เชียงรายเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal <p>เชียงรายเวชสาร เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข&nbsp; รับบทความภาษาไทย ที่มีบทคัดย่อเป็นภาษาอังกฤษ หรือบทความภาษาอังกฤษที่ให้ความรู้ใหม่ในการนำไปพัฒนางาน บทความมีผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ในการพิจารณากลั่นกรองก่อนลงตีพิมพ์ (double-blind peer review)&nbsp;&nbsp;</p> โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ (Chiangrai Prachanukroh Hospital) th-TH เชียงรายเวชสาร 1906-649X ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะไขมันพอกตับในประชากรที่เข้าร่วม โครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี (CASCAP) อำเภอเมืองเชียงราย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/261988 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะไขมันพอกตับเกิดจากการสะสมไขมันในเนื้อตับหากสะสมเป็นเวลานานจะเกิดการอักเสบในเนื้อตับและเกิดเป็นตับแข็งได้ ปัจจุบันความชุกภาวะไขมันพอกตับในประเทศไทย เพิ่มขึ้นและส่วนใหญ่ไม่มีอาการ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์ของไขมันพอกตับในประชากรอายุ 35–75ปี ที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี (CASCAP) อำเภอเมืองเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>:เป็นการศึกษาแบบ Retrospective Cross Sectional Study โดยใช้ข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูล ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ CASCAP ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ.2565 จำนวน 127 คน เครื่องมือที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลประกอบด้วย แบบบันทึกเวชระเบียนของผู้ป่วย และแบบบันทึกผลการตรวจอัลตราซาวนด์ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ภาวะไขมันพอกตับกับปัจจัยอื่นๆที่มีผล โดยใช้สถิติ Multivariable logistic regression ด้วยวิธี backward elimination โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติ โดยใช้ค่า p&lt; 0.050</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: กลุ่มตัวอย่าง 127 คนมีอายุเฉลี่ย 61.44<u>+</u>10.32 ปี พบภาวะไขมันพอกตับร้อยละ 31.50 เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์คราวละหลายปัจจัยพบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะไขมันพอกตับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง (aOR 2.36, 95%CI 1.02-5.47, p=0.046) สูบบุหรี่ (aOR 7.98, 95% CI 1.27- 50.09, p= 0.027) มีภาวะไขมันชนิดแอลดีแอลเกิน (aOR 3.50, 95% CI 1.51-8.09, p=0.003)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: ความชุกภาวะไขมันพอกตับในประชากรอายุ 35–75ปี ที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี (CASCAP) อำเภอเมืองเชียงรายเป็นร้อยละ 31.50 ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ มีภาวะไขมันชนิดแอลดีแอลเกินเกณฑ์เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ดังนั้นจึงควรนำปัจจัยเสียงดังกล่าวประกอบการพิจารณาในการคัดกรองภาวะไขมันพอกตับที่มีประสิทธิภาพซึ่งน่าจะช่วยลดผู้ป่วยตับแข็งในอนาคตได้</p> เจิมขวัญญ์ ไชยรัตนสกุล เรืองนิพนธ์ พ่อเรือน Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 1 9 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมและระดับน้ำตาลหลังอดอาหารที่ควบคุมไม่ดีใน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/267924 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> อุบัติการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 มีผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี และในปี พ.ศ. 2565 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมจำนวน 3.3 ล้านคน ปัจจุบันมีหลายการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางสังคมและปัจจัยทางกายภาพ กับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนปัจจัยทางสังคมให้แก่ผู้ป่วยเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมทางสังคมของแต่ละพื้นที่</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมและปัจจัยทางกายภาพกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารที่ควบคุมได้ไม่ดีในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบ cross-sectional descriptive study ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีอายุมากกว่าเท่ากับ 35 ปี ใช้โดยใช้การเก็บข้อมูลระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารและ แบบสอบถามความสังคมแบบมาตราส่วน Likert’s scale จำนวน 10 ข้อ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางสังคมและระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารที่ควบคุมไม่ดีในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหัววังและจำค่า อำเภอเมืองจังหวัดลำปาง ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2563 โดยใช้ค่าสถิติ chi-square, independent t-test และ multivariable logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีอายุมากกว่าเท่ากับ 35 ปี จำนวน 79 คน เป็นเพศหญิง 59 คน เพศชาย 20 คน ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารที่ควบคุมได้ไม่ดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุที่น้อยกว่าเท่ากับ60 ปี (adjusted OR=3.94, 95%CI:1.36-11.38, p-value= 0.017) และประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ (adjusted OR=18.23,95%CI:1.51-219,p-value= 0.024)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการดื่มแอลกอฮอล์ และอายุที่น้อยกว่าเท่ากับ 60 ปี ซึ่งงานวิจัยครั้งนี้มีข้อจำกัดด้านผลเลือดทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ระดับน้ำตาลอดอาหาร และเนื่องจากพฤติกรรมสุขภาพและผลไม้ตามฤดูกาลระดับอาจส่งผลกับน้ำตาลหลังอดอาหารในเลือดของผู้ป่วยแต่ละรายจึงควรมีการศึกษาที่ควบคุมปัจจัยดังกล่าวในอนาคต เช่น ควบคุมรายการอาหารของผู้ป่วยเบาหวานทุกราย เป็นต้น</p> ธนพร สุมนศาสตร์ ชนินท์ ประคองยศ Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 10 19 ผลของการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อต่อประสิทธิผลทางคลินิกและด้านเศรษฐศาสตร์ในผู้ป่วยปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/264675 <p><strong>ความเป็นมา </strong><strong>: </strong>ปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ เป็นปัญหาการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่สำคัญและ<br />มีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 68.40 การรักษาผู้ป่วยหลังเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจมี<br />ความแตกต่างกันในแต่ละแผนกโดยรูปแบบการใช้ยาต้านจุลชีพอาจแตกต่างกัน มีทั้งที่มีการขอรับคำปรึกษากับแพทย์<br />โรคติดเชื้อและไม่มี ซึ่งอาจมีผลต่อการดำเนินของภาวะโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>วัตถุประสงค์หลักเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลทางคลินิกและต้นทุนในการรักษาปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong> : </strong>เป็นการศึกษาข้อมูลย้อนหลังในผู้ป่วยอายุ 15 ปี ขึ้นไป ที่ได้รับการวินิจฉัยปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2558 ถึง 30 ธันวาคม 2562 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และ ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จำนวน 713 ราย ปรับความแตกต่างเริ่มต้นของผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มโดยใช้ Covariate Adjustment using the propensity score method และวิเคราะห์ผลลัพธ์โดย multivariable risk regression กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติโดยใช้ค่า p&lt;0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>ผู้ป่วยที่ศึกษาจำนวน 713 ราย เป็นกลุ่มที่ได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ 391 ราย และกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ 322 ราย เมื่อปรับความแตกต่างของข้อมูลทั่วไปผู้ป่วย พบว่า มี clinical improvement ไม่แตกต่างกัน IRR=0.93 (95%CI: 0.73 -1.18, p=0.572) กลุ่มที่ได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า 0.47 เท่า (95%CI: 0.36-0.63, p&lt;0.001) และระยะเวลานอนโรงพยาบาลน้อยกว่า 13.99 วัน (95%CI: 16.92 -11.07, p&lt;0.001) ต้นทุนในการรักษากลุ่มที่ได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อมี ต้นทุนทางตรงทางการแพทย์ สูงกว่า 21,238.03 บาท (95%CI: 8,423.376 - 34,052.68, p=0.001) ต้นทุนค่าวัสดุสูงกว่า 18,938 บาท (95%CI: 5,671.997 - 32,204, p=0.005) ต้นทุนรวม สูงกว่า 40,176.02 บาท (95%CI: 115,964.87 - 64,387.17, p=0.001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong> : </strong>การได้รับการรักษาหรือได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้ออาจเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ แต่สามารถทำให้อาการทางคลินิกดีขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตสำหรับผู้ป่วยปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจ ควรพิจารณาการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเมื่อผู้ป่วยเกิดปอดอักเสบที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องช่วยหายใจโดยเฉพาะในผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายนานมากกว่า 96 ชั่วโมง และกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยา เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด และ เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาลนานกว่าสองสัปดาห์ มีการใช้ยาต้านจุลชีพกลุ่มที่มีราคาสูง เพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการหนักและมีภาวะแทรกซ้อน</p> เพ็ญจันทร์ กุลสิทธิ์ ชำนาญ แท่นประเสริฐกุล สุรศักดิ์ เสาแก้ว Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 20 35 ปัจจัยที่ทำให้พบความผิดปกติของภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองชนิดไม่ฉีดสารทึบรังสีในผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป ณ แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/268927 <p>ความเป็นมา ภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้บ่อยในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน อาการแสดงมีตั้งแต่สับสนไปจนถึงขั้นหมดสติที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้หากได้รับการวินิจฉัยที่ไม่เหมาะสม สาเหตุเกิดจากความผิดปกติจากพยาธิสภาพในสมอง หรือจากจากสาเหตุอื่น การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองชนิดไม่ฉีดสารทึบรังสี เป็นเครื่องมือที่สำคัญ และรวดเร็วในการหาสาเหตุความผิดปกติที่เกิดจากภายในสมอง</p> <p>วัตถุประสงค์ เพื่อหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในการทำนายให้พบภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองที่ผิดปกติ และหาลักษณะความผิดปกติของภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองที่เป็นไปได้ ของผู้ป่วยที่มีภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนที่มาแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉินโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์</p> <p>วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาแบบย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2565 ใช้ multivariable logistic regression analysis, exploratory model เพื่อหาปัจจัยที่ทำให้พบผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองที่ผิดปกติ โดยแสดงเป็น odds ratio และ 95% confidence interval</p> <p>ผลการศึกษา ผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนไปจำนวน 515 ราย พบเป็นกลุ่มที่ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองชนิดไม่ฉีดสารทึบรังสีที่ผิดปกติ 144 ราย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทำให้พบความผิดปกติของภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงทางระบบประสาทเฉพาะที่ (mOR 38.22, 95% CI: 19.39-75.37, p-value &lt;0.001) ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคมะเร็งนอกระบบประสาทส่วนกลาง (mOR 4.34, 95%CI: 1.40-13.42, p-value 0.011) มีอาการปวดศีรษะ (mOR 3.98, 95%CI: 1.69-9.34, p-value 0.002) ชักเกร็ง (mOR 2.52, 95%CI: 1.13-5.60, p-value 0.024) มีประวัติหมดสติก่อนมา (mOR 2.44, 95%CI: 1.12-5.30, p-value 0.024) และคลื่นไส้อาเจียน (mOR 2.26, 95%CI: 1.04-4.89, p-value 0.038) และพบว่าลักษณะความผิดปกติของภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองที่พบมากที่สุดได้แก่ การมีเลือดออกในสมอง (ร้อยละ 31.25)</p> <p>สรุปและข้อเสนอแนะ ผู้ป่วยภาวะความรู้สึกตัวเปลี่ยนไปเมื่อพบอาการแสดงทางระบบประสาทเฉพาะที่ มีโรคประจำตัวเป็นโรคมะเร็งนอกระบบประสาท มีอาการ ปวดศีรษะ ชักเกร็ง มีประวัติหมดสติก่อนมา และคลื่นไส้อาเจียน ควรได้รับการส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองเพื่อการวินิจฉัยที่เหมาะสม</p> Warangkana Pongpat Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 36 49 ประสิทธิผลของรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยสหสาขาวิชาชีพตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/272595 <p><strong>ความเป็นมา </strong>: ประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุ (ageing society) ในปี 2565 พบมีจำนวนผู้สูงอายุจำนวน 13 ล้านคนจากประชากร 66.8 ล้านคนหรือร้อยละ 19.5 ของประชากรทั้งหมดและพบว่ามีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป บาดเจ็บจากการพลัดตกหกล้มและต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 89,355 คน และเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มจำนวน 1,255 คนซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดปัญหาด้านจิตใจและสังคมตามมา</p> <p> <strong>วัตถุประสงค์ :</strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มโดยสหสาขาวิชาชีพในผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชนเขต รพ.สต.บ้านเสด็จ อำเภอเมืองลำปาง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong><strong>: </strong>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi- Experimental research) ชนิดสองกลุ่มในช่วงเวลา 12 อาทิตย์ โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชนเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ที่ได้รับการคัดกรองความเสี่ยงต่อการหกล้มและมีคะแนนความเสี่ยงจากการประเมินการพลัดตกหกล้มด้วย Thai-FRAT ตั้งแต่ 4-11 คะแนน และ/หรือ TUGT มากกว่า 12 วินาที จำนวน 82 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง 41 คนและกลุ่มควบคุม 41 คน โดยวิธี block randomization เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) การประเมินการทรงตัวและการเดิน Timed Up and Go Test (TUGT) 3) แบบประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม Thai falls risk assessment test (Thai-FRAT) 4) ประเมินการทรงตัวด้วย 4 stage balance test 5) โปรแกรมการออกกำลังกายประกอบด้วย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 3 ท่า การฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อขา ส่วนล่าง 4 ท่า การฝึกการทรงตัว 3 ท่า เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม โดยผู้วิจัยได้ปรับปรุงอ้างอิงจากยากันล้ม คู่มือป้องกันการหกล้มในผู้สูงอาย 6) แผ่นพับและคลิปวีดีโอ โปรแกรมออกกำลังกายและการจัดสิ่งแวดล้อม 7) แบบติดตามการออกกำลังกาย ผ่านการตรวจความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา และ Dependent and Independent T–Test</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong><strong>: </strong>ผลการเปรียบเทียบภายในกลุ่มทดลอง หลังการเข้าร่วมกิจกรรมการออกกำลังกายและการจัดสิ่งแวดล้อม 12 สัปดาห์ มีคะแนน Thai-FRAT (p&lt;0.000) ผลการทดสอบ TUGT (p&lt;0.001) และ ผลการทดสอบ 4 Stage Balance Test (P&lt;0.001) ทั้ง 4 stage ดีกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกลุ่มควบคุมไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการเปรียบเทียบค่าความแตกต่างเฉลี่ย(mean difference) ระหว่าง 2 กลุ่ม พบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนน ดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมและมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p&lt;0.001) ยกเว้น 4 Stage Balance Test stage 4 (p=0.188) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ </strong>: โปรแกรมรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยสหสาขาวิชาชีพช่วยป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ สามารถทำให้ผู้สูงอายุมีการเตรียมความพร้อมในการป้องกันการหกล้มได้มากขึ้น ควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป</p> พลเทพ มณีวรรณ พรพรรณ หว้าคำ Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 50 62 ผลของการให้บริการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่อยู่ในการดูแลระยะกลาง บริบทหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/267307 <p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>แพทย์แผนไทยมีบทบาทในการบำบัด รักษาและฟื้นฟูสุขภาพ เป็นหนึ่งในบริการในโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการดูแลผู้ป่วยกับแพทย์แผนปัจจุบันและนักสหวิชาชีพอื่น ๆ จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการนวดไทยกับการรักษามาตรฐานในผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตก่อนหน้านี้ พบว่า การนวดไทยช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยให้ทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ยังไม่มีการศึกษาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะกลาง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลของบริการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่อยู่ในการดูแลระยะกลาง ของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบ One Group Pre – Post Test Design โดยนำเทคนิคทางแพทย์แผนไทย ประกอบด้วย การนวดไทยและการประคบสมุนไพร มาใช้ในการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะการดูแลระยะกลาง รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ โรคประจำตัว ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง การฟื้นฟูสมรรถภาพ และเก็บข้อมูลความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันโดยใช้ The Modified Barthel Activities of Daily Index (mBAI) ประเมินมุมการเคลื่อนไหว (Range of motion; <em>ROM</em>) ของข้อไหล่ด้านที่อ่อนแรง และประเมินระดับความปวดของไหล่ด้านที่อ่อนแรงโดยใช้ Numerical Pain Rating Scale และประเมินคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ โดยใช้แบบสอบถาม EQ-5D-5L (QOL) ฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังในตัวแปร Pain Scale, mBAI และ QOL โดยใช้สถิติ Wilcoxon’s signed rank test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: ผล</strong>การประเมินร่างกายก่อนและหลังการรับบริการทางแพทย์แผนไทยจำนวน 10 ครั้ง พบว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบว่าอาสาสมัครมีปัญหาการกลืนลดลงจากร้อยละ 55.56 เป็นร้อยละ 27.78 (p-value-=0.176) และปัญหาข้อไหล่ลดลงจากร้อยละ 38.89 เป็นร้อยละ 27.78 (p-value-=0.725) ส่วนผลการประเมินคะแนนความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน และคะแนนคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเพิ่มขึ้นจาก 7.17 ±4.73 คะแนน เป็น 12.83 ±7.00 คะแนน (p-value &lt;0.001) และจาก 40.33 ±22.74 คะแนน เป็น 76.77 ± 25.86 คะแนน (p-value &lt;0.001) ตามลำดับ ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยอาการปวดลดลงจาก 2.78 ±2.37 คะแนน เหลือ 1.89 ±1.81 คะแนนแต่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p-value 0.077)</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> การฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยบริการแพทย์แผนไทยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะการดูแลระยะกลางมีประสิทธิผลที่ดี ช่วยให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้มากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ควรส่งเสริมโรงพยาบาลให้มีบริการด้านนี้อย่างทั่วถึง</p> ทรงกต เผ่าสิงห์แก้ว Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-01 2024-09-01 16 2 63 74 ปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/272025 <p><strong>ความเป็นมา </strong><strong>: </strong>โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน (Acute pulmonary embolism, Acute PE) เป็นสาเหตุการตายที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 ของสาเหตุการตายจากภาวะหัวใจและหลอดเลือด จึงเป็นที่มาของการศึกษาเพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตเพื่อให้สามารถรักษาอย่างทันท่วงทีและการลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong> : </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน และ ภาวะการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ รวมถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุของภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong> : </strong><strong>:</strong> เป็นการศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน ที่เข้ารับการรักษาที่แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 ธันวาคม 2563</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong> : </strong>พบว่า มีผู้ป่วย PE จำนวน 140 คน ร้อยละ 15 เป็น Massive PE โดยมีโรคมะเร็งร่วมด้วยร้อยละ 40 การหายใจล้มเหลวร้อยละ 28 นอกจากนี้พบว่าผู้ป่วยมีลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเรื้อรังร้อยละ 5 และความดันในหลอดเลือดปอดสูง ร้อยละ 7 สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ 1 เดือนภายหลังจากได้รับการวินิจฉัยภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน โดย Multivariate analysis พบว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเสียชีวิต คือ การที่มีภาวะหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตเท่ากับ 7.58 เท่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR = 7.58, 95%CI = 2.27-25.29, P-value= 0.001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong> : </strong>ภาวะหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงในผู้ป่วยภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดเฉียบพลัน จึงควรมีการเฝ้าระวัง ป้องกัน และให้การรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างทันท่วงที</p> วรรณพร โรจนปัญญา ณัฏฐ์ณิชา พงศ์บางลี่ Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-01 2024-09-01 16 2 75 85 ประสิทธิผลของการให้แอสไพรินขนาด162 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษ ในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/271176 <p><strong>ความเป็นมา</strong> ภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นปัญหาสำคัญในช่วงของการตั้งครรภ์ และพบภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ทั้งมารดาและทารกหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ปัจจุบันทางการแพทย์แนะนำให้แอสไพรินขนาดต่ำ(60-150 มิลลิกรัมต่อวัน) เพื่อป้องกันการเกิดครรภ์เป็นพิษในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง หลายการศึกษาพบว่า การให้ขนาดแอสไพรินที่สูงกว่า81มิลลิกรัมต่อวันจะช่วยลดการเกิดครรภ์เป็นพิษในอายุครรภ์ก่อนกำหนดได้มากกว่า</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของการให้แอสไพรินขนาด 162 มิลลิกรัม เทียบกับขนาด 81 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong> ศึกษาวิจัยเชิงสถิติแบบย้อนหลัง (Retrospective Cohort study) โดยเก็บข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่มีความเสี่ยงสูงของภาวะครรภ์เป็นพิษ จากเวชระเบียนโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2566 โดยแบ่งเป็น 2กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับแอสไพรินขนาด 162 มิลลิกรัมและขนาด 81 มิลลิกรัมต่อวัน วิเคราะห์ข้อมูลลักษณะทั่วไปของหญิงตั้งครรภ์ อุบัติการณ์การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษโดยการใช้ Chi-square testและ T-test ตามความเหมาะสม เปรียบเทียบผลต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษและผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ระหว่าง 2 กลุ่ม ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบตัวแปรเดี่ยวและแบบหลายตัวแปร ด้วย Adjust relative risk แสดงช่วงความเชื่อมั่นที่95%CI และ p-value&lt;0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา </strong>หญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่มีความเสี่ยงสูงของภาวะครรภ์เป็นพิษ จำนวน 372 ราย มีกลุ่มที่ได้รับแอสไพรินขนาด 162 มิลลิกรัม และ 81 มิลลิกรัม จำนวน 182 ราย และ 190 ราย ตามลำดับ พบว่า อุบัติการณ์การเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษในทุกอายุครรภ์ของทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ แต่ในกลุ่มที่ได้รับแอสไพรินขนาด 162 มิลลิกรัม ลดอัตราการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษที่อายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ ร้อยละ 98 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อวิเคราะห์พหุหลายระดับ (relative risk 0.012 , 95%CI;0.00-0.21, p=0.001 ) และลดอัตราการคลอดก่อนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ ร้อยละ 84 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับแอสไพรินขนาด 81 มิลลิกรัมโดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (relative risk 0.16 , 95%CI;0.03-0.78, p=0.024 )</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ</strong> แนะนำการให้แอสไพรินขนาด 162 มิลลิกรัมต่อวันในหญิงตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษ เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดภาวะครรภ์เป็นพิษในกลุ่มอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ เพื่อลดทารกคลอดก่อนกำหนดจากมารดาที่เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษขึ้นในอายุครรภ์ก่อนกำหนด โดยไม่พบความแตกต่างของภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารก</p> เสาวนิตย์ อริยะดิบ Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-01 2024-09-01 16 2 86 95 อุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงในการดึงข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าให้เข้าที่ไม่สําเร็จ ในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/269372 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าเป็นประเภทการบาดเจ็บของข้อไหล่ที่พบได้บ่อย รักษาด้วยการดึงข้อไหล่ให้เข้าที่ ผู้ป่วยบางรายดึงข้อไหล่ไม่สำเร็จต้องดึงซ้ำในห้องผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบ อาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ เพิ่มอัตราการนอนโรงพยาบาลและการใช้ห้องผ่าตัด</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อหาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงของการดึงข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าให้เข้าที่ไม่สำเร็จที่ห้องฉุกเฉิน </p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>เป็นการศึกษารูปแบบ retrospective cohort study รวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากบันทึกเวชระเบียนตั้งแต่ช่วงเดือน มกราคม พ.ศ. 2561 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2565 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา, t-test, Fisher’s exact test, univariable risk regression analysis และ multivariable risk regression analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ข้อมูลผู้ป่วยข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าจำนวน 230 ราย อุบัติการณ์ของการดึงข้อไหล่ไม่สำเร็จ ร้อยละ 19.13 พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่มีผลในการดึงข้อไหล่ไม่สำเร็จ ได้แก่ การที่ผู้ป่วยมีกระดูกข้อไหล่หักร่วม (adjusted risk ratio: 1.88, 95% CI 0.96-3.69, p=0.027) และการที่ผู้ป่วยเคยทำการรักษาโดยการดึงข้อไหล่เข้าที่จากโรงพยาบาลอื่นแต่ไม่สำเร็จ (adjusted risk ratio: 2.42, 95% CI 1.412-4.13, p=0.002) การดึงข้อไหล่หลุดให้เข้าที่ซ้ำครั้งที่ 2-3 มีโอกาสดึงข้อไหล่สำเร็จร้อยละ 64</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ: </strong>สามารถพิจารณาดึงข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าให้เข้าที่ซ้ำครั้งที่ 2-3 หรือปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญกว่ากรณีดึงข้อไหล่หลุดให้เข้าที่ไม่สำเร็จ ผู้ป่วยที่มีกระดูกข้อไหล่หักร่วมกับข้อไหล่หลุดไปด้านหน้าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินภาพรังสีและพิจารณาดึงข้อไหล่หลุดให้เข้าที่ภายใต้การดมยาสลบในห้องผ่าตัด</p> รมิตา คูอาริยะกุล พศิน ตั้งจิตต์ ณัฐณิชา งามพสุธาดล นภนต์ วงศ์พูนพิริยา ปภาวรินท์ บุญยมโนนุกุล จินดารัตน์ แก้วเมือง นวพร อนันต์วรชัย ชานนท์ หาญสุทธิเวชกุล Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-01 2024-09-01 16 2 96 108 ปัจจัยที่บ่งบอกความสำเร็จในการยับยั้งการคลอดในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/268742 <p><strong>ความเป็นมา </strong>การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดสามารถนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านพัฒนาการของทารก</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาปัจจัยที่บ่งบอกความสำเร็จในการยับยั้งการคลอดในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา </strong>เก็บข้อมูลแบบ Retrospective cohort study จากฐานข้อมูลของโรงพยาบาลและเวชระเบียนของผู้ป่วยในช่วงตุลาคม พ.ศ.2565 ถึงกันยายน พ.ศ.2566 กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์เดี่ยวที่ได้รับการยับยั้งการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดได้สำเร็จและกลุ่มที่ยับยั้งการคลอดไม่สำเร็จ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา univariable และ multivariable logistic regression กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p &lt; 0.05</p> <p><strong>สรุปผลและข้อเสนอแนะ </strong>อายุมารดาน้อยกว่า 35 ปี ความบางของปากมดลูกน้อยกว่าร้อยละ 50 และการเปิดของปากมดลูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เซนติเมตร เป็นปัจจัยที่บ่งบอกความสำเร็จในการยับยั้งการคลอดในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด จึงควรมีการให้ความรู้เรื่องอาการเจ็บครรภ์แก่หญิงตั้งครรภ์ทุกคนโดยเฉพาะในกลุ่มหญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี และให้ได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์</p> จิตรากานต์ เจริญบุญ ณัฐพร สถาพรธีระ จรณินท์ อินสอน ณภัทร ศรีศุจิกุล พฤฒพล เดชมนต์ พิชญุตม์ ภิราษร ไมตรี แซ่ลี จักรภัทร จันทะสิงห์ Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-01 2024-09-01 16 2 109 116 การพบเชื้อ Neisseria meningitidis serogroup B ที่ดื้อต่อยา ciprofloxacin ในการระบาดของโรคในเรือนจำจังหวัดน่าน: รายงานกลุ่มผู้ป่วย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/270032 <p>โรคไข้กาฬหลังแอ่นเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ <em>Neisseria meningitidis</em> ซึ่งอาศัยอยู่ที่เยื่อบุผิวบริเวณลำคอของคนได้โดยไม่ก่อโรค โดยเชื้อจะสามารถเข้าผ่านเข้าเยื่อบุของร่างกาย เข้าสู่กระแสเลือดทำให้ติดเชื้อลุกลามได้ ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้ออยู่ในร่างกายจัดเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ การให้ยาฆ่าเชื้อหลังสัมผัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งจำเป็น และควรทำอย่างเร่งด่วน ยาที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้คือ ciprofloxacin และยา rifampicin โดยยา ciprofloxacin เป็นยาที่นิยมใช้มากกว่า เนื่องจากเป็นยาที่หาง่าย รับประทานง่าย เพียงครั้งละ 1 เม็ด และมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยาต่ำ อย่างไรก็ตามมีรายงานการเกิดเชื้อ <em>Neisseria meningitidis</em> ที่ดื้อต่อยา ciprofloxacin มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายงานกลุ่มผู้ป่วยฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงข้อมูลด้านอาการ อาการแสดง ผลเพาะเชื้อทางห้องปฏิบัติการ และความไวต่อยาของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ <em>Neisseria meningitidis</em> ที่ดื้อต่อยา ciprofloxacin จากสถานการณ์การระบาดในเรือนจำจังหวัดน่าน</p> Thanyarak Wongkamhla Copyright (c) 2024 เชียงรายเวชสาร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-31 2024-08-31 16 2 117 124