วารสารอาหารและยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal <p><strong>วารสารอาหารและยา</strong> เป็นวารสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศไทย รับตีพิมพ์บทความ 2 ประเภทคือ บทความวิชาการ และบทความวิจัย เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ อาหาร ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน และยาเสพติดที่ใช้ในทางการแพทย์</p> <p>วารสารอาหารและยาจะมีบทความประมาณฉบับละ 6 - 10 เรื่อง โดยเผยแพร่ปีละ 3 ฉบับในทุก 4 เดือน :</p> <p>ฉบับที่ 1 : มกราคม - เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 : พฤษภาคม - สิงหาคม</p> <p>ฉบับที่ 3 : กันยายน - ธันวาคม</p> <p>บทความที่ตีพิมพ์ได้ผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและผ่านกระบวนการพิจารณาแบบ double blinded โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer review) ที่กองบรรณาธิการคัดเลือกอย่างน้อย 2 คน และหากจำเป็นจะคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิคนที่ 3 เป็นผู้พิจารณาเพิ่มเติม โดยปกปิดข้อมูลทั้งสองทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความลำเอียงหรืออคติหรือเรียกรับผลประโยชน์ใดใด</p> <p><strong> </strong><strong>ผู้นิพนธ์และผู้อ่านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใด</strong></p> <p><strong>ISSN 3057-1316 (Online)</strong></p> th-TH prasertsarn@fda.moph.go.th (ธนกฤษ ประเสริฐสาร) academic@fda.moph.go.th (ณัฐฐานันท์ ปั้นสุวรรณ) Thu, 30 Oct 2025 15:39:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การตรวจตราด้านชีวสมมูล และการเขียน Corrective and Preventive Action (CAPA) (ตอนที่ 1) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283638 รัชดา โตอนันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283638 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 บทบรรณาธิการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283657 ธนกฤษ ประเสริฐสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283657 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้มั่งคั่งและยั่งยืนด้วยกลไกผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุก : กรณีศึกษาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283639 <p><strong>ความสำคัญ</strong><strong> : &nbsp;</strong>การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพภายใต้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจนได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ช่วยยกระดับมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานราก ด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>เพื่อพัฒนาและทดลองต้นแบบของการส่งเสริมและอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วยกลไกผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุก (proactive value co-creation)</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong> : </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยมีขั้นตอนคือ 1) การพัฒนาต้นแบบของการส่งเสริมและอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแบบผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุกตลอดห่วงโซ่คุณค่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยทดสอบต้นแบบที่พัฒนาขึ้นครั้งแรกในศูนย์การศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ และ 2) นำต้นแบบฯ มาทดลองปฏิบัติในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอีก 6 แห่ง ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่ป่าขุนแม่กวงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาอมก๋อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร และศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้เห็นสภาพปัญหาและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติจริงของต้นแบบที่พัฒนาขึ้น</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>การทดสอบต้นแบบการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุก เริ่มต้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ อย. ในบทบาทผู้ร่วมสร้างคุณค่า (Co-creator) โดยผ่านทางหัวหน้างานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพเขตสุขภาพ (คบ.เขต) ซึ่งทำการลงพื้นที่เชิงรุกร่วมกับกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมกันให้คำแนะนำส่งเสริมผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่าจนได้รับการอนุญาต และได้นำต้นแบบรูปแบบการส่งเสริมฯ นี้ ไปทดลองใช้กับศูนย์ศึกษา/โครงการพัฒนาอื่น อีกจำนวน 6 แห่ง จนผลิตภัณฑ์สุขภาพตามเป้าหมายได้รับอนุญาต รวมทุกศูนย์การศึกษาจำนวน 93 รายการ</p> <p><strong>สรุป</strong><strong> : </strong>การส่งเสริมผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วยต้นแบบการส่งเสริมด้วยกลไกผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุกเกิดผลเชิงประจักษ์ว่ามีประโยชน์ในทางปฏิบัติต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้ประกอบการอย่างมีระบบ มีทิศทางด้วยคำแนะนำตลอดห่วงโซ่คุณค่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงมีข้อเสนอแนะให้ประยุกต์ต้นแบบการส่งเสริมด้วยกลไกผู้ร่วมสร้างคุณค่าเชิงรุกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานรากกลุ่มอื่น เช่น วิสาหกิจชุมชน โดยอาจพิจารณาปรับต้นแบบให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม</p> สุชาติ จองประเสริฐ, มิ่งขวัญ ธนเศรษฐกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283639 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 ศึกษารูปแบบความเป็นไปได้ในการอนุญาตใช้สถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283640 <p><strong>ความสำคัญ</strong>: อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการใช้สถานที่ผลิตร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่ภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและการขาดความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน การที่กฎหมายเดิมไม่ได้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้สถานที่ผลิตร่วมกันระหว่างผลิตภัณฑ์อาหารกับผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและข้อจำกัดในการลงทุนและการขยายธุรกิจ การแยกสถานที่ผลิตโดยเด็ดขาดสำหรับผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่าและไม่สอดคล้องกับแนวโน้มการผลิตสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและการลดต้นทุน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อกำหนดทางเลือกรูปแบบการใช้สถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ร่วมกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และศึกษาแนวทางการกำกับดูแลสถานที่ผลิตสำหรับนำไปจัดทำข้อเสนอมาตรการกำกับดูแลสถานที่ผลิตร่วมหลังการได้รับอนุญาต</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการทบทวนเอกสารระหว่างเดือนมิถุนายน 2567-เมษายน 2568 โดยมีการทบทวนวรรณกรรมทางวิชาการ เอกสารทางกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์เจาะจงกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร จำนวน 11 ราย รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่มีประสบการณ์ในการพิจารณาอนุญาตสถานที่ผลิตและกำกับดูแลหลังออกสู่ตลาดจำนวน 3 ราย</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: จากการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเชื่อว่าการใช้สถานที่ผลิตร่วมกันสำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้นสามารถทำได้ โดยพิจารณาจากลักษณะเฉพาะของแต่ละผลิตภัณฑ์และการประยุกต์ใช้หลักการป้องกันการปนเปื้อน แนวทางนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่: รูปแบบที่ 1: อาคารผลิตร่วมกัน แต่มีการแบ่งพื้นที่การผลิตแยกออกจากกันอย่างชัดเจนพร้อมทางเข้า-ออกแยกกัน รูปแบบที่ 2: อาคารผลิตร่วมกัน แต่ใช้เฉพาะระบบสายพานลำเลียงร่วมกัน โดยมีพื้นที่การผลิตแยกกัน รูปแบบที่ 3: อาคารใช้ร่วมกันสำหรับการจัดเก็บ ผลิต และบรรจุ แต่แยกเครื่องจักรหรืออุปกรณ์การผลิต และรูปแบบที่ 4: อาคารใช้ร่วมกันสำหรับการจัดเก็บ ผลิต และบรรจุ รวมถึงใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตร่วมกันสำหรับอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ซึ่งจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่ต้องการขออนุญาตใช้สถานที่ผลิตร่วมกันสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพร พบว่ารูปแบบที่ 3 และ 4 สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เพิ่มต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการประเมินความเสี่ยงของสถานที่ผลิตร่วมเพื่อกำหนดมาตรการควบคุมการปนเปื้อนข้ามที่เหมาะสม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.73 เห็นว่ารูปแบบที่ 4 มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารผลิต เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต สะดวกในการดูแลรักษา และประหยัดจำนวนพนักงานผลิตมากกว่ารูปแบบอื่น อย่างไรก็ตาม รูปแบบที่ 4 มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการปนเปื้อน ซึ่งต้องอาศัยการประเมินความเสี่ยงที่เข้มงวดและการใช้ระบบ Hazard Analysis and Critical Control Points (HACCP) สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และมาตรฐาน Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PICs) สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร และจากการสัมภาษณ์พนักงานเจ้าหน้าที่ อย. ที่รับผิดชอบกฎระเบียบก่อนและหลังออกสู่ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพรพบว่า มีความเห็นสอดคล้องกันถึงความจำเป็นในการควบคุมการปนเปื้อนข้ามเมื่อใช้พื้นที่การผลิตร่วมกัน หลักเกณฑ์การอนุญาตจะต้องครอบคลุมถึงรูปแบบผลิตภัณฑ์ (dosage form) สูตรส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด แบบแปลนโรงงานโดยละเอียด รายการเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตลอดจนขั้นตอนกระบวนการผลิตที่มีการใช้งานร่วมกัน นอกจากนี้ สถานที่ผลิตจะต้องปฏิบัติตามโปรแกรมการทำความสะอาดพื้นฐานและการประเมินสภาพความใช้ได้ (validation) ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) สำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ใช้สถานที่ร่วมกัน หลังจากการอนุญาตใช้สถานที่ร่วมกันแล้ว มาตรการควบคุมหลังออกสู่ตลาดจะต้องมีการนำแผนการเฝ้าระวังที่เหมาะสมตามระดับความเสี่ยงที่พบมาใช้</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>การอนุญาตให้ใช้สถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยมีความเป็นไปได้ทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ หากมีการกำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบที่ 4 ที่มีการใช้พื้นที่จัดเก็บ ผลิต บรรจุ และเครื่องจักร/อุปกรณ์การผลิตร่วมกัน ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีความพร้อมและองค์ความรู้ในการจัดการความเสี่ยงด้านการปนเปื้อนอย่างเคร่งครัด จึงควรมีการจัดทำคู่มือหรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจน การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการนำร่องโครงการเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของหลักเกณฑ์ นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการบูรณาการระบบฐานข้อมูลการอนุญาตและแผนการติดตามหลังการอนุญาตระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค</p> ญาณพล ขาวพลศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283640 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีที่บังคับใช้เป็นกฎหมาย (GMP 420) และตรวจติดตามประเมินสถานที่ผลิตอาหารในจังหวัดบุรีรัมย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283644 <p><strong>ความสำคัญ:</strong> ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 420 เรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหาร ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 มีผลบังคับใช้สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ในวันที่ 11 เมษายน 2564 และผู้ประกอบการรายเก่าที่มีใบอนุญาตผลิตอาหารเดิม ในวันที่ 7 ตุลาคม 2564 แต่ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์พบว่ามีสถานประกอบการรายเดิมส่วนหนึ่งยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้ จึงส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการอาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่ายรายเก่า เพื่อให้ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตที่บังคับใช้เป็นกฎหมาย (GMP 420) ดังกล่าว</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบความรู้และมาตรฐานการผลิตของสถานที่ผลิตอาหารประเภทอาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่ายในจังหวัดบุรีรัมย์</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong><strong>:</strong> การวิจัยแบบเชิงทดลองเบื้องต้นระหว่างเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม พ.ศ. 2565 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากผู้ที่ปฏิบัติงานในสถานที่ผลิตอาหาร จำนวน 41 ราย และสถานที่ผลิตอาหารประเภทอาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่ายรายเก่าที่ได้รับเลขสารบบอาหารในจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 41 แห่ง โดยลงพื้นที่สำรวจความรู้และตรวจประเมินก่อนการจัดอบรม และสำรวจความรู้และตรวจประเมินหลังการอบรมและลงพื้นที่ตรวจประเมินหลังการอบรม โดยใช้แบบสอบถามความรู้และแบบตรวจประเมินสถานที่ผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีที่บังคับใช้เป็นกฎหมาย &nbsp;</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 34.1 มีการศึกษาในระดับมัธยมตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ร้อยละ 36.6และเป็นเจ้าของกิจการ ร้อยละ 65.9&nbsp; สำหรับประเภทของอาหารที่ผลิต ได้แก่ กุ้งจ่อม(ร้อยละ41.5) ขนม(ร้อยละ 22.2) ข้าวสาร (ร้อยละ 12.2) แหนม(ร้อยละ 4.9) และอื่น ๆ (ร้อยละ19.5) นอกจากนั้น พบว่ากลุ่มตัวอย่างทราบว่าสถานที่ผลิตอาหารต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีที่บังคับใช้เป็นกฎหมาย (GMP 420) ร้อยละ &nbsp;68.3 ผลเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังได้รับการพัฒนา พบว่า คะแนนเฉลี่ยของความรู้ก่อนการให้ความรู้เท่ากับ 9.41 และหลังการให้ความรู้ เท่ากับ 14.46 &nbsp;คะแนน จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน มีคะแนนความรู้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบผลตรวจมาตรฐานสถานที่ผลิตอาหาร พบว่า ค่าคะแนนโดยรวมและรายหมวดตามเกณฑ์ GMP 420 จำนวน 3 หมวด ได้แก่ (1) หมวดสถานที่ตั้ง อาคารผลิต การทำความสะอาด และการบำรุงรักษา (3) หมวดการควบคุมกระบวนการผลิต และ (5) หมวดสุขลักษณะส่วนบุคคล มีค่าสูงกว่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt; 0.05) และจำนวน 2 หมวด ได้แก่&nbsp; (2) หมวดเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิตการทำความสะอาด และการบำรุงรักษา และ (4) หมวดการสุขาภิบาล มีค่าคะแนนไม่แตกต่างทางสถิติ (<em>p</em>-value &gt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการให้ความรู้และการติดตามตรวจประเมินสถานที่ผลิตอาหารมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความรู้และมาตรฐานสถานที่ผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์ GMP 420 ผู้ประกอบการมีความรู้และความตระหนักเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนด ส่งผลให้สถานที่ผลิตมีมาตรฐานที่ดีขึ้น อันจะช่วยยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารในระดับท้องถิ่นสู่สากลต่อไป</p> ชัญญานุช พิกุลทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283644 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์การใช้วัตถุกันเสียกรดเบนโซอิกในขนมจีนที่จำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี และอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283649 <p><strong>ความสำคัญ </strong><strong>: </strong>กรดเบนโซอิกเป็นวัตถุกันเสียที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร อย่างไรก็ตาม การบริโภคกรดเบนโซอิกในปริมาณที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น อาการแพ้หรือความผิดปกติของระบบเผาผลาญ ถึงแม้จะมีการกำหนดมาตรฐานปริมาณที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร แต่ในผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เช่น ขนมจีน ยังมีความน่าสนใจในการศึกษาระดับการใช้วัตถุกันเสียชนิดนี้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong><strong>: </strong>เพื่อวิเคราะห์ปริมาณกรดเบนโซอิกในขนมจีนที่จำหน่ายในตลาดสดและร้านค้าปลีกในจังหวัดนนทบุรี นครปฐม ชลบุรี และอุบลราชธานี และเพื่อจำแนกระดับของกรดเบนโซอิกตามประเภทของขนมจีน (สดและแห้ง) และพื้นที่จัดจำหน่าย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางระหว่างวันที่ 1–31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยเก็บตัวอย่างขนมจีนจำนวน 120 ตัวอย่างจาก 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี และอุบลราชธานี ตัวอย่างจำแนกตามประเภทเป็นขนมจีนสดและแห้ง รวมถึงสีของเส้นขนมจีน วิเคราะห์ปริมาณกรดเบนโซอิกด้วยชุดตรวจมาตรฐาน โดยแบ่งระดับผลการตรวจออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ต่ำกว่า 1,000 ppm เท่ากับ 1,000 ppm และมากกว่า 1,000 ppm</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>จากตัวอย่างทั้งหมด 120 ตัวอย่าง พบว่ามี 52 ตัวอย่าง (ร้อยละ 43.33) ตรวจพบกรดเบนโซอิกในระดับที่สามารถวัดได้ โดยขนมจีนสดมีแนวโน้มพบระดับกรดเบนโซอิกที่สูงกว่าขนมจีนแห้ง โดยเฉพาะในพื้นที่เขตชั้นในของกรุงเทพมหานครที่พบว่าขนมจีนสด 49 ตัวอย่าง (ร้อยละ 45.37) มีปริมาณกรดเบนโซอิกเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 1,000 ppm ในขณะที่ขนมจีนแห้งมีปริมาณต่ำกว่าและมีเพียง 1 ตัวอย่างที่เกินค่ากำหนด</p> <p><strong>สรุป </strong><strong>: </strong>การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าขนมจีน โดยเฉพาะขนมจีนสดในเขตเมือง มีระดับกรดเบนโซอิกที่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามกฎหมายอาหาร ควรมีการเฝ้าระวังและควบคุมการใช้วัตถุกันเสียให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคกรดเบนโซอิกในปริมาณสูง</p> ปุณณัตถ์ เจริญลาศลักษณ์, ประภาวรินทร์ รูปสูง, พศิน เปี่ยมทิพย์มนัส, ปิญลักษ์ งามเลิศดนัย, พราว พร้อมพัฒนภักดี, ณฌฌิณ สลีวงศ์, เขมิกา อัครอาชากุล, ธวิทย์ทักษ์ บุญศรีอุดมสุข, พิชญดา จันทาทอง, อัลลีธ์ชา พงษ์วิทยภานุ, ภวิตรา ดำรงศีล, ภรัณยา ดำรงศีล, พีรภัทร ภูริภัทรพันธุ์, เมฐิต์รินทร์ วรวิสุทธิกูล, ศุจิมน มังคลรังษี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283649 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การตรวจสอบความถูกต้องวิธีวิเคราะห์ความแรงของยารานิบิซูแมบโดยวิธียับยั้งวาสคูลาร์เอนโดทิเลียลโกรทแฟกเตอร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283654 <p><strong>ความสำคัญ</strong>: ยารานิบิซูแมบเป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่มีโครงสร้างซับซ้อน ใช้รักษาโรคตาที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดในจอประสาทตา การควบคุมคุณภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความแรงของยา ซึ่งมีความสำคัญต่อการรับรองประสิทธิภาพของยา ดังนั้น จึงมีความจำเป็นในการพัฒนาวิธีตรวจวิเคราะห์ความแรงของยาที่แม่นยำและได้มาตรฐาน วิธีวิเคราะห์ความแรงที่ถูกพัฒนาและมีความถูกต้องตามมาตรฐานสากล จะเป็นวิธีที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถใช้เป็นวิธีมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพของหน่วยงานควบคุมกำกับทางห้องปฏิบัติการชีววัตถุในประเทศไทย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาวิธีวิเคราะห์ความแรงของยารานิบิซูแมบ โดยใช้วิธียับยั้งวาสคูลาร์เอนโดทิเลียลโกรทแฟกเตอร์ และตรวจสอบความถูกต้องของวิธีตามมาตรฐานสากล สำหรับใช้เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการควบคุมคุณภาพยาในห้องปฏิบัติการ เพื่อขึ้นทะเบียนยาใหม่และยาชีววัตถุคล้ายคลึงในประเทศไทย</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: เป็นการศึกษาเชิงทดลอง ที่ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 ในการพัฒนาวิธีวิเคราะห์ความแรงสัมพัทธ์ของยารานิบิซูแมบ ด้วยวิธียับยั้งวาสคูลาร์เอนโดทิเลียลโกรทแฟกเตอร์เทียบกับสารมาตรฐาน และตรวจสอบความถูกต้องของวิธีตามแนวทางมาตรฐานสากล ICH guideline โดยพิจารณาความจำเพาะ ความแม่น ความเที่ยง ความเป็นเส้นตรงและช่วงการทดสอบ และความคงทนของวิธี โดยวิเคราะห์ GM, GSD และ %GCV ของค่า %relative potency รวมทั้งเปรียบเทียบความแตกต่างทางสถิติด้วย Independent sample T-test และ ANOVA: single factor เพื่อให้มั่นใจว่าวิธีดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพยานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: วิธียับยั้งวาสคูลาร์เอนโดทิเลียลโกรทแฟกเตอร์ พบว่า สามารถใช้วิเคราะห์ความแรงสัมพัทธ์ของยารานิบิซูแมบ ได้อย่างจำเพาะและมีความน่าเชื่อถือ โดยค่าความแรงสัมพัทธ์อยู่ในช่วง 80-125% และมีค่า %recovery สำหรับความแม่นอยู่ระหว่าง 100.9-104.6% ส่วนค่า %GCV สำหรับความเที่ยงของการทำซ้ำและระหว่างนักวิเคราะห์อยู่ที่ 6.8% และ 6.6% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด แสดงให้เห็นว่าวิธีมีความเที่ยงที่ดี นอกจากนี้ วิธีดังกล่าวยังมีความเป็นเส้นตรงและช่วงการทดสอบที่เหมาะสมระหว่าง 70-130% โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R²) เท่ากับ 0.9898 ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลง passage number และปริมาณเซลล์ HUVEC ไม่ส่งผลกระทบต่อผลการวิเคราะห์อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าวิธีนี้มีความคงทน ดังนั้นการตรวจสอบความถูกต้องของวิธีทุกรายการผ่านเกณฑ์ยอมรับที่กำหนดไว้</p> <p><strong>สรุป</strong>: การศึกษาความถูกต้องของวิธีวิเคราะห์ความแรงของยารานิบิซูแมบ โดยวิธียับยั้งวาสคูลาร์เอนโดทิเลียลโกรทแฟกเตอร์ แสดงให้เห็นว่าวิธีนี้มีความเหมาะสม โดยผลการวิเคราะห์ผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานสากล จึงสามารถนำมาใช้เป็นวิธีมาตรฐานในห้องปฏิบัติการเพื่อควบคุมคุณภาพยารานิบิซูแมบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จิรเดช ปัจฉิม, เสาวลักษณ์ ป้อมสุวรรณ, สายวรุฬ จดูรกิตตินันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283654 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารระดับเศรษฐกิจฐานรากให้ได้รับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด กรณีศึกษา: จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283656 <p><strong>ความสำคัญ </strong>: เศรษฐกิจชุมชนฐานรากมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเชื่อมั่นในผู้นำชุมชนและการผลักดันจากภาครัฐผ่านโครงการวิสาหกิจชุมชน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 10 ราย จะได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด แล้ว แต่ยังขาดการสร้างโมเดล (model) หรือแนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาแนวทางดังกล่าวเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> : เพื่อพัฒนารูปแบบสมรรถนะผู้นำชุมชนเศรษฐกิจฐานรากให้ได้รับรางวัลอย.&nbsp;ควอลิตี้&nbsp;อวอร์ด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เพื่อพัฒนารูปแบบการสื่อสาร และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน และ เพื่อเสนอองค์ความรู้และรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนสู่ความยั่งยืน</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong> : การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างเดือนมีนาคม–เมษายน 2568 เป็นการผสมผสานการวิจัยเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ และเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงในตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้นำชุมชนที่เป็นผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารในจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด จำนวน 10 ตัวอย่าง เพื่อศึกษาปัจจัยสมรรถนะผู้นำชุมชน กลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารระดับเศรษฐกิจฐานรากทั่วไปที่เข้าร่วมประชุมกับ สสจ. สุราษฎร์ธานีอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อ และกลุ่มเครือข่ายนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์ และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหาร จำนวน 100 ตัวอย่าง เพื่อศึกษาองค์ความรู้และพัฒนารูปแบบการดำเนินงานผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>: ผลวิจัยพบว่า ปัจจัยสมรรถนะผู้นำชุมชนเศรษฐกิจฐานรากที่ได้รับรางวัล อย.&nbsp;ควอลิตี้&nbsp;อวอร์ดได้แก่ (1) การจัดการความเสี่ยง (2) ความคิดเชิงสร้างสรรค์ (3) การติดต่อสื่อสาร (4) การพัฒนาตนเอง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(5) การบริหารการตลาด (6) การจัดการผลิตภัณฑ์ (7) การพัฒนาทุนทางสังคมและวัฒนธรรม (8) การจัดการเครือข่าย (9) การจัดการการเงินและบัญชี และ (10) บุคลิกภาพส่วนตัวและคุณธรรมความซื่อสัตย์ มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารระดับเศรษฐกิจฐานราก ให้ได้รับรางวัล&nbsp;อย. &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ควอลิตี้&nbsp;อวอร์ด สำหรับการศึกษารูปแบบการสื่อสารและประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนของกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการ พบว่า ให้ความสำคัญกับระยะเวลาในการนำเสนอสูงสุดในระดับมาก เฉลี่ย 4.05 จากระดับ 5 รองลงมา ได้แก่ ความเหมาะสมของเนื้อหา และความต่อเนื่อง การลำดับเรื่องราว การนำเสนอ เฉลี่ยเท่ากันที่ 4.01 นอกจากนี้ ยังพบว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคชีวิตวิถีใหม่มีแนวโน้มการซื้อสินค้าออนไลน์เป็นหลักมากขึ้น กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า ควรมุ่งเน้นการใช้สื่อการประชาสัมพันธ์ เฉลี่ย 3.99 ขยายตลาดส่งออกต่างประเทศ เฉลี่ย 3.82 และหากลยุทธ์ใหม่ในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจผันผวนได้ เฉลี่ย 3.72 ดังนั้น จากข้อค้นพบดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจอาหารระดับฐานรากให้ยั่งยืนตามบริบทของเศรษฐกิจชุมชนใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 4 ส่วนได้แก่ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการประเมินผลและการปรับปรุง และได้จำลองโมเดลแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหารระดับเศรษฐกิจฐานราก ให้ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ในรูปแบบของ SURAT Model ประกอบด้วย Standard มีมาตรฐานการผลิตสินค้า, Unity ความเป็นเครือข่ายที่ทำงานร่วมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน, Reading มีการศึกษา ค้นคว้าการสอน การอบรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่เสมอ, Ability เป็นผู้ที่มีความสามารถหลากหลายรอบด้าน, and Technology เป็นผู้ที่เท่าทันเทคโนโลยีการสื่อสาร สื่อต่าง ๆ</p> <p><strong>สรุป </strong>: การพัฒนาผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานรากผลิตผลิตภัณฑ์อาหารให้ได้รับรางวัล อย.&nbsp;ควอลิตี้&nbsp;อวอร์ดของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต้องอาศัยการผสมผสานปัจจัยต่าง ๆ ทั้งจากสมรรถนะผู้นำ กลไกการสื่อสารและการตลาดที่เหมาะ รวมถึงการนำแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจอาหารระดับฐานรากให้ยั่งยืนตามบริบทของเศรษฐกิจชุมชนใน 4 ส่วน และ SURAT Model มาปรับใช้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน</p> ชมพูนุท เสียงแจ้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารอาหารและยา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/283656 Thu, 30 Oct 2025 00:00:00 +0700