https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/issue/feed
เชียงรายเวชสาร
2025-08-21T00:00:00+07:00
ผศ.(พิเศษ) ภญ. สุภารัตน์ วัฒนสมบัติ
tacream@hotmail.com
Open Journal Systems
<p>เชียงรายเวชสาร เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และงานวิจัยแก่ผู้ที่อยู่ในวงการสาธารณสุข รับบทความภาษาไทย ที่มีบทคัดย่อเป็นภาษาอังกฤษ หรือบทความภาษาอังกฤษที่ให้ความรู้ใหม่ในการนำไปพัฒนางาน บทความมีผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ในการพิจารณากลั่นกรองก่อนลงตีพิมพ์ (double-blind peer review) </p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/276594
ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการพบหลอดเลือดหัวใจปกติ ในผู้ป่วยที่เข้ารับการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ
2025-03-10T13:52:50+07:00
ธนภัทร เตชอังกูร
natnichacardio@gmail.com
พิชชากร จิตติจารุ
natnichacardio@gmail.com
เนตรชนก ละอองนวลพานิช
natnichacardio@gmail.com
บุญชิตา ปีติพัฒนพันธ์
natnichacardio@gmail.com
สุวพิชญ์ อนันต์ชัยพัทธนา
natnichacardio@gmail.com
สิรดนัย อินทร์มะณี
natnichacardio@gmail.com
ณัฏฐ์ณิชา พงศ์บางลี่
natnichacardio@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ เป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ก็เป็นหัตถการที่มีความรุกล้ำและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การคัดเลือกผู้ป่วยอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการตรวจที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ลดค่าใช้จ่าย และลดภาระของทีมบุคลากรทางการแพทย์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการพบหลอดเลือดหัวใจปกติในผู้ป่วยเข้ารับการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งมีนัดหมายการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจประเภทไม่เร่งด่วนที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วย 122 ราย ที่เข้ารับการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจประเภทไม่เร่งด่วน พบเป็นเพศชายร้อยละ 61.5 และมีอายุเฉลี่ย 63.5 ปี โดย ร้อยละ 36.1 มีหลอดเลือดหัวใจปกติ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการพบหลอดเลือดหัวใจปกติอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ เพศหญิง (adjusted OR 6.20; 95% CI 2.03–18.94, p=0.001) อายุน้อยกว่า 60 ปี (adjusted OR 3.08; 95% CI 1.07–8.85, p=0.037) ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติชนิดห้องหัวใจขยาย (dilated cardiomyopathy) (adjusted OR 14.64; 95% CI 2.90–73.94, p=0.001) และการไม่มีภาวะไขมันในเลือดสูง (adjusted OR 5.27; 95% CI 1.54–18, p=0.008)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>ผู้ป่วยที่เข้ารับการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจประเภทไม่เร่งด่วน มีความชุกของผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดหัวใจปกติร้อยละ 36.1 โดยพบว่าผู้ป่วยเพศหญิง อายุน้อยกว่า 60 ปี มีภาวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ และไม่มีโรคไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยสัมพันธ์กับการพบเส้นเลือดหัวใจปกติ อาจพิจารณาตรวจผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวด้วยวิธีการที่ไม่รุกล้ำเพื่อลดการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจที่ไม่จำเป็น ลดความเสี่ยงต่อผู้ป่วยและลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์</p>
2025-08-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/276715
การประเมินผลการพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน แบบผู้ป่วยในที่บ้านโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย
2025-02-18T13:22:05+07:00
ชัชวาล ตั๋นคำ
chuttunk@gmail.com
ปุณญณิน เขื่อนเพ็ชร์
Chuttunk@gmail.com
วุฒิชัย ก้อนแปง
chuttunk@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น จึงมีการพัฒนาระบบการดูแลแบบผู้ป่วยในที่บ้าน ภายใต้การสนับสนุนของทีมสุขภาพร่วมกับครอบครัวและชุมชน เพื่อตอบสนองความจำเป็นด้านการรักษา และลดอัตราครองเตียงของผู้ป่วยในระบบบริการสุขภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินผลการพัฒนาระบบดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันแบบผู้ป่วยในที่บ้าน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยประเมินผล (Evaluation Research) ศึกษาในบุคลากรโรงพยาบาลพาน จำนวน 9 รายและกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการดูแลแบบผู้ป่วยในที่บ้าน โรงพยาบาลพาน จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2566 -30 กันยายน พ.ศ. 2567 จำนวน 235 ราย ประเมินผลภายใต้กรอบแนวคิด CIPP Model 4 ด้าน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามบุคลากรตามกรอบแนวคิด CIPP Model แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วยโรคเบาหวาน การประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกอ้างอิงจากข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบ HOSxP และระบบ DMS Home ward สถิติที่ใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบ</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>พบว่า ด้านบริบท มีความสอดคล้องกับนโยบายและสถานการณ์ปัญหาสุขภาพของโรงพยาบาลด้านปัจจัยนำเข้า มีการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกระดับ ทั้งด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ บุคลากร อุปกรณ์ด้านกระบวนการพัฒนา ประยุกต์ใช้แนวคิด Chronic care model 6 องค์ประกอบ ด้านผลผลิต พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมทุกด้าน ระดับมาก (𝑥̅ =4.30, S.D.=0.54) โดย พบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยเบาหวาน มีความพึงพอใจในระบบบริการ ระดับมากที่สุด (𝑥̅ =4.56, S.D.=0.61) ด้านผลลัพธ์ทางคลินิก พบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยเบาหวานมีค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือด (DTX) ก่อนและหลังจำหน่ายออกจากระบบ Home ward ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ก่อนและหลังจำหน่ายออกจากระบบ 3 เดือน หรือ 6 เดือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) จากการเปรียบเทียบข้อมูล ปี 2566 – 2567 พบภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันในผู้ป่วยเบาหวานลดลงจากร้อยละ 3.93 เป็น ร้อยละ 2.63 อัตราครองเตียงลดลงจาก ร้อยละ 84.56 เป็น ร้อยละ 78.25</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>การดูแลแบบผู้ป่วยในที่บ้าน ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานมีผลลัพธ์ทางคลินิกดีขึ้น ลดอัตราครองเตียงและภาวะแทรกซ้อน ควรบูรณาการระบบ Home ward เข้ากับบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ เพื่อให้มีบทบาทร่วมในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน</p> <p> </p>
2025-08-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/280579
การพัฒนาระบบเฝ้าระวัง และติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสีในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารี
2025-06-27T19:37:14+07:00
ต่อพงษ์ วัฒนสมบัติ
twattanasombat@gmail.com
โอษิษฐ์ บำบัด
twattanasombat@gmail.com
ภานุพงศ์ เวียงนาค
twattanasombat@gmail.com
ธพรรษ สมนา
twattanasombat@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong>การตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารีด้วยสารทึบรังสี หรือการสวนหัวใจเป็นหัตถการที่สําคัญในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่พบว่าผู้ป่วยบางรายอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ภาวะแพ้สารทึบรังสี และภาวะไตวายเฉียบพลันจากสารทึบรังสี การพัฒนาระบบติดตามความปลอดภัยจึงมีความจําเป็น เพื่อเฝ้าระวัง วิเคราะห์ ติดตามและวางมาตรการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสี ในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารี และศึกษาผลของระบบที่พัฒนาขึ้นต่อผู้ป่วยและความคิดเห็นของผู้ร่วมวิจัย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยใช้กรอบแนวคิดของเคมมิสและแม็กแท็กการ์ท ในการพัฒนารูปแบบระบบเฝ้าระวังและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสีในผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารีในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จากนั้นนํารูปแบบไปทดลองใช้ และวัดผลลัพธ์กับผู้ป่วย และความคิดเห็นของผู้ร่วมวิจัย การศึกษานี้จัดทําขึ้นระหว่าง1 ธันวาคม 2567 ถึง30 มิถุนายน 2568</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ในระบบที่พัฒนาขึ้น เภสัชกรเพิ่มบทบาทในการประเมินความเสี่ยง และการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสี หลังตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารี การติดตามหลังพัฒนาระบบฯ ในผู้ป่วย 62 ราย พบอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสี 2 ราย (ร้อยละ 3.23) โดยร้อยละ 1.61 เกิดอาการผิดปกติในระบบผิวหนังแบบล่าช้า ความรุนแรงจัดอยู่ในระดับปานกลาง และพบอาการผิดปกติทางไตในผู้ป่วยร้อยละ 1.61 ค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นต่อรูปแบบหลังการพัฒนามากกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (ผลต่างค่าเฉลี่ย -0.35; 95%CI -0.92 ถึง –0.17, p=0.002)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การเฝ้าระวังและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากสารทึบรังสี ในผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจสวนเส้นเลือดหัวใจโคโรนารีอย่างเป็นระบบ ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงช่วยให้การติดตามอุบัติการณ์ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จึงควรนําไปใช้ และขยายผลต่อไปยังผู้ป่วยที่ได้รับสารทึบรังสีกรณีอื่นๆ รวมถึงขยายระบบสู่การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ ต่อไป</p>
2025-08-21T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/279102
ลักษณะและพฤติกรรมของการใช้ยาป้องกันเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสโรค (เพร็พ) ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย จังหวัดเชียงราย
2025-06-09T13:04:10+07:00
วิทยา สอนเสนา
wittayaaun@hotmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ยาป้องกันเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสโรค (เพร็พ) เป็นวิธีป้องกันเชื้อเอชไอวีโดยให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงจึงต้องมีการติดตามพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาลักษณะและพฤติกรรมของการใช้เพร็พในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายจังหวัดเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 188 คน ระหว่าง 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2567 โดยใช้เทคนิคสโนว์บอลใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น (CVI=0.94, Cronbach’s Alpha=0.92) จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ และ ร้อยละเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ลักษณะและพฤติกรรมการใช้เพร็พ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่าง 140 คน (ร้อยละ 74.47) มีการรับประทานนาเพร็พแบบรับประทานทุกวัน ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 มีพฤติกรรมการกินยาเพร็พทุกวันและ ร้อยละ 65 ไม่เคยลืมกินยาเพร็พ กลุ่มตัวอย่างที่รับประทานยาเพร็พแบบเฉพาะช่วง 48 คน (ร้อยละ 25.53) พบว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.17 ทานยาครบตามรูปแบบ 2-1-1 และการใช้ถุงยางอนามัยขณะใช้เพร็พในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (188 คน) พบว่า ร้อยละ 39.89 มีการใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ พฤติกรรมการรับประทานยาเพร็พ ส่วนใหญ่ 141 คน (ร้อยละ 75) อยู่ในระดับดี และ 47 คน อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 25) และไม่มีกลุ่มตัวอย่างในระดับต่ำ</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>ควรส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงบริการเพร็พอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนพฤติกรรมการใช้ยาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มเสี่ยงและบรรลุเป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ในระดับจังหวัดได้อย่างยั่งยืน</p> <p> </p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/277000
ฤดูกาลและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในอำเภอเมืองเชียงราย: การศึกษาจากการทบทวนเวชระเบียนย้อนหลัง 3 ปี
2025-03-22T20:23:48+07:00
จิราภา พู่เจริญ
jira.fang@gmail.com
เรืองนิพนธ์ พ่อเรือน
jira.fang@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>จากการศึกษาหลายประเทศพบว่า ฤดูกาลที่อากาศเย็นสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (HS) ซึ่งมีการพยากรณ์โรคที่แย่กว่าชนิดสมองขาดเลือด (IS) โดย HS ยังสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม เชียงรายไม่มีการศึกษาที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาลกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ข้อมูลที่ได้รับจะช่วยให้เข้าใจปัจจัยเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค และช่วยในการวางแผน ส่งเสริม ป้องกันการเกิดโรคได้อย่างเหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบอิทธิพลของฤดูกาลและความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในอำเภอเมืองเชียงราย</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาพตัดขวางย้อนหลัง เก็บข้อมูลจากฐานข้อมูล ICD-10 (I60-I66) ระหว่าง 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2565 นำเสนอข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนาและใช้ Multivariable Logistic Regression Analysis วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของโรคหลอดเลือดสมองกับฤดูกาล และปัจจัยเสี่ยง กำหนดระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ p<0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิด HS มากกว่า IS ได้แก่ กลุ่มอายุ < 65 ปี โรคความดันโลหิตสูงและการดื่มแอลกอฮอล์ โดย AOR เท่ากับ 1.64 (95% CI 1.17–2.32, p=0.005), 4.11 (95% CI 2.83–5.98, p<0.001) และ 1.47 (95% CI 1.00–2.16, p=0.048) ตามลำดับ ส่วนฤดูกาลไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การเกิดโรคหลอดเลือดสมองไม่สัมพันธ์กับฤดูกาล ส่วนกลุ่มอายุ < 65 ปี โรคความดันโลหิตสูง และการดื่มแอลกอฮอล์ สัมพันธ์กับการเกิด HS มากกว่า IS โดยข้อเสนอแนะของการศึกษานี้อาจวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายเดือน และพิจารณาปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นเพิ่มเติม เช่น อุณหภูมิและมลพิษทางอากาศ เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลกับการเกิดโรคและปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/276888
ประสิทธิผลของการสปาตาเพื่อลดอาการตาแห้งและเปลือกตาอักเสบ ในคลินิกตา โรงพยาบาลดารารัศมี
2025-02-11T15:02:51+07:00
แวว ขัตติพัฒนาพงษ์
waeo_aha@hotmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>โรคตาแห้ง ภาวะต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันและเปลือกตาอักเสบเป็นโรคทางจักษุที่พบบ่อยในแผนกผู้ป่วยนอกผู้ป่วยมักมีอาการแสบตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล มีขี้ตามาก หรือ อาการอาจรุนแรงจนมีผลกระทบให้เยื่อบุตาอักเสบ เปลือกตาอักเสบกุ้งยิง และกระจกตาอักเสบได้ โดยภาวะต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน (Meibomian gland dysfunction, MGD) เกิดจากการอุดตันบริเวณบริเวณรูเปิดของต่อม ทำให้น้ำมันออกจากท่อได้ยากและลดลงทำให้ชั้นไขมันของน้ำตาไม่คงตัว เสียสมดุลของฟิล์มน้ำตา ส่งผลให้น้ำตาระเหยเร็วกว่าปกติจนเกิดโรคตาแห้งได้ การดูแลเปลือกตาด้วยการประคบอุ่น และทำความสะอาดบริเวณขอบตาที่เป็นรูเปิดของต่อมไขมันที่เปลือกตามีผลช่วยลดการดำเนินของโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการสปาตา ต่ออาการตาแห้งและเปลือกตาอักเสบ ในผู้ป่วยคลินิกตา โรงพยาบาลดารารัศมี</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยกึ่งทดลองโดยเก็บข้อมูลย้อนหลัง (retrospective quasi - experimental research) ในกลุ่มผู้ป่วยโรคตาแห้ง โรคต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันและเปลือกตาอักเสบที่เข้ารับการทำสปาตา ในคลินิกตา โรงพยาบาลดารารัศมี ด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย จำนวน 59 ราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลการรักษาจากฐานข้อมูลโรงพยาบาล สอบถามความพึงพอใจและคุณภาพชีวิตก่อนและหลังการทำสปาตาย้อนหลัง โดยใช้แบบสอบสอบถามเกี่ยวกับอาการทางตาและชีวิตประจำวัน (Dry Eye–Related Quality – of – Life score, DEQS-Th) นำมาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรม Stata 18</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มตัวอย่าง 59 ราย ได้รับการทำสปาตาเฉลี่ยรายละ 4 ครั้ง มีคุณภาพชีวิตที่สัมพันธ์กับตาแห้งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) มีความพึงพอใจที่ได้ทำสปาตา (p<0.001) นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยสูตรยาที่มีจำนวนลดลง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคทางจักษุลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br />(p=0.020 และ <0.001 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>การทำสปาตาช่วยลดความรุนแรงของโรคตาแห้ง โรคต่อมไขมันเปลือกตาอุดตันและเปลือกตาอักเสบส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาลดลง และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/277279
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำตาลต่ำในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า: การศึกษาย้อนหลัง 5 ปี
2025-03-24T13:58:30+07:00
นันทิชา นันทวาศ
nunticha229314@gmail.com
อาจหาญ กาญจนาอังกูร
nunticha229314@gmail.com
เรืองนิพนธ์ พ่อเรือน
nunticha229314@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในผู้ป่วยเบาหวานสามารถรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยกลัวการใช้ยาฉีดเบาหวาน ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานตามมา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำที่ต้องนอนโรงพยาบาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการรักษาด้วยยาฉีดอินซูลินในโรงพยาบาลเวียงป่าเป้า</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>ศึกษาแบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง (retrospective case control study) ย้อนหลัง 5 ปี วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test และ chi-square test หาความสัมพันธ์ของโดยใช้ multiple logistic regression analysis และตัดตัวแปรแบบ backward elimination</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>พบว่า ในตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562–2566 มีผู้ป่วยเบาหวานที่นอนโรงพยาบาลด้วยภาวะน้ำตาลต่ำจากยาฉีดอินซูลิน 248 คน พบว่าปัจจัยที่ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้แก่ เพศหญิง (AOR 0.508, 95% CI 0.36-0.84, p=0.005) ระดับการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาขึ้นไป (AOR 0.246, 95% CI 1.12-0.49, p<0.001) ดัชนีมวลกายที่มากกว่า 18.5 kg/m<sup>2</sup> (AOR 0.334, 95% CI 0.90-20.38, p=0.001) โรคไขมันในเลือดสูง (AOR 0.435, 95% CI 0.27-0.69, p<0.001) และโรคไตจากเบาหวาน (AOR 0.143 , 95% CI 0.03-0.52, p=0.004) ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง (AOR 2.37, 95% CI 1.38-4.06, p=0.002) โรคหลอดเลือดสมอง (AOR 2.329, 95% CI 1.03-5.24, p=0.041) และยาชนิด Aspart (NovoMix) INJ 300IU/3mL (AOR 4.98, 95% CI 2.00-12.38, p=0.001)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>ปัจจัยที่สัมพันธ์การเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา ดัชนีมวลกาย โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง และการได้รับยาฉีดอินซูลินชนิด Aspart ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรมีการเฝ้าระวัง และการแนะนำในการปฏิบัติตนต่อไป</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/276294
ประสิทธิภาพของการแจ้งผลตรวจเลือดด้วยแผนภูมิเส้นแสดงแนวโน้มในการลดระดับน้ำตาลสะสมในเลือดและไขมันชนิดแอลดีแอลในผู้ป่วยเบาหวาน
2025-03-10T14:07:57+07:00
ปรัชญา ศรีสุวรรณ์
pratya10@gmail.com
วิชญา วนิชกุลวิริยะ
pratya10@gmail.com
เรืองนิพนธ์ พ่อเรือน
pratya10@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา: </strong>โรคเบาหวานที่คุมได้ไม่ดีทําให้เพิ่มอัตราการเสียชีวิต ในประเทศไทยนิยมใช้วิธีแจ้งผลระดับน้ําตาลสะสมในเลือด (HbA1c) และไขมันชนิดแอลดีแอล (direct LDL) ด้วยวาจา การแจ้งผลด้วยแผนภูมิเส้นแสดงแนวโน้มในผู้ป่วยเบาหวานเป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ยังไม่เคยมีการทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการแจ้งผลเลือดทั้ง 2 วิธี</p> <p><strong> วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อหาประสิทธิภาพของการแจ้งผลเลือดด้วยวาจากับการแจ้งผลด้วยแผนภูมิเส้นแสดงแนวโน้มในการลดระดับ HbA1cและ direct LDL ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ศึกษาแบบ open-label randomized controlled trials ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่โรงพาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ในจังหวัดเชียงรายแบ่งกลุ่มโดยการสุ่ม 2 กลุ่ม คือ แจ้งผลเลือดด้วยแผนภูมิเส้นฯ และแจ้งด้วยวาจา แต่ละกลุ่มจะได้รับการตรวจ และแจ้งผลเลือด 2 ครั้ง คือ ณ วันที่เข้าร่วม และ 3 เดือนถัดไป เปรียบเทียบประสิทธิภาพด้วยระดับ HbA1c, direct LDL ที่ 0 –3 และ 0 -6 เดือน ด้วย mean difference ใช้สถิติ paired t-test และ independent t-testผลการศึกษา:ผู้เข้าร่วม 120 คน มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ 98 คน ข้อมูลพื้นฐานและระดับ HbA1cและdirect LDL เริ่มต้นของผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกันทางสถิติ เมื่อสิ้นสุดเดือนที่6 พบว่า ความแตกต่างของการลดระดับ HbA1cและ direct LDL จากการแจ้งผลด้วยแผนภูมิเส้นฯ และด้วยวาจา ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ [HbA1c: ความแตกต่างเฉลี่ย -0.04 (95% CI -0.25 ถึง 0.16), p=0.661 ; direct LDL: ความแตกต่างเฉลี่ย 4.33 (95% CI -4.76 ถึง 13.41), p=0.347] อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่ได้รับการแจ้งผลด้วยแผนภูมิแบบเส้น ระดับ HbA1c ลดลงจากค่าเริ่มต้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ [การเปลี่ยนแปลงเฉลี่ย -0.14 (95% CI -0.25 ถึง -0.04), p=0.010]</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> ทั้ง 2 วิธีมีประสิทธิภาพในการลดระดับ HbA1c และ direct LDL ได้ไม่แตกต่างกันทางสถิติ การแจ้งด้วยแผนภูมิเส้นฯ สามารถลดระดับ HbA1c ได้มากกว่าเล็กน้อย สามารถใช้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควบคุมระดับ HbA1c และ direct LDL ได้ดียิ่งขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/278595
การศึกษาผลของการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของยีน BRCA ในผู้ที่มีข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม: การศึกษาเชิงพรรณนา โรงพยาบาลน่าน
2025-06-29T09:51:14+07:00
เสาวนีย์ จิณะไชย
Soawanee2320@gmail.com
กาญจนา สาใจ
kanjana.s@bcnpy.ac.th
เยาวเรศรัศ เขื่อนจันธนลาภ
yowak28@gmail.com
สุภาภรณ์ นันตา
supaporn.n@bcnpy.ac.th
ธาณี กล่อมใจ
thanee@bcnpy.ac.th
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>มะเร็งเต้านมมีอัตราการเกิดสูงขึ้นในแต่ละปี เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร การกลาย พันธุ์ทางพันธุกรรมในยีน BRCA1 และ BRCA2 เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม และถ่ายทอดไปสู่รุ่นถัดไปได้ การตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมสามารถช่วยค้นหาบุคคลที่เสี่ยงสูงเพื่อให้ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดและลดความเสี่ยงในระยะเริ่มต้น ในประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้สนับสนุนให้มีการตรวจ BRCA ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงและญาติสายตรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังและลดอุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของยีน BRCA ที่มีข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา ในกลุ่มผู้ที่มีข้อบ่งชี้ของการส่งตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม BRCA1 และ BRCA2 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน่าน จำนวน 125 คน ที่ได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยการถอดรหัสพันธุกรรมด้วยวิธี next generation sequencing ดำเนินการในช่วง 1 สิงหาคม 2567- 31 มกราคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลเป็นความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>กลุ่มผู้ที่มีข้อบ่งชี้การตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมทั้งหมด 125 ราย เป็นเพศหญิง จำนวน 122 ราย เพศชายจำนวน 3 ราย อายุเฉลี่ย 51.88±11.76 ปี เป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จำนวน 116 ราย เป็นญาติสายตรง 9 ราย ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปฏิเสธการตรวจหาความผิดปกติของยีน BRCA 2 ราย และได้รับการตรวจ<br />คัดกรองการกลายพันธุ์ 114 ราย (ร้อยละ 98.28) พบเซลล์ไม่กลายพันธุ์ 90 ราย (ร้อยละ 78.95) ผลไม่ชัดเจน 16 ราย (ร้อยละ 14.04) และผลการกลายพันธุ์ 8 ราย (ร้อยละ 7.02) โดยกลายพันธุ์ในตำแหน่ง BRCA1 4 ราย BRCA2 4 ราย ในกลุ่มญาติสายตรงได้รับการตรวจคัดกรอง 6 ราย พบการกลายพันธุ์ 2 รายในตำแหน่ง BRCA1 และทั้งสองรายได้รับการวินิจฉัยในภายหลังว่า เป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>การตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของยีนมีประโยชน์ในการค้นหาความผิดปกติแม้ยังไม่มีอาการผิดปกติ ดังนั้นควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์ และศึกษาเชิงลึกถึงปัจจัยการตัดสินใจเข้ารับการตรวจหรือปฏิเสธการตรวจทั้งในผู้ป่วยเองและญาติสายตรง</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/277872
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยเครือข่ายสุขภาพโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
2025-05-22T13:59:13+07:00
อมรรัตน์ วิริยะประสพโชค
amornratt08@gmail.com
พิไลวรรณ ยอดประสิทธิ์
amornratt08@gmail.com
ภมรศรี อินทร์ชน
amornratt08@gmail.com
สิริมาดา สุขสวัสดิ์
amornratt08@gmail.com
นิศานาถ ใจบุญเรือง
amornratt08@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยวัณโรคมีผลสำเร็จการรักษาไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน ขาดการรักษาและเสียชีวิต จากการรักษาล่าช้า ขาดความตระหนัก และการมีส่วนร่วมของชุมชน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน โดยเครือข่ายสุขภาพโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และศึกษาผลลัพธ์การพัฒนาตามแนวคิดการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม รวมทั้งทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>มีกระบวนการพัฒนา 4 ระยะ ได้แก่ 1) สนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูล 2) พัฒนารูปแบบ 3) พัฒนาสมรรถนะเครือข่าย เผยแพร่รูปแบบ นิเทศกำกับ 4) ประเมินผลลัพธ์ จากการใช้รูปแบบ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เป็นเครือข่ายสุขภาพจำนวน 20 ราย ผู้ป่วยวัณโรคขึ้นทะเบียนรักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ก่อนและหลังพัฒนารูปแบบ กลุ่มละ 103 ราย ดำเนินการ 1 ธันวาคม 2566 – 31 ตุลาคม 2567 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบบันทึกข้อสรุปแก้ไขปัญหาจากสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย ผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วย การคัดกรองผู้สัมผัสร่วมบ้านการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจสังคม ประเมินความพึงพอใจเครือข่ายในด้านความรู้ปฏิบัติตามรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Chi-square, t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน ประกอบด้วย แนวทางการเยี่ยมบ้าน การคัดกรองผู้สัมผัสร่วมบ้าน และการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสังคม ผลลัพธ์การใช้รูปแบบการดูแลผู้ป่วย มีผลสำเร็จการรักษาเพิ่มขึ้น เสียชีวิตลดลง ไม่มีการขาดการรักษา แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.082, 0.530, 0.121) เครือข่ายมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นด้านความรู้ การส่งต่อ ความครอบคลุมข้อมูล และการให้คำปรึกษา (p<0.001) เยี่ยมบ้านได้ตามรูปแบบความทันเวลาร้อยละ 100 ความครอบคลุมร้อยละ 89.36 จากการเสียชีวิตก่อนรักษาครบ คัดกรองผู้สัมผัสร่วมบ้านและช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสังคมได้เพิ่มขึ้น</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมกับการดูแลป่วยวัณโรคในชุมชน สามารถเพิ่มคุณภาพการพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยมีผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้น ควรพัฒนาคุณภาพการคัดกรองวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังให้ครอบคลุมมากขึ้น จากอัตราตายที่ยังพบมากในกลุ่มโรคเรื้อรังที่มีอาการรุนแรง เข้าสู่การรักษาวัณโรคช้า</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/crmjournal/article/view/277906
ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อลดภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยไตเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
2025-04-04T09:47:51+07:00
ศิริกุล เหลี่ยมศิริวัฒนา
siri3942@gmail.com
กันต์ธีทัต ตันประดิษฐ์
kanthitat_tan@hotmail.com
สมศรี ทาทาน
somsri.t@bcnpy.ac.th
อรัญญา นามวงศ์
arunya.n@bcnpy.ac.th
ปุณชณีมาศ จินต์วิเศษ
jp.pang27@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>: </strong>ภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยไตเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยในระยะยาว</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมในการจัดการตนเองเพื่อลดภาวะความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยไตเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว ศึกษาในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จำนวน 30 คน ดำเนินการระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเอง และความรู้เกี่ยวกับการควบคุมความดันโลหิตสูง ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม ใช้สถิติที (paired t-test) และเปรียบเทียบค่าความดันโลหิตก่อนและหลัง ใช้สถิติวิลคอกสัน (Wilcoxon matched pairs signed rank test)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง ผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองและความรู้ในการควบคุมความดันโลหิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (47.90±3.41 v.s. 65.90±2.22, p<0.001 และ 7.53±1.19 v.s. 10.83±1.26, p<0.001 ตามลำดับ) และค่าเฉลี่ยของความดันซิสโตลิค และความดันไดแอสโตลิค ลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (155.87±6.34 v.s. 150.40±8.54, p<0.001 และ 79.23±6.76 v.s.77.10±5.12, p=0.028 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการจัดการตนเองมีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ควรส่งเสริมให้โปรแกรมดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นแนวทางมาตรฐานในการพยาบาล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ด้วยตนเอง ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เชียงรายเวชสาร