หัวหินเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk <p><strong>หัวหินเวชสาร</strong><strong>: Hua Hin Medical Journal </strong>(ชื่อเดิม วารสารหัวหินสุขใจไกลกังวล) เป็นวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิชาการคุณภาพสูง สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นักวิจัย บุคลากรทางการศึกษาตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุขเปิดโอกาสให้มีการตีพิมพ์ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ รายงานผู้ป่วย หรือบทความปกิณกะที่ บรรณาธิการเชิญ เนื้อหา ครอบคลุมความรู้วิชาการด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งการศึกษา การวิจัย และการประยุกต์ใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ วินิจฉัย รักษาโรค รวมถึงระบบบริการสุขภาพ</p> Hua Hin Hospital en-US หัวหินเวชสาร 2773-9813 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารหัวหินเวชสาร เป็นลิขสิทธิ์ของ<strong>โรงพยาบาลหัวหิน<br /></strong>บทความที่ลงพิมพ์ใน <strong>วารสารหัวหินเวชสาร </strong>ถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคณะบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</p> ปัจจัยที่สัมพันธ์กับระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจทางนิติเวชของเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศในโรงพยาบาลสมุทรสาคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/277656 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การตรวจพิสูจน์และให้การดูแลรักษาแก่ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการให้บริการทางการแพทย์ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง เนื่องจากข้อจำกัดของความคงตัวของพยานวัตถุและการตอบสนองต่อการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชและรักษาในโรงพยาบาลของผู้ถูกกระทำชำเรา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษารูปแบบ Retrospective cohort study ในกลุ่มผู้ถูกกระทำชำเราที่เข้ารับการตรวจพิสูจน์และรักษา ณ โรงพยาบาลสมุทรสาคร ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 จากแบบบันทึกผู้ป่วยเด็ก สตรี และบุคคลที่ถูกกระทำความรุนแรง ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของผู้ถูกกระทำชำเรา ผู้ให้การช่วยเหลือนำส่ง ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิด และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจพิสูจน์ในโรงพยาบาลของผู้ถูกกระทำชำเราภายในและมากกว่า 72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์ วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยด้วย Univariable และ Multivariable logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ถูกกระทำชำเรา 133 รายเข้ารับการตรวจพิสูจน์ในโรงพยาบาลสมุทรสาครภายใน 72 ชั่วโมง จำนวน 54 ราย (40.6%) และเกินกว่า 72 ชั่วโมงจำนวน 79 ราย (59.4%) พบปัจจัยที่ทำให้ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศเข้ารับการตรวจภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์ คือ เป็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศครั้งแรก และสามารถระบุเวลาเกิดเหตุที่แน่นอนได้</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การถูกล่วงละเมิดทางเพศครั้งแรกและสามารถระบุเวลาเกิดเหตุที่แน่นอนได้เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจพิสูจน์ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์</p> อภิสรา กูลวงศ์ธนโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 1 13 ปัจจัยที่มีผลต่อการขาดยาหยอดตาในผู้ป่วยโรคต้อหิน โรงพยาบาลหัวหิน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/277992 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ต้อหินเป็นโรคมีการเสื่อมของเส้นประสาทตาและสูญเสียลานสายตาอย่างมีลักษณะเฉพาะ เป็นหนึ่งในโรคทางตาที่ทำให้ตาบอดถาวรได้มากที่สุด ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาส่วนใหญ่ คือ การใช้ยาหยอดตาอย่างสม่ำเสมอ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการขาดยาหยอดตาและลักษณะการขาดยาหยอดตาในผู้ป่วยโรคต้อหิน โรงพยาบาลหัวหิน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง ในผู้ป่วยโรคต้อหิน จำนวน 172 คน โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้ยาต้อหิน และแบบบันทึกข้อมูลระดับการมองเห็นและลานสายตา วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการขาดยาหยอดตาด้วยสถิติถดถอยโลจิสติกพหุตัวแปร</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 51.2 มีอายุเฉลี่ย 66.97 ปี ระยะเวลาหยอดยาต้อหินนาน 1-3 ปี ร้อยละ 50.58 ปริมาณยาต้อหินที่ใช้ตั้งแต่ 2 หยดขึ้นไปต่อข้างต่อวัน ร้อยละ 78.49 Glaucoma staging เป็น Severe glaucoma ร้อยละ 61.05 และระดับการมองเห็นอยู่ในระดับปกติถึง mild visual loss ร้อยละ 72.67 การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการขาดยาหยอดตาพบว่า ผู้ป่วยที่มีระดับการมองเห็นเป็น Blindness มีโอกาสขาดยาหยอดตา 2.58 เท่า (<em>OR<sub>adj</sub></em>=2.58, <em>95</em><em>%</em><em>CI</em>: 1.05-5.53) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีระดับการมองเห็นดีกว่า และผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี มีโอกาสลืมหยอดยา 2.42 เท่า (<em>OR<sub>adj</sub></em>=2.42, <em>95</em><em>%</em><em>CI</em>: 1.06-1.27) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ลักษณะการขาดยาหยอดตา คือ ผู้ป่วยลืมหยอดยา ร้อยละ 61.2 ผู้ป่วยที่ยาหมดก่อนนัดรับยาทำให้ขาดยา ร้อยละ 16.3 และมีผู้ป่วยที่หยุดยาด้วยตนเองเพียง ร้อยละ 1</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่มีระดับการมองเห็น เป็น blindness มีโอกาสขาดยาหยอดตามากกว่าผู้ป่วยที่มีระดับการมองเห็นดีกว่า ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี มีโอกาสลืมหยอดยามากกว่า และการลืมหยอดยาเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยต้อหินที่ขาดยา</p> นวลนาง กายสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 14 25 ผลลัพธ์การฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลางและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/279033 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้หลังผ่านพ้นระยะวิกฤตแล้วจำเป็นต้องได้รับการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยตัวเองในชีวิตประจำวัน และลดความพิการ รวมทั้งกลับสู่สังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> (1) เพื่อศึกษาผลลัพธ์การฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลางของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองลพบุรี, (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองลพบุรี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาแบบย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราชและฐานข้อมูลศูนย์ประสานงาน Intermediate care (IMC) โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันเทียบก่อนและหลังได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลางด้วย Paired t-test คำนวณสมรรถภาพที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิผลการฟื้นฟูสมรรถภาพ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อสมรรถภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วยโดยใช้ Chi-square test, Unpaired t-test, Mann-Whitney U test และ Logistic regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยที่เข้าสู่การศึกษาจำนวน 251 ราย เป็นเพศชาย 60.6%, วินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองตีบ 69.7%, อายุเฉลี่ย 64.18 ปี (SD 13.88) เมื่อเปรียบเทียบคะแนน Barthel index ระหว่างก่อนและหลังได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลาง พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนน Barthel index เมื่อแรกรับเท่ากับ 6.44 (SD 4.90) และค่าเฉลี่ยคะแนน Barthel index เมื่อจำหน่ายเป็น 16.20 (SD 5.78) โดยคะแนน Barthel index เมื่อจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเมื่อแรกรับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;0.001) และค่าเฉลี่ยสมรรถภาพที่เพิ่มขึ้นและค่าประสิทธิผลการฟื้นฟูสมรรถภาพเท่ากับ 9.76 (SD 5.95) และ 74.86 (SD 36.82) ตามลำดับ และเมื่อนำไปวิเคราะห์ Multivariate logistic regression analysis พบว่ามีเพียงปัจจัยการไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมองเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Adjusted OR=2.92, 95%CI=1.07-8.00, <em>p</em>=0.037)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในอำเภอเมืองลพบุรีที่ได้รับการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพระยะกลางมีผลลัพธ์ การฟื้นฟูสมรรถภาพที่ดีขึ้น และพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วยคือการไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง</p> พรพรรณ อังยุรีกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 26 40 ผลของโปรแกรมกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่าน จากโรงพยาบาลสู่บ้านต่อความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและการเคลื่อนไหว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/278469 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีภาวะความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว บางรายมีความพิการด้านร่างกาย บางรายมีภาวะทุพลภาพและเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน อันเนื่องมาจากความรู้ ทักษะของการปฏิบัติ และการได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายที่ไม่เพียงพอ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้าน ต่อความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และความรู้และทักษะกายภาพบำบัดของผู้ดูแล</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบทดลอง (Randomized controlled trials; RCT) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 46 คน ในแต่ละกลุ่มมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 23 คนและผู้ดูแล 23 คน กลุ่มทดลองได้รับการให้โปรแกรมกายภาพบำบัดผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้าน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการให้โปรแกรมกายภาพบำบัดแบบดั้งเดิม ทั้งสองกลุ่มได้รับการวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถด้านการเคลื่อนไหวโดยใช้แบบประเมิน STREAM และความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันโดยใช้แบบประเมิน Barthel index วัดระดับความรู้และทักษะกายภาพบำบัดของผู้ดูแล วัดผลก่อนและหลัง ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ใช้สถิติ Independent T-Test ซึ่งกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาพบว่าคะแนนการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คะแนนความสามารถด้านการเคลื่อนไหว คะแนนทักษะกายภาพบำบัดของผู้ดูแล ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นและมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ด้วยคะแนนความแตกต่างระหว่างกลุ่ม (mean (95%CI)) ที่ 13.3 (7.1, 19.4), 11.3 (6.0, 16.7), 11.6 (5.7, 17.5) ตามลำดับ แต่มีค่าคะแนนความรู้ของผู้ดูแลระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองไม่แตกต่างกัน</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>โปรแกรมกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้านสามารถช่วยเพิ่มทักษะของผู้ดูแล รวมทั้งสามารถพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและความสามารถด้านการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยให้เพิ่มขึ้น</p> พิมพ์ชนก ปานทอง เก้ากานดา เฮงบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 41 56 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของพระภิกษุสงฆ์ที่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี: การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/275660 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>จากการสำรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย พบว่าพระภิกษุสงฆ์อาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 45.23 เนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านความรู้ วัตรปฏิบัติ การออกกำลังกาย และการฉันอาหาร</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง ทัศนคติต่อโรคและการรักษา และพฤติกรรมการดูแลตนเองของพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพตามแนวทางปรากฏการณ์วิทยาแบบตีความ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง เก็บข้อมูลโดยผู้วิจัยเอง กลุ่มตัวอย่างคือพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวน 12 รูป จาก 7 วัดในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย และตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยวิธีการตรวจสอบสามเส้า</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ด้านความรู้ พบว่าพระภิกษุสงฆ์มีความรู้เรื่องการฉันอาหารว่าต้องจำกัดอาหารรสเค็มแต่ไม่รู้ปริมาณที่แน่นอน ด้านการรักษา ทราบว่าต้องติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องและฉันยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ส่วนการออกกำลังกาย รู้เพียงว่าต้องทำสม่ำเสมอ การปฏิบัติตนในการดูแลตนเอง พบว่าด้านอาหารไม่สามารถเลือกฉันได้มากนัก การรักษาได้ฉันยาตามแพทย์สั่งและติดตามการรักษาอย่างเคร่งครัด การออกกำลังกายทำผ่านกิจวัตรประจำวันและการบิณฑบาต ทัศนคติต่อโรค พระภิกษุสงฆ์เชื่อว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายแต่ไม่น่ากลัว</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นโอกาสในการสนับสนุนพระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูง โดยควรให้ความรู้ด้านการฉันอาหารที่เหมาะสม แนะนำวิธีการออกกำลังกายที่ไม่ขัดกับวินัยสงฆ์ และให้ความรู้แก่ฆราวาสในการถวายอาหารที่เหมาะสม</p> จำลอง ชูโต เกษร จารุพูนผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 57 68 ความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก และรักษาด้วยการดึงกระดูกที่บ้าน: การศึกษาย้อนหลัง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/278282 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>กระดูกสะโพกหักถือเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้แนวทางสหสาขาวิชาชีพร่วมกับความร่วมมืออย่าง ใกล้ชิดจากทุกสาขาวิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักที่ต้องใช้การดึงถ่วงน้ำหนักผ่านผิวหนัง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และส่งเสริมคุณภาพการดูแลที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักที่ดึงถ่วงน้ำหนักที่บ้านในแต่ละช่วงเวลา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่ภาวะกระดูกสะโพกหักที่มีข้อจำกัดในการผ่าตัดข้อสะโพก และได้รับการรักษาด้วยการดึงถ่วงน้ำหนักผ่านผิวหนัง ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจําวัน ดัชนีบาร์เธลเอดีเอล ในวันจําหน่ายจากโรงพยาบาล (T1) หลังจําหน่าย 1 เดือน (T2) และหลังจําหน่าย 3 เดือน (T3) 3) แบบบันทึกภาวะแทรกซ้อน และ 4) แบบบันทึกข้อมูลการเสียชีวิตและสาเหตุการเสียชีวิต วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพรรณนา และเปรียบเทียบข้อมูลด้วยค่าความแปรปรวนทางเดียว</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการทำกิจวัตรประจําวันช่วง T1 T2 และ T3 เท่ากับ 7.90 (SD=2.69) 11.30 (SD=3.12) และ13.27 (SD=3.16) ตามลำดับ และคะแนนความสามารถในการทำกิจวัตรประจําวันเฉลี่ยช่วง T2 และ T3 สูงกว่า T1 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (F=59.989; p= .000) มีภาวะแทรกซ้อน คือ แผลกดทับ (ร้อยละ 5.36) มีอัตราการเสียชีวิตภายใน 30 วัน หลังกระดูกสะโพกหัก (ร้อยละ 1.79) และภายใน 1 ปี (ร้อยละ 8.93)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การดูแลผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักที่ดึงถ่วงน้ำหนักที่บ้านให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความร่วมมือจากทีม สหสาขาวิชาชีพ โดยเน้นที่การสื่อสารและการประสานงานทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของผู้ป่วยแต่ละราย และปรับปรุงกระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพเพื่อเพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วยให้ประสิทธิผล</p> วรวรรณ ขันธโภคัย สุชาณันท์ ธัญญกุลสัจจา สุมณีย์ เดชเสงี่ยมศักดิ์ จันทิมา ช่วงโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 69 80 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/hhsk/article/view/278671 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ส่งผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเป้าหมายสำคัญในการดูแลควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยเสี่ยงได้แก่ อายุ ดัชนีมวลกายก่อนการตั้งครรภ์ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคม ต่อระดับน้ำตาลในเลือดเกินเกณฑ์ของสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>รูปแบบการวิจัยการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง (Cross sectional analytic study) เก็บรวบรวมข้อมูลจากสตรีที่มีภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสระบุรี มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จำนวน 104 ราย แบ่งเป็นสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลในลือดตามเกณฑ์และเกินเกณฑ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ และแบบสอบถามการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมแบบพหุมิติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์สถิติถดถอยโลจิสติกพหุ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>สตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่าเท่ากับ 30 ปี มีโอกาสเสี่ยงในการมีระดับน้ำตาลในเลือดเกินเกณฑ์เป็น 6.63 เท่า 95% CI 1.17, 37.54 เมื่อเทียบกับสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี p-value=0.031 และสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์เกินเกณฑ์มีโอกาสเสี่ยงในการมีระดับน้ำตาลในเลือดเกินเกณฑ์เป็น 3.18 เท่า 95% CI 1.19, 8.48 เมื่อเทียบกับสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ต่ำกว่าเกณฑ์ p-value=0.021</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>สตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่าเท่ากับ 30 ปี และขณะตั้งครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกินเกณฑ์ เสี่ยงต่อการมีระดับน้ำตาลในเลือดเกินเกณฑ์ ดังนั้นควรแนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน</p> พรนิภา วงษ์มาก ชิดชนก พันธ์ป้อม พัชนียา เชียงตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โรงพยาบาลหัวหิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-26 2025-08-26 5 2 81 93