ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin
<p><strong>ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์</strong></p> <p>ISSN 2985-2900 (Online)</p> <p>ISSN 1906-6813 (print) (ยกเลิก)</p> <p>ISSN 2730-2342 (online) (ยกเลิก)</p> <p><strong>กำหนดออก:</strong> 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์: </strong> วารสารมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการด้านการพยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษา</p> <p><strong>ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566</strong></p> <p> </p>
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
th-TH
ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
2985-2900
<p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ </p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ก่อนเท่านั้น</p>
-
ความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นหญิง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278936
<p>การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจการทำนายระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นหญิง กลุ่มตัวอย่างคือ วัยรุ่นหญิงในชุมชนเขตนอกเมือง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 98 คน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรสำหรับวัยรุ่นหญิง ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเองการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง และพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร หาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ได้ค่า 0.89, 0.95, 0.96, 0.85, 0.92, 0.96 และ 0.80 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติความสัมพันธ์ และสถิติสมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพ การสื่อสารเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ และการจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของตนเอง มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>< .001 ส่วนการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>< .01 โดยความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพ และการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้ร้อยละ 36.1 (R<sup>2</sup>=0.361, F=26.820, <em>p</em>=.000) จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า บุคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรจัดกิจกรรมหรือโปรแกรมโดยเน้นส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจทางสุขภาพและการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร</p> <p> </p>
ชัชฎาพร จันทรสุข
กุสุมล แสนบุญมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-07
2025-12-07
15 2
1
17
-
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเองของประชากรเพศหญิง อำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278869
<p>โรคมะเร็งเต้านมพบบ่อยในเพศหญิง รักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น การศึกษาวิจัยแบบเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ประชากรคือประชาชนเพศหญิงที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม อาศัยอยู่ในอำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป จำนวน 5,392 คน กลุ่มตัวอย่างคือหญิงอายุ 30–70 ปี สุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จำนวน 836 ราย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพโรคมะเร็งเต้านม และแบบสอบถามพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ด้วยวิธีการคลำเต้านมตนเองย้อนหลัง 6 เดือน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาได้ค่า ระหว่าง 0.67 ถึง 1.00 ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ หาค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาค ได้ค่า 0.96 เก็บข้อมูลเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการถดถอยลอจิสติกพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม โดยรวมอยู่ในระดับดีขึ้นไป ร้อยละ 75.72 พฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ร้อยละ 84.45 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><.05) ได้แก่ อายุ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพประจำปี การเคยได้รับการตรวจเต้านมจากบุคลากรทางการแพทย์ การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม และระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ และความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรค ข้อเสนอแนะ หน่วยงานสาธารณสุขควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ สนับสนุนการออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพ เพื่อกระตุ้นให้สตรีมีพฤติกรรมตรวจเต้านมด้วยตนเองมากขึ้น</p>
อรุณี ขุมทอง
กฤติยาณี ธรรมสาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-07
2025-12-07
15 2
18
36
-
ผลของโปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายต่อความปวด และภาวะท้องอืด ในมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278677
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่ม วัดผลหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายต่อ ความปวด และภาวะท้องอืด ในมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยเป็นมารดาผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง จำนวน 118 ราย แบ่งออกเป็น กลุ่มควบคุม 59 คน และกลุ่มทดลอง 59 คน เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมความสุขสบายมารดาหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ประกอบด้วย แผนการส่งเสริมความสุขสบายด้านร่างกาย ด้านจิตวิญญาณ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และคู่มือส่งเสริมความสุขสบายหลังผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบบันทึกความปวด 3) แบบประเมินภาวะท้องอืด ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า 0.84, 0.80, 0.92 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบประเมินภาวะท้องอืด ได้ค่า .87 ทดสอบการวัดซ้ำของแบบบันทึกคะแนนความปวดได้ .80 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป ด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียความปวดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วยสถิติทีอิสระ</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความปวด คะแนนเฉลี่ยภาวะท้องอืด 24 และ 48 ชั่วโมงต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < .001) ข้อเสนอแนะ พยาบาลในหอผู้ป่วยหลังคลอดควรนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้ในการดูแลมารดาหลังผ่าตัดคลอด เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด และเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p>
อนุตร์ธิดา ศรีศักดิ์นอก
อุมาภรณ์ กั้วสิทธิ์
กชพร สิงหะหล้า
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-07
2025-12-07
15 2
37
52
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปาก ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278400
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือวิจัย แบ่งออกเป็น 1) เครื่องมือในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและทันตสุขภาพ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรม และแบบสอบถาม ได้ค่า 0.92, 0.86 ตรวจสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้ค่า 0.76 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพและทันตสุขภาพ สูงกว่าก่อนการทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.001) ค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และดัชนีสภาวะเหงือกค่าน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1C) ต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.001) ค่าน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยสะสม (HbA1C) กลุ่มทดลองต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากมีประสิทธิผลในการส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและพัฒนาสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จึงควรบูรณาการโปรแกรมดังกล่าวในหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ พร้อมติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินความยั่งยืนของพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย</p>
ชูชัย ชื่นบาน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-08
2025-12-08
15 2
53
69
-
ผลของชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่และการพัฒนาสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่และครอบครัวปลอดบุหรี่ของนักศึกษาพยาบาล
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/278605
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ และการพัฒนาสมรรถนะแห่งตน ต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่และครอบครัวปลอดบุหรี่ของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกโดยการสุ่มแบบง่ายด้วยการจับฉลาก เป็นนักศึกษาพยาบาล 52 คน และผู้สูบบุหรี่ในครอบครัว 52 คน เครื่องมือวิจัย แบ่งออกเป็น 1) เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ ชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยใช้หลัก 5A, 5R, และ 5D ในการช่วยเลิกบุหรี่ และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ แบบประเมินติดตามครอบ ครัวปลอดบุหรี่ และแบบสอบถามความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนฯ ตรวจสอบความตรงเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง .67-1.00 หาความเชื่อมั่นแบบสอบถามความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนฯ ได้ .94 แบบประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ โดยใช้แบบประเมินระดับความรุนแรงการติดนิโคตินของ Fagerstrom test for Nicotine Dependence ฉบับมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทีคู่</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าหลังทดลอง ทุกครอบครัวมีการออกกฎงดสูบบุหรี่ มีการติดสัญลักษณ์ครอบครัวปลอดบุหรี่ คิดเป็นร้อยละ 100 มีผู้เลิกสูบบุหรี่สำเร็จ ร้อยละ 9.6 ผู้สูบบุหรี่ในครอบครัวมีคะแนนเฉลี่ยระดับการติดนิโคติน ต่ำกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>< .05 และนักศึกษาพยาบาลมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในสมรรถนะแห่งตนฯ สูงกว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <em>p</em>< .05 สรุปได้ว่า ชุดการเรียนรู้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยใช้หลักการ 5A, 5R, และ 5D ในการช่วยเลิกบุหรี่ และการพัฒนาความเชื่อในสมรรถนะแห่งตนของนักศึกษาพยาบาล ส่งผลให้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลงและมีครอบครัวปลอดบุหรี่เพิ่มขึ้น</p> <p> </p>
อรทัย รุ่งวชิรา
พีรยา สุธีรางกูร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-08
2025-12-08
15 2
70
87