001) การไม่สวมหน้ากากอนามัย (OR<sub> Adj. </sub>= 2.79: 95% CI =1.63-4.78, P<0.001) การใช้แก้วน้ำร่วมกัน (OR<sub> Adj.</sub>= 2.02: 95% CI =1.26-3.23, P<0.001) ปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคไข้หวัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือการดื่มน้ำจากขวด (OR<sub> Adj.</sub> = 0.38: 95%CI = 0.32-0.45, P<0.001) เสนอแนะเรื่องการลดการสัมผัสใกล้ชิด การสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด การไม่ใช้สิ่งของร่วมกันและการดื่มจากขวดช่วยป้องกันการเป็นโรคไข้หวัดได้</p>
บุษบา บัวผัน
กิตติศักดิ์ พนมพงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
13
24
-
การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการลดการบริโภคโซเดียมภายใต้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับ อำเภอ (พชอ.): กรณีศึกษา หมู่ที่ 1 ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/274145
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การบริโภคโซเดียม พัฒนาและประเมินผลพื้นที่ต้นแบบลดการบริโภคโซเดียม ภายใต้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอควนโดน จังหวัดสตูล โดยเปรียบเทียบผลสำรวจค่าเฉลี่ยโซเดียมคลอไรด์ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และผลการสำรวจหลังเข้าร่วมการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เก็บข้อมูลปริมาณโซเดียมคลอไรด์ในอาหารด้วยเครื่องวัดความเค็ม ผ่านแอปพลิเคชัน Thai Salt Survey ร่วมกับข้อมูลจากแบบสำรวจระดับโซเดียมในอาหารจำนวน 160 ตัวอย่าง และใช้แบบประเมินความตระหนักรู้ด้านการบริโภคโซเดียมออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในประชาชนจำนวน 303 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ก่อนเข้าร่วมการศึกษาค่าเฉลี่ยโซเดียมคลอไรด์อยู่ในระดับเริ่มเค็มถึงเค็มมาก แต่หลังเข้าร่วมการศึกษามีแนวโน้มลดลง โดยระดับเริ่มเค็ม ลดลงจาก 0.8 กรัม เป็น 0.7 กรัม ต่อน้ำหนักอาหาร 100 มิลลิลิตร ระดับเค็มมาก ลดลงจาก 1.6 กรัม เป็น 1.3 กรัม ทั้งนี้อาหารปรุงเองที่บ้านพบค่าเฉลี่ยโซเดียมคลอไรด์ระดับปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงพบรายการอาหารที่อยู่ในระดับเค็มมาก คือ แกงมีกะทิไม่ใส่เครื่องแกง แกงไม่มีกะทิใส่เครื่องแกง และส้มตำ สำหรับผลการประเมินความตระหนักรู้ด้านการบริโภคโซเดียมหลังเข้าร่วมการศึกษา พบว่า ประชาชนมีความตระหนักรู้ ร้อยละ 94.4 เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่มีผลร้อยละ 38.6 จึงมีข้อเสนอแนะให้ใช้ผลการศึกษาเป็นแนวทางในการผลักดันเชิงนโยบายการดำเนินงานลดการบริโภคโซเดียม ภายใต้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ในระดับประเทศ โดยยึดหลักประชาชนเป็นศูนย์กลาง และควรพัฒนารูปแบบการติดตามข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อป้องกันการเกิดผู้ป่วยรายใหม่และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ</p>
เบญจมาศ นาคราช
ปิยนุช จันทร์อักษร
ธัญญาภรณ์ เรืองสุวรรณ
ธิดา เหมือนพะวงศ์
ลลิตา ยะฝา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
25
36
-
ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/274207
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม ในผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่2 จำนวน 14 คน ผู้ดูแลในครอบครัวจำนวน 12 คน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจำนวน 13 คน บุคลากรด้านสุขภาพจำนวน 2 คน ตัวแทนกลุ่มองค์กรชุมชนจำนวน 8 คน และผู้ให้ข้อมูลรอง จำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 55 คน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สถานการณ์ปัญหาผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำแนกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านสุขภาพและการเจ็บป่วย รวมทั้งภาวะแทรกซ้อน ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจ สาเหตุหลักเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องการบริโภคอาหาร การรับประทานยา และการจัดระบบบริการที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึง ด้านสังคม พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ตามลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสสูงวัย ในช่วงกลางวันมีข้อจำกัดในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและด้านเศรษฐกิจ จากสภาวะโรคและการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ส่งผลกระทบต่อฐานะครอบครัวโดยเฉพาะรายที่มีภาวะแทรกซ้อนต้องนอนโรงพยาบาล และนัดติดตามอาการถี่ขึ้น ด้านความต้องการ พบว่า ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ต้องการการดูแลตนเอง การดูแลจากสมาชิกในครอบครัว กลุ่มอาสาสมัครในชุมชนและการดูแลโดยภาครัฐ ได้แก่ หน่วยบริการปฐมภูมิ ผู้ดูแลแบบทางการ รวมถึงหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ ภายใต้การใช้แนวคิดการจัดการรายกรณี เนื่องจากปัญหาการเจ็บป่วยมักมีความซับซ้อน จากผลการวิจัยนี้นำสู่การศึกษารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุโรคเบาหวานที่สอดคล้องกับบริบทสังคมวัฒนธรรมของพื้นที่ต่อไป</p>
บุญสิตา ไหมวันทา
ณหทัย ภูกาบ
เบญญาภา อุ่นทะวงศ์
ปรมัตถ์ คณาศรี
ปรียาพร พลไทย
ปวีกรณ์ คำอ้น
ปัญศิชา โพธิ์จันทร์
รัชนี พจนา
กันนิษฐา มาเห็ม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
37
47
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวมของคนทำงานในสถานประกอบการขนาดใหญ่ เขตสุขภาพที่ 7: กรณีศึกษาโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/277499
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทการดูแลสุขภาพ สภาพปัญหาพฤติกรรมและความเสี่ยงทางสุขภาพและพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวมของคนทำงานในสถานประกอบการ โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4 ขั้นตอน 1) การวางแผน 2) ปฏิบัติการ 3) สังเกต 4) สะท้อนผล กลุ่มเป้าหมายเป็นคนทำงานในสถานประกอบการ จำนวน 309 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวม เก็บข้อมูลด้วยแบบคัดกรองพฤติกรรมสุขภาพวัยทำงาน แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบสนทนากลุ่ม ดำเนินการเดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาวะสุขภาพ พฤติกรรมและความเสี่ยงทางสุขภาพ ในภาพรวมร้อยละ 50.81 ของคนทำงานในสถานประกอบการมีดัชนีมวลกายอยู่ในระดับเกิน มีไขมันชนิดไม่ดีสูงกว่าปกติร้อยละ54.86 และมากกว่าครึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมันมีความเสี่ยงสูง พฤติกรรมการบริโภคอาหารรสหวานและเค็มมีความเสี่ยงระดับปานกลางร้อยละ 55.60 และ 50.30 ตามลำดับ ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 67.90 และไม่ได้ออกกำลังกาย ร้อยละ 49.20 2) รูปแบบการดูแลสุขภาพองค์รวมของคนทำงานในสถานประกอบการ พบว่า สถานประกอบการมีการดูแลสุขภาพคนทำงานแบบองค์รวม 7 กระบวนการ คือ 1) นโยบายและแต่งตั้งคณะทำงาน 2) การสื่อสารประชาสัมพันธ์ 3) การจัดทำแผนงาน 4) การวางแผนและกำหนดรูปแบบการดูแลสุขภาพ 5) การจัดตั้งศูนย์สุขภาพดีวัยทำงาน 6) การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพตามความเสี่ยงและการสะท้อนข้อมูลสุขภาพ และ7) การประเมินผลลัพธ์ ใช้หลักการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนระหว่างผู้บริหารและคนทำงานในสถานประกอบการ</p> <p>การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพคนทำงานเน้นให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ โดยใช้การมีส่วนร่วมของผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันออกแบบการดูแลสุขภาพทุกขั้นตอน คนทำงานให้รับรู้ความเสี่ยงด้านสุขภาพเป็นรายบุคคลส่งผลให้สถานประกอบการสามารถนำข้อมูลภาวะสุขภาพไปวางแผนในการดูแลสุขภาพให้สอดคล้องกับปัญหาและนำไปสู่การลดผลกระทบต่อผลผลิตรวมทั้งผลประกอบการของสถานประกอบการได้ชัดเจน สถานประกอบการที่คล้ายคลึงกันสามารถนำแนวทางการพัฒนาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนได้</p>
ปวีณา จังภูเขียว
กังสดาล สุวรรณรงค์
ธมลวรรณ จันเต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
48
60
-
การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในกรุงเทพมหานคร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/274586
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในกรุงเทพมหานครด้วยทฤษฎีพฤติกรรมตามแผนและการรู้เท่าทันสื่อ ร่วมกับการประยุกต์ใช้แนวคิดกระบวนการวางแผนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นฐานในการพัฒนารูปแบบฯ และ 2) ตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในกรุงเทพมหานคร จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปแบบฯ ได้แก่ 1) หลักการและความสำคัญของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) ผู้ใช้รูปแบบ4) กลุ่มเป้าหมายหลักของรูปแบบ 5) กระบวนการสร้างเสริมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน 6) ประเมินผลการใช้รูปแบบ และ 7) เงื่อนไขและข้อแนะนำในการใช้รูปแบบ สำหรับการประเมินคุณภาพของรูปแบบอยู่ในระดับดีมาก ดังนั้นควรนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปใช้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดเจตคติในการไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าการรู้เท่าทันสื่อโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้ามีความตั้งใจใฝ่พฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอันนำไปสู่พฤติกรรมป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าต่อไป</p>
ปริญญา ดาระสุวรรณ์
ณัฐกฤตา ศิริโสภณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
61
72
-
การพัฒนาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคพิษตะกั่วแบบบูรณาการในกลุ่มอาชีพถ่วงแหอวน จังหวัดขอนแก่น ประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/278749
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคพิษตะกั่วแบบบูรณาการในกลุ่มอาชีพถ่วงแหอวน จังหวัดขอนแก่น รูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ระยะเวลาศึกษาระหว่างเดือน ตุลาคม 2566-กันยายน 2567 ประกอบด้วย 3 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนาแนวทางร่วมกัน 3) ทดลองใช้แนวทางและประเมินผล ประชากรเป็นผู้ประกอบอาชีพถ่วงแหอวนในชุมชนบ้านเหล่าเกวียนหัก ตำบลบ้านทุ่ม และบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวนทั้งสิ้น 89 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบประเมินความคิดเห็น และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า 1) แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคพิษตะกั่วแบบบูรณาการการมีส่วนร่วม ประกอบด้วย การมีโครงสร้างการดำเนินงานที่ชัดเจน มีการกำหนดบทบาทของหน่วยงานเครือข่ายในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเขตสุขภาพ จังหวัด อำเภอและตำบล มีกิจกรรมครอบคลุมระบบการเฝ้าระวังและคัดกรองผู้ป่วยโรคพิษตะกั่ว การจัดบริการอาชีวอนามัยเชิงรับและเชิงรุก การส่งต่อผู้ป่วย และการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้รับงานไปทำที่บ้าน 2) ผลของการพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาโรคพิษตะกั่วในกลุ่มถ่วงแหอวนแบบบูรณาการ พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผลประเมินการปฏิบัติตามแนวทางพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานและการมีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาโรคพิษตะกั่วแบบบูรณการไม่แตกต่างกัน การเคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับอันตรายจากสารตะกั่ว การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล และระดับความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจต่อการดำเนินงานแบบบูรณาการ (p-value< 0.05) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุนการสร้างต้นแบบผู้ประกอบอาชีพที่สามารถดูแลสุขภาพตนเองและจัดสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย พร้อมกิจกรรมให้ความรู้ที่เหมาะสมกับบริบทชุมชน</p>
พิไลลักษณ์ พลพิลา
พิรวรรณ วังอุปัดชา
ธมลวรรณ จันเต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
73
81
-
ประสิทธิภาพของสารสกัดจากเชื้อราเอนโดไฟต์ต่อลูกน้ำยุงลายบ้านและยุงลายสวน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/277239
<p>การใช้สารเคมีกำจัดลูกน้ำยุงและยุงตัวเต็มวัยอย่างแพร่หลายมีผลทำให้เกิดการสร้างความต้านทานต่อสารเคมีของยุง ทั้งยังเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่เป็นสารสกัดจากเชื้อราเอนโดไฟต์ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าลูกน้ำยุงลายบ้านและยุงลายสวน โดยแยกตัวอย่างเชื้อราเอนโดไฟต์ จำนวน 45 สายพันธุ์ จากพืชในสวนยาง สวนปาล์ม และสวนผลไม้ จำนวน 300 ตัวอย่าง เตรียมสารสกัดน้ำเลี้ยงเซลล์และจากเซลล์เชื้อราที่ความเข้มข้น 500 ppm เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการฆ่าลูกน้ำยุงลายโดยวิธี Larvicidal selective bioassay พบว่า มีสารสกัดจากเชื้อราเอนโดไฟต์ จำนวน 5 ชนิดที่สามารถฆ่าลูกน้ำยุงลายบ้าน ได้แก่ <em>Arcopilus cupreus, Endomelanconiopsis endophytica,</em> <em>Nemania primolutea, Penicillium citrinum </em>และ <em>Trichoderma reesei </em>มีสารสกัดจากเชื้อราเอนโดไฟต์ 10 ชนิด ที่สามารถฆ่าลูกน้ำยุงลายสวน ได้แก่ <em>Neopestalotiopsis sp., Nodulisporium sp. , Endomelanconiopsis endophytica Neodeightonia phoenicum, Penicillium steckii, Phyllosticta capitalensis, Pseudopithomyces maydicus, Fusarium sp. , Talaromyces aurantiacus</em> และ <em>Colletotrichum sp. </em>ทำการทดสอบประสิทธิภาพในการฆ่าลูกน้ำยุงลายด้วยวิธี Larvicidal bioassay dose พบว่า ที่ระดับความเข้มข้น 100 ppm เชื้อราที่มีฤทธิ์ฆ่าลูกน้ำยุงลายบ้านได้ดี ได้แก่ เชื้อรา<em> Nemania primolutea </em>และ <em>Arcopilus cupreus </em>ที่คัดแยกจากต้นปาล์มและต้นมังคุด พบอัตราการตายลูกน้ำยุงลายบ้านร้อยละ 80 และ 77 ตามลำดับ ส่วน<em> Neopestalotiopsis</em> sp., <em>Neodeightonia phoenicum</em> ที่คัดแยกจากสวนปาล์มและสวนยาง พบอัตราการตายลูกน้ำยุงลายสวนร้อยละ 92, 73 ตามลำดับ ผลการวิจัยนี้พบสารชีวภาพกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยสามารถต่อยอดเป็นสารสกัดแบบผงและสเปรย์ เพื่อเป็นทางเลือกในการควบคุมโรคติดต่อนำโดยยุงลาย</p>
อรัญญา ภิญโญรัตนโชติ
มนต์ชนก เต็มภาชนะ
ณิฎฐา เสนาพงศ์
คณพศ ทองขาว
อุบลรัตน์ นิลแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
88
97
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของพนักงานขับรถจักรยานยนต์ขนส่งอาหาร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/273393
<p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดและความชุกในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนขณะปฏิบัติงานของพนักงานขับรถจักรยานยนต์ขนส่งอาหาร อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 202 คน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 - 31 พฤษภาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา นำเสนอค่าแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน สถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ความสัมพันธ์ตัวแปรเดี่ยวและการวิเคราะห์ตัวแปรพหุ นำเสนอค่า Crude odds ratio, Adjusted odds ratio, ค่า 95%CI และ ค่า P-value กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ <0.05</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัย พบว่า ความชุกการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 61 คน (ร้อยละ 30.2) 95% CI= 24.22 to 36.94 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดอุบัติเหตุทางถนนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความเร็วเฉลี่ยเมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์ (P-value<0.05) พฤติกรรมในการขับขี่รถจักรยานยนต์ (P-value<0.05) อายุการใช้งานรถจักรยานยนต์ (P-value<0.05) และพบว่าพนักงานขับรถจักรยานยนต์ขนส่งอาหารที่ขับขี่ด้วยความเร็วเฉลี่ย ≥80 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เป็น 2.04 เท่า ของผู้ที่ขับขี่ด้วยความเร็วเฉลี่ย <80 กิโลเมตร/ชั่วโมง (OR<sub>Adj</sub> =2.04 ; 95% CI =1.03 to 4.05) พนักงานที่มีคะแนนพฤติกรรมในการขับขี่ไม่เหมาะสม มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เป็น 2.48 เท่า ของผู้ที่มีคะแนนพฤติกรรมเหมาะสม (OR<sub>Adj</sub> = 2.48 ; 95% CI = 1.04 to 5.92) จักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งาน ≤5 ปี มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เป็น 1.92 เท่า ของจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งาน 6 ปีขึ้นไป (OR<sub>Adj</sub> =1.92 ; 95% CI = 1.03 to 4.05) ควรมีการเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนนและสร้างพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกแก่ผู้ใช้ถนนและการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะที่มีความปลอดภัย ตรวจเช็คสภาพรถจักรยานยนต์อย่างสม่ำเสมอตามรอบการตรวจเช็คตามระยะการใช้งาน รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายความเร็วอย่างเข้มงวด</p>
ธนวรรธน์ เมืองซอง
ชนัญญา จิระพรกุล
กัญชรส วังมุข
เนาวรัตน์ มณีนิล
ชาญวิทย์ มณีนิล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
98
108
-
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิส โรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/279626
<p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสหลังการวินิจฉัยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ปี พ.ศ. 2562 – 2566 โดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 631 คน จากฐานข้อมูลโรงพยาบาลบุรีรัมย์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเมลิออยโดสิสและยืนยันโดยการเพาะเชื้อ ระหว่าง 1 มกราคม 2562 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ติดตามผู้ป่วยทุกรายจนสถานะสุดท้าย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 วิเคราะห์อัตรารอดชีพโดยวิธี Kaplan-Meier พร้อมช่วงความเชื่อมั่น 95% การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มโดยสถิติทดสอบ Log-rank test นำเสนอค่า p-value และหาความสัมพันธ์กับการรอดชีพ โดย Cox regression นำเสนอ adjusted HR, 95% CI และค่า p-value จาก Partial likelihood ratio test ผลการศึกษา พบว่าอัตรารอดชีพในระยะเวลา 1, 3 และ 5 ปี คือ ร้อยละ 91.32 (95% CI ; 88.67 - 93.38), ร้อยละ 90.81 (95% CI; 88.06 - 92.96) และร้อยละ 90.38 (95% CI; 87.47 - 92.64) ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพของผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิส พบว่าภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) เมื่อควบคุมผลกระทบจากตัวแปรอายุ โรคเบาหวาน ชนิดของการติดเชื้อ และค่าคลีอะตินินพบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเฉียบพลันมีโอกาสเสี่ยงต่อการตายด้วยโรคเมลิออยโดสิสเป็น 4.68 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (adjusted HR = 4.68, 95% CI; 2.49 ถึง 8.78)</p> <p>จากผลการศึกษาทำให้เห็นว่าภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นปัจจัยสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับการรอดชีพของผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายหลังจากเริ่มแสดงอาการของโรค การเฝ้าระวังและประเมินอาการแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิดจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ป้องกันภาวะวิกฤต และเพิ่มโอกาสรอดชีพของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
พิมพ์อัมพร คำพรมมา
สุพจน์ คำสะอาด
วรยศ ดาราสว่าง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
109
121
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภคอาหารควบคุมความดันโลหิต ของผู้สูงอายุที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/275254
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการบริโภคอาหารควบคุมความดันโลหิต ของผู้สูงอายุที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 68 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 34 คน และกลุ่มเปรียบเทียบ 34 คน กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรม 8 สัปดาห์ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามก่อน - หลังทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบผลของโปรแกรมด้วยสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Independent t-test กรณีเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม และ Paired Samples t-test กรณีเปรียบเทียบภายในกลุ่ม โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลวิจัย พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องการบริโภคอาหารควบคุมความดันโลหิต สูงกว่าก่อนทดลอง 30.7 คะแนน และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 29.2 คะแนน มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการบริโภคอาหารควบคุมความดันโลหิตดีกว่าก่อนการทดลอง 11.5 คะแนน และดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 3.9 คะแนนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ระดับความดันโลหิตกลุ่มทดลองลดลงกว่าก่อนการทดลอง 2.7 (p=0.034) และลดลงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ 4.7 (p = 0.044) โปรแกรมนี้สามารถประยุกต์ใช้กับกลุ่มเป้าหมายในบริบทใกล้เคียงได้ รวมถึงบูรณาการเป็นงานประจำของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพื่อเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กลุ่มเป้าหมายต่อไป </p>
วิระยา ทัพเจริญ
ศรัณญา เบญจกุล
มลินี สมภพเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
122
131
-
การพัฒนารูปแบบการตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับด้วยชุดตรวจ OV-RDT (OV-Rapid Diagnosis Test) เขตสุขภาพที่ 7
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/281264
<p>โรคพยาธิใบไม้ตับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยการตรวจคัดกรองด้วยวิธี Modified Kato-Katz จากอุจจาระเป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบันแต่มีข้อจำกัดด้านความไวของการตรวจ ระยะเวลาและอุปสรรคการเก็บสิ่งส่งตรวจ โดยเฉพาะในบริบทที่ความรุนแรงของการติดเชื้อลดลง ส่งผลให้เกิดผลลบลวงนำไปสู่การวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนและการควบคุมโรคที่ไม่มีประสิทธิภาพ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ตับด้วยชุดตรวจปัสสาวะชนิดเร็ว OV-RDT (OV-rapid diagnosis test) แบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหา และอุปสรรค ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ วางแผน ปฏิบัติ สังเกตการณ์ และสะท้อนผล ระยะที่ 3 สรุปและประเมินผลลัพธ์ ดำเนินงานในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 ครอบคลุม 57 อำเภอ กลุ่มเป้าหมายคือประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง จำนวน 65,095 คน ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน 2565 ถึงเมษายน 2566 รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต และแอปพลิเคชันบันทึกผลตรวจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสรุปข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการดำเนินงานนำไปสู่การพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทชุมชน ประกอบด้วยการวางแผนฝึกอบรมการใช้ชุดตรวจในพื้นที่จริง การติดตามคุณภาพข้อมูลและสะท้อนผลร่วมกับเครือข่าย ผลตรวจคัดกรองพบอัตราการติดเชื้อโดยรวมเขตสุขภาพที่ 7 ร้อยละ 35.97 พบสูงสุดที่จังหวัดมหาสารคามร้อยละ 48.24 และพบอัตราการติดเชื้อสูงเกินร้อยละ 50 ใน 8 อำเภอ ดังนี้ จังหวัดมหาสารคาม 5 อำเภอ จังหวัดกาฬสินธุ์ 2 อำเภอ และจังหวัดร้อยเอ็ด 1 อำเภอ สรุปผลรูปแบบการตรวจคัดกรองด้วยชุด OV-RDT โดยใช้กระบวนการ PAOR เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและยอมรับจากทุกภาคส่วน มีศักยภาพในการขยายผลสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น สนับสนุนเป้าหมายในการลดอัตราการติดเชื้อฯและลดการเสียชีวิตจากมะเร็งท่อน้ำดีอย่างยั่งยืน</p>
สุมาลี จันทลักษณ์
รุจิรา สมภาร
วนิดา อินทรสังขาร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
132
145
-
บทบาทของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด : กรณีศึกษาจังหวัดขอนแก่น
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/275202
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพในลักษณะของกรณีศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น (สคร.7) ในการป้องกันและควบคุมโรคภายหลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พ.ศ. 2566-2567 เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สคร.7 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาล รพ.สต. และ อบจ. จำนวนรวม 33 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์แก่นสาระ แยกประเด็นและจัดหมวดหมู่เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจ สคร.7 ยังคงบทบาทเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนวิชาการให้กับเครือข่ายและประชาชน ได้มีการปรับโดยเน้นให้มีการพัฒนาองค์ความรู้และการฝึกอบรมบุคลากรมากขึ้น ลดบทบาทการปฏิบัติงานโดยตรงในระดับพื้นที่ลง เน้นการสื่อสารนโยบายสู่การปฏิบัติผ่านหน่วยบริการในระดับพื้นที่ อย่างไรก็ดีการประสานงานระหว่างหน่วยงานมีความซับซ้อนมากขึ้นโดยเฉพาะการประสานงานกับ รพ.สต. ที่ต้องประสานผ่าน อบจ. ทำให้เกิดความล่าช้าในบางกรณี ผลกระทบเกิดกับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานไม่ส่งผลต่อบริการสุขภาพของประชาชน หน่วยงานในพื้นที่ยังคงต้องการการสนับสนุนจาก สคร.7 ในด้านวิชาการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และทีมสอบสวนโรคในกรณีที่เกิดการระบาดของโรคที่รุนแรง</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ควรพัฒนาระบบการประสานงานและการสื่อสารระหว่างหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ สคร.7 ควรเพิ่มบทบาทในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีการควบคุมโรคที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจน สคร.7 ควรส่งเสริมการดำเนินงานเชิงรุก การลงพื้นที่ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่มากขึ้น</p>
ประณิตา แก้วพิกุล
พิทยา ศรีเมือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
146
157
-
ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง อำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/275510
<p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุการณ์เสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงและภาวะสุขภาพ ได้แก่ ความดันโลหิต ดัชนีมวลกายและรอบเอว ของกลุ่มทดลองระหว่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ อายุ 35–69 ปี ที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากโรงพยาบาลโนนนารายณ์ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้าศึกษาด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลอง แล้วเลือกกลุ่มเปรียบเทียบจากโรงพยาบาลรัตนบุรี ให้สองกลุ่มมีอายุและความดันโลหิตซิสโตลิกใกล้เคียงกัน กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นโปรแกรมพัฒนาป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้านรับประทานอาหารและยา ระยะเวลาดำเนินการ 4 สัปดาห์ มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.71 และ 0.86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติทดสอบที และสถิติทดสอบแอนโควา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า หลังได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อน ด้านรับประทานอาหารและยาสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบ มีความดันโลหิตซิสโตลิกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบ มีความดันโลหิตไดแอสโตลิกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรม และมีรอบเอวสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ เนื่องจากการปฏิบัติพฤติกรรมที่เหมาะสม อาจจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้</p>
ปนิดา เจือจันทร์
วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล
ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
158
169
-
ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสี่ยง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/275422
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง การรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูง การรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูง พฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตของกลุ่มทดลองระหว่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรม และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังได้รับโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อายุ 35-59 ปี ที่มีความดันโลหิต 120-139/80-89 มม.ปรอท จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้านเหลืองที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้าด้วยการสุ่มอย่างง่ายเป็นกลุ่มทดลอง เลือกกลุ่มเปรียบเทียบจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสิงห์ที่เพศเดียวกัน ความดันโลหิตซิสโตลิกและอายุใกล้เคียงกัน กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือทดลอง ได้แก่ 1) โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสี่ยงตามแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ 2) แบบบันทึกข้อมูล และ 3) แอปพลิเคชันไลน์ เครื่องมือเก็บข้อมูล 4 ส่วน ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ข้อมูลสุขภาพ 3) การรับรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง 5 ด้าน และ 4) พฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงด้านรับประทานอาหารและออกกำลังกาย แบบสอบถามส่วนที่ 3-4 มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.90-1 มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.80-0.89 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา สถิติทดสอบที สถิติทดสอบวิลคอกซันแมทช์แพร์สซายน์แรงค์และสถิติทดสอบแมนวิทนีย์ยู</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีการรับรู้ความรุนแรงของโรคสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ มีการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม มีการรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ มีพฤติกรรมรับประทานอาหารสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ มีพฤติกรรมออกกำลังกายสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ มีความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสี่ยงมีประสิทธิผลที่ดีควรนำไปใช้กับกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์</p>
สิริพรรษา วสุมงคลพจน์
วาริณี เอี่ยมสวัสดิกุล
ชื่นจิตร โพธิศัพท์สุข
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-30
2025-08-30
32 2
170
181